ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ความเสื่อมเรื้อรัง


ความเสื่อมเรื้อรัง

 ASTVผู้จัดการรายวัน 31 สิงหาคม 2555 17:56 น.




ปัญญาพลวัตร
       โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
     
       บทบาทหน้าที่อย่างหนึ่งของผู้นำคือการเป็นแบบอย่างในการพัฒนาภูมิปัญญาและคุณธรรมแก่ประชาชนในสังคม แต่ผู้นำของสังคมไทยสามารถแสดงบทบาทเหล่านั้นได้หรือไม่ หากไม่ได้อนาคตของสังคมไทยจะเป็นอย่างไร เป็นสิ่งที่เราควรคิดวิเคราะห์และเตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้า
     
       หากสังคมใดที่มีการส่งเสริมการพัฒนาภูมิปัญญาและคุณธรรมอย่างเข้มข้นทั้งสองด้านและเป็นไปอย่างมีดุลยภาพ ย่อมทำให้สังคมนั้นเกิดภาวะความสมดุลย์ระหว่างความเจริญทางวัตถุกับความสงบสุขทางสังคม ซึ่งจะทำให้สังคมนั้นเป็นสังคมที่มีคุณภาพ และบุคคลมีคุณภาพชีวิตสูง
     
       หากสังคมใดเน้นการพัฒนาปัญญา สร้างความเฉลียวฉลาดแก่ประชาชน แต่ละเลยการพัฒนาคุณธรรม สังคมนั้นอาจมีความสะดวกสบายทางวัตถุ แต่ผู้คนจะโหดร้ายและมุ่งเอารัดเอาเปรียบกันเป็นหลัก
     
       ในทางกลับกันการเน้นการพัฒนาคุณธรรม แม้จะทำให้สังคมมีความสงบสุขสันติ แต่การไม่ใส่ใจการพัฒนาปัญญา จะทำให้สังคมถูกชักนำไปสู่ความเสี่ยงของการศรัทธาอย่างงมงาย และทำให้ผู้คนตกเป็นเหยื่อของผู้ทรงคุณธรรมจอมปลอมได้ง่าย
     
       แต่หากสังคมใดไร้ทั้งการพัฒนาภูมิปัญญา และละเลยการพัฒนาคุณธรรม สังคมนั้นย่อมเปี่ยมล้นไปล้นคนโง่เขลาและคนชั่วช้าเลวทรามที่ไม่อาจเป็นพลังในการพัฒนาสร้างสรรค์ประเทศให้เจริญรุดหน้าได้ สถานการณ์ที่สังคมแบบนี้ต้องเผชิญก็คือ ภาวะความขาดแคลนทางวัตถุที่ใช้ในการยังชีพ และจะสร้างภาวะความทุกข์ยากแก่ผู้คนจนประมาณไม่ได้
     
       แม้การพัฒนาภูมิปัญญาและคุณธรรมจะต้องดำเนินการจากกลุ่มบุคคลหลายระดับ หลายวงการ แต่ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนสิ่งหล่านี้ให้มีความก้าวหน้าและดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ก็คือผู้บริหารประเทศ
     
       ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าอเนจอนาถมาก เพราะบรรดาผู้นำประเทศทั้งหลาย หาได้มีผู้นำที่ทรงภูมิปัญญาเพียงพอในการชี้นำการพัฒนาประเทศให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง อีกทั้งยังไร้ผู้นำที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและจริยธรรมอันดีงามพอที่จะเป็นแบบอย่างให้ผู้คนทั่วไปยึดถือไปปฏิบัติได้
     
       อาจจะไม่เป็นธรรมหากจะกล่าวหาลอยๆโดยไร้หลักฐานที่น่าเชื่อถือและเหตุผลสนับสนุน เพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้เราตกอยู่ในวัฏจักรของอคติได้ง่าย คำถามคือเราจะทราบได้อย่างไรว่าผู้นำไร้ปัญญาและปราศจากจริยธรรม
     
       การจะดูว่าผู้นำคนใดมีปัญญาและคุณธรรมเพียงพอหรือไม่ เราคงไม่สามารถนำแบบวัดความฉลาดทางปัญญา (IQ)ไปให้ผู้นำคนนั้นทดลองทำและดูว่าเขาได้คะแนนเท่าไร และเราคงไม่สามารถนำแบบทดสอบคุณธรรมไปให้พวกเขาทำได้เช่นเดียวกัน
     
       แต่เราสามารถรับรู้ได้จากสิ่งที่เขาตัดสินใจทำหรือไม่ทำ จากสิ่งที่พวกเขาขับเคลื่อนผลักดันนโยบาย และจากสิ่งที่พวกเขาสัมภาษณ์ตอบคำถามนักข่าวโดยที่ไม่มีการจัดเตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้า
     
       ลองพิจารณาตัวอย่างเรื่องการตัดสินใจใช้นโยบายจำนำข้าว ใช้เงินงบประมาณภาษีของประชาชนนับแสนล้านบาทในการรับจำนำข้าวจากชาวนา โดยรับจำนำในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด ผู้มีความคิดสักนิดย่อมทราบดีว่าไม่มีการรับจำนำสินค้าใดที่จะให้ราคาสินค้าที่นำมาจำนำสูงกว่าราคาตลาด เพราะคงไม่มีใครมาไถ่ถอนคืนเป็นแน่ ชาวนาก็เช่นเดียวกันเมื่อจำนำไปแล้วก็ไม่มาไถ่ถอนข้าวคืน ทำให้รัฐบาลต้องรับภาระเก็บข้าวไว้นับสิบล้านตันแล้วในปัจจุบัน
     
       ผู้นำรัฐบาลยังคิดต่อไปโดยใช้หลักเศรษฐศาสตร์พื้นฐานระดับมัธยม โดยคิดว่าหากเก็บข้าวไว้ในประเทศจะทำให้ราคาในตลาดโลกสูงขึ้น ลืมคิดว่าข้าวเป็นสินค้าที่สามารถหาสินค้าประเภทอื่นทดแทนได้ไม่ยากเพราะข้าวก็คือแป้งธรรมดานี่เอง และพืชที่ให้แป้งก็มีหลายชนิด อีกทั้งในปัจจุบันมีอีกหลายประเทศที่สามารถผลิตข้าวส่งออกในตลาดโลกได้อย่างมากมาย เช่น จีน เวียตนาม และสหรัฐ
     
       ประกอบกับบรรดาผู้ซื้อในตลาดโลกหาได้โง่เขลาเหมือนผู้นำประเทศไทย เมื่อเขาทราบว่ารัฐบาลไทยมีข้าวเหลือค้างอยู่มาก และจำเป็นต้องระบายออกไปสู่ตลาดเพราะไม่อาจแบกรับต้นทุนได้อีกต่อไป ก็ทำให้ราคาข้าวยิ่งตกต่ำลงไปอีก
     
       ที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆอันเกิดจากมาตรการบางส่วนของนโยบายจำนำข้าว หากดูลึกลงไปในกระบวนการปฏิบัติก็จะพบต่อไปว่ารัฐบาลชุดนี้ไร้ความสามารถอย่างสิ้นเชิงในการสร้างประสิทธิผลให้เกิดขึ้นได้ ตรงกันข้ามกลับทำให้เกิดการทุจริตเกิดขึ้นในทุกขั้นตอนของการปฏิบัติ
     
       การทุจริตในการลงทะเบียนการเพาะปลูกข้าวเพราะจำนวนพื้นที่ปลูกข้าวที่ผู้ลงทะเบียนมาแจ้งเมื่อนำมารวมกันแล้วปรากฎว่ามีมากกว่าพื้นที่ของประเทศไทยทั้งประเทศ กรณีแบบนี้สะท้อนว่ามีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มสวมสิทธิ์ชาวนา มีการทำใบประทวนปลอม พอได้สิทธิมาก็เอาข้าวไปขายทั้งที่มีข้าวจริงและไม่มีข้าวและยังมีการลักลอบนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาขายในประเทศไทยซึ่งราคาจำนำสูงกว่าราคาตลาดของประเทศเหล่านั้น แต่รัฐบาลไม่ทราบและไม่มีปัญญาจัดการใดๆ ทำทีส่งรัฐมนตรีบางคนไปตรวจสอบก็รายงานว่าไม่พบการทุจริตใดๆ
     
       จากวิจัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต(ปปช.) พบว่า เงินที่ใช้ในการจำนำข้าวถึงมือชาวนาน้อยมาก และพบการทุจริตในทุกขั้นตอนของการนำนโยบายจำนำข้าวไปปฏิบัติ ปปช.เสนอให้รัฐบาลยุตินโยบายนี้เสีย เพราะสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศอย่างมหาศาล แต่รัฐบาลก็เฉยเมยไม่สนใจใยดีแต่ประการใด
     
       นโยบายจำนำข้าวเป็นเพียงหนึ่งในหลายนโยบายของรัฐบาลที่สะท้อนให้เห็นถึงการมีปัญญาที่เบาบางของผู้นำประเทศ ส่วนนโยบายอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน เช่น นโยบายการจัดการน้ำ นโยบายแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาตรการขึ้นค่าแรงสามร้อยบาทต่อวัน มาตรการยกระดับราคายางโดยการให้ตัดโค่นต้นยางแสนต้น เป็นต้น
     
       นอกจากนโยบายแล้ว เรื่องที่เราจะดูได้ว่าผู้นำมีปัญญามากเพียงใดก็คือ การตอบคำสัมภาษณ์ที่ไม่มีการเตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้า สำหรับผู้นำรัฐบาลชุดนี้ การตอบคำถามของเธอมีอยู่ 2 ประเภทหลักคือ ประเภทแรกเป็นคำถามที่เธอตอบไม่ได้ ดังนั้นจึงใช้การเงียบและการเดินหนีนักข่าว ดังที่เกิดขึ้นในวันที่ 28 ส.ค. 2555 เธอตอบคำถามไม่ได้หลายคำถาม เช่น คำถามการย้ายนายทหารระดับสูงของ รมว.กลาโหม นักข่าวถามว่า “หากมีอะไรเกิดขึ้นตามมา รมว.กลาโหมต้องเป็นผู้รับผิดขอบเองหรือไม่” หรือ คำถามเกี่ยวกับภัยแล้ง “ภัยแล้งเกิดจากการระบายน้ำออกจากเขื่อนมากเกินไปหรือเปล่า”
     
       ประเภทที่สอง เป็นคำถามที่เธอตอบไม่ตรงประเด็นและปราศจากเนื้อหาสาระทั้งข้อมูลและเหตุผล เช่น เมื่อนักข่าวถามว่า คิดว่าการโยกย้ายทหารจะมีผลกระทบต่อบรรยากาศการทำงานของรัฐบาลหรือไม่ ผู้นำรัฐบาลตอบว่า “ได้เน้นย้ำกระทรวงกลาโหมไปแล้วเพื่อให้เกิดการทำงาน และให้ พล.อ.อ.สุกำพลชี้แจงให้ทราบ” คำตอบของเธอห่างไกลจากคำถามมาก เพราะคำถามเป็นเรื่องที่ให้เธอช่วยประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการกระทำของ รมว. กลาโหม ที่มีต่อการทำงานของรัฐบาล แต่เธอกลับตอบไปว่าได้ย้ำและให้ รมว. กลาโหมชี้แจง
     
       นอกจากจะมีความเบาทางปัญญาแล้ว ผู้นำรัฐบาลชุดนี้ยังบริหารประเทศโดยไร้คุณธรรมและจริยธรรมอย่างปราศจากความละอาย ดังเห็นได้จากการที่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ถึงกับประกาศต่อสาธารณะอย่างภาคภูมิใจว่า เขาบริหารประเทศโดยการโกหก และได้รับอนุญาตให้โกหก
     
       หากผู้บริหารบริหารประเทศมีความภาคภูมิใจต่อการกระทำที่ไร้คุณธรรมและจริยธรรมเสียแล้ว ก็เป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความเสื่อมทรามของจิตใจที่ดำรงอยู่กับพวกเขาเหล่านั้น และหากให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้บริหารประเทศต่อไป อีกไม่นานคุณธรรมของสังคมก็คงจะถูกกัดกร่อน จนหมดสิ้น แผ่นดินก็จะเต็มไปด้วยผู้คนที่ยึดการโกหกเป็นสรณะ
     
       ประเทศไทยในยุคหลายปีมานี้ประสบกับความเสื่อมเรื้อรัง เพราะคุณสมบัติของบรรดาผู้บริหารประเทศ หากไม่โง่เขลาเบาปัญญา และไร้คุณธรรม จริยธรรม ดังที่เป็นอยู่ ก็เป็นผู้ที่ลุแก่อำนาจ นิยมใช้ความรุนแรง ป่าเถื่อน ข่มขู่ คุกคามประชาชนเป็นเนืองนิจ
     
       คงไม่มีคำตอบสำเร็จรูปว่าประชาชนจะทำอย่างไร ในการขจัดผู้บริหารประเทศซึ่งเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นเหตุแห่งความทุกข์ของสังคม ประชาชนก็คงต้องคิดแสวงหามรรคาร่วมกันในการขจัดทุกข์ให้เบาบางลงไป มิเช่นนั้นในอนาคตเราอาจเสียใจที่ยังมีชีวิตอยู่และเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกหลานของเรา


จำนวนคนอ่าน 3099 คน

17 people like this. Be the first of your friends

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิจารณ์หนังสือ การสร้างทฤษฎีฐานราก: แนวทางเชิงปฏิบัติผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ของ Kathy Charmaz. พิมพ์ในวารสารพัฒนาสังคม V 14. No. 2

บทวิจารณ์หนังสือ  พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต Kathy Charmaz  2006. Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis. London: SAGE   จำนวน  208  หน้า ความเป็นมาของทฤษฎีฐานราก ระเบียบวิธีทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) อุบัติขึ้นจากนักสังคมวิทยาสองคนคือ Barney G. Glaser และ Anselm L. Strauss ช่วงกลางทศวรรษ 1960s    ทั้งสองไปทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสภาวะกำลังตายและการตาย ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล    พวกเขาได้พัฒนายุทธศาสตร์เชิงระเบียบวิธีอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งทำให้นักสังคมศาสตร์สามารถนำไปประยุกต์ในการศึกษาเรื่องอื่นๆได้จำนวนมาก   ในปี 1967 Glaser และ Strauss  ได้เสนอระเบียบวิธีนี้เข้ามาสู่แวดวงวิชาการในหนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขา คือ The Discovery of Grounded Theory   ซึ่งทำให้การวิจัยเชิงคุณภาพรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ของระเบียบวิธี        ช่วงเวลาก่อนที่ Glaser และ Strauss เสนอระเบียบวิธีการวิจัยทฤษฎีฐานรากเป็นช่วงที่การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในสาขาสังคมวิทยากำลังประสบกับปัญหาทางระเบียบวิธีวิทยาอย่างหนักหน่วง   การวิจัยเชิงคุณ

ความผิดพลาดของมนุษย์ตามแนวคิดของ ฟรานซิส เบคอน

ความผิดพลาดของมนุษย์ : ชนเผ่า ถ้ำ ตลาด และโรงมหรสพ พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต เห็นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในระยะนี้  ยิ่งทำให้เห็นความจริงประการหนึ่งว่า ทะเลแห่งความมืดบอดของสังคมไทยนับวันจะขยายตัวออกไปมากขึ้น   และเกาะแห่งปัญญานับวันจะลดน้อยถอยลง  หากภาวะเช่นนี้ดำรงต่อไปนานเท่าไร  ก็ยิ่งทำให้ทะเลแห่งความมืดบอดมีโอกาสกลืนกินเกาะแห่งปัญญาจนหมดสิ้นในไม่ช้า  ผมไปอ่านงานของนักปรัชญาท่านหนึ่ง  เห็นว่ามีความน่าสนใจโดยเฉพาะการวิเคราะห์เกี่ยวกับความผิดพลาดทางปัญญาและการให้เหตุผลของมนุษย์   ซึ่งทำให้เราต้องนำมาทบทวน ระมัดระวัง จะได้ไม่ตกอยู่ในความผิดพลาดนั้น   เพื่อจะได้พัฒนาปัญญาของตนเองให้กระจ่างชัด และมีหนทางในการนำพาสังคมให้หลุดพ้นจากทะเลแห่งความมืดบอดต่อไป ฟรานซิส เบคอน นักปรัชญาชาวอังกฤษซึ่งมีชีวิตระหว่าง ค.ศ. 1561 ถึง 1626   วิเคราะห์จำแนกสาเหตุของความผิดพลาดในการใช้เหตุผลของมนุษย์ออกเป็นสี่แบบ  ได้แก่ ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของชนเผ่า ( Idols of the Tribe)    ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของถ้ำ ( Idols of the Cave)   ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของตลาด (Idols of the Market-place)   และความผิดพลาด

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คำถามประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการทำแท้งคือ เมื่อไรที่จะนับว่าชีวิตมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และ ณ จุดไหนที่สังคมควรจะเข้าไปดำเนินการปกป้องชีวิตที่กำลังก่อกำเนิด       ส่วนข้อถกเถียงเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับการทำแท้งมี ๒ ประเด็นหลักคือ  ประเด็นแรกคือ “คุณค่าของพื้นฐานแห่งชีวิต” ซึ่งมีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ยังไม่ได้กำเนิดมาดูโลก กับชีวิตของมารดา   ประเด็นที่สองคือ “พื้นฐานของเสรีภาพส่วนบุคคคล” ซึ่งเป็นสิทธิของมารดาเหนือร่างกายของตนเองในการให้กำเนิดและกำหนดชีวิต และประเด็นที่เป็นความขัดแย้งอีกประการคือแนวคิดเกี่ยวกับ “สิทธิสัมบูรณ์”  ระหว่างสิทธิของทารกในครรภ์ที่จะก่อตัวพัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษย์ กับสิทธิของมารดาในการควบคุมชีวิตและร่างกายของตนเอง ชีวิตมนุษย์เริ่มจากไหนและพัฒนาอย่างไร   ในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายขั้นตอนของการพัฒนาตัวอ่อนในครรภ์ในเป็นมนุษย์ ดังนี้ ๑.       ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นจากไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์จากอสุจิ หนึ่งเซลล์ของมนุษย์ผู้หนึ่งผสมกับเซลล์ของมนุษย์อีกผู้หนึ่ง กลายเป็นสองเซลล์และขยายเป็นสี่ และจากนั้นภายในหกวั