ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การปะทะกันของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบใหม่กับแบบเก่า


การปะทะกันของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบใหม่กับแบบเก่า

 ASTVผู้จัดการรายวัน 19 ตุลาคม 2555 18:50 น.




       ปัญญาพลวัตร
       โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
     
       เมื่อปลายศตวรรษที่ยี่สิบ (1998) เทอรี่ นิโคลส์ คล้าก และ วินเซนต์ ฮอฟฟ์แมนน์-มาร์ตินอท ได้ร่วมกันเป็นบรรณาธิการผลิตหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งชื่อ วัฒนธรรมการเมืองใหม่ (the new political culture) หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกเป็นกรอบแนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมการเมืองใหม่เพื่อใช้ในการตีความ ว่าอะไรเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนที่ไหน และทำไมจึงเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่วนที่สองเน้นการตอบคำถามว่าวัฒนธรรมการเมืองใหม่อุบัติขึ้นที่ไหนและทำไม และส่วนที่สาม เกี่ยวกับคำถามที่ว่าพรรคการเมืองและโครงสร้างแบบลำดับชั้นก่อให้เกิดทิศทางใหม่เกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญของประเด็นทางการเมืองและนโยบายอย่างไร
     
       ผมเห็นว่าเป็นหนังสือที่น่าสนใจจึงนำบางส่วนมาถ่ายทอดให้ลองอ่านกันดู อันจะเป็นประโยชน์ในการนำมาวิเคราะห์ เปรียบเทียบเพื่อทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมทางการเมืองของประเทศไทยต่อไป
     
       ในช่วงสังคมอุตสาหกรรมโดยเฉพาะช่วงต้นและกลางศตวรรษที่ยี่สิบ วัฒนธรรมการเมืองของโลกตะวันตกได้รับอิทธิพลจากเรื่องชนชั้นและความขัดแย้งทางชนชั้น การต่อสู้ทางการเมืองมีการแบ่งเป็นขั้วขัดแย้งอย่างชัดเจนระหว่างฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวา แต่ในปลายศตวรรษที่ยี่สิบประเด็นความขัดแย้งดังกล่าวได้เสื่อมพลังลงไป จนแทบไม่สามารถเป็นปัจจัยหลักในอธิบายปรากฎการณ์ทางการเมืองได้อีกต่อไป
     
       ปรากฎการณ์ทางการเมืองหลายประการที่เป็นภาพสะท้อนของของวัฒนธรรมการเมืองใหม่ได้อุบัติขึ้น ดังตัวอย่าง ในประเทศสหรัฐอเมริกาช่วงทศวรรษที่ 1980s สัดส่วนของผู้เลือกตั้งอิสระที่ระบุว่าตนเองไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดเพิ่มขึ้นประมาณหนึ่งในสามของผู้เลือกตั้งทั้งหมด ในช่วงเวลาเดียวกันขบวนการนิเวศวิทยาและพรรคกรีนก็ได้เกิดขึ้นหลังปี 1982 การอุบัติขึ้นของกลุ่มการเมืองที่มีความเชื่อแบบรากฐานนิยมทางศาสนา และมีขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแบบใหม่จำนวนมากเกิดขึ้นเพื่อเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย และการกระจายอำนาจที่เข้มข้นมากขึ้น
     
       ระยะแรกของการเกิดปรากฎการณ์การเมืองเหล่านั้น บรรดานักวิชาการยังไม่ได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลง การวิเคราะห์ก็ยังคงใช้แนวคิดแบบเดิมซึ่งไม่เพียงพอต่อการทำความเข้าใจปรากฎการณ์ทางการเมืองใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าแนวคิดเดิมเช่น การเมืองเรื่องชนชั้น ระบบอุปถัมภ์ และการจัดช่วงชั้นทางสังคม ยังคงสามารถใช้ทำความเข้าใจปรากฎการณ์ทางการเมืองบางอย่างได้ แต่ไม่เพียงพอต่อการอธิบายและทำความเข้าใจกับปรากฎการณ์ทางการเมืองใหม่ๆที่เกิดขึ้นได้อีกต่อไป
     
       เทอรี่ นิโคลส์ คล๊าก และ โรนัลด์ อิงเกิ้ลฮาร์ท จึงได้ร่วมกันนำเสนอกรอบแนวคิดในการวิเคราะห์วัฒนธรรมทางการเมืองใหม่ขึ้นมา โดยมีแก่นหลักของแนวคิดเจ็ดด้าน ดังนี้
     
       1. การเปลี่ยนรูปของมิติการเมืองแบบฝ่ายซ้าย-ฝ่ายขวา ดั้งเดิม ในแวดวงทางการเมืองปัจจุบันผู้คนยังคงสนทนาเกี่ยวฝ่ายซ้าย-ฝ่ายขวา แต่ทว่าความหมายแบบเดิมได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ความเป็นฝ่ายซ้ายในปัจจุบันจะเน้นให้ความสำคัญกับประเด็นทางสังคมเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็ลดความสำคัญในประเด็นการเมืองเรื่องชนชั้นลงไป ในยุโรปตะวันออกความเป็นขั้วค่ายระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาเปลี่ยนแปลงเสียจนกระทั่งไม่เหลือร่องรองของความหมายเดิมของอดีต ที่ตลกร้ายก็คือ ความหมายกลับตรงกันข้ามกับอดีตด้วยซ้ำไป ซึ่งเห็นได้จากการนิยามการเป็นฝ่ายซ้ายทางการเมืองว่า เป็นกลุ่มที่สนับสนุนกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลและการลดบทบาทของรัฐในการแทรกแซงระบบเศรษฐกิจ แม้ว่าในยุโรปตะวันตกการเปลี่ยนแปลงความหมายจะไม่กลับหัวกลับหางเหมือนฝั่งยุโรปตะวันออก แต่การเพิ่มบทบาทของรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจไม่ได้มีความหมายเท่ากับความก้าวหน้าอีกต่อไป และแม้กระทั่งในกลุ่มของฝ่ายซ้ายเองประเด็นความขัดแย้งก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเป็นเจ้าของและการควบคุมวิถีการผลิตอีกต่อไป
     
       2. ความแยกอย่างชัดเจนระหว่างประเด็นทางสังคมและเศรษฐกิจ ประเด็นสังคมได้รับการวิเคราะห์อย่างเข้มข้นภายใต้แนวคิดทฤษฎีที่หลากหลายมากขึ้น มิได้เป็นเพียง “โครงสร้างอุดมการณ์ส่วนบน” หรือ “จิตสำนึกที่ผิดพลาด” เท่านั้น ดังนั้นจุดยืนต่อประเด็นทางสังคมของประชาชน เช่น การเพิ่มขึ้นของบทบาทสตรี นโยบายเกี่ยวกับชนกลุ่มน้อย นโยบายเกี่ยวกับการทำแท้ง นโยบายเกี่ยวกับยาเสพติด และการทุจริตคอรัปชั่น เป็นต้น จึงไม่ขึ้นอยู่กับฐานะทางเศรษฐกิจหรือชนชั้นแบบเดิมอีกต่อไป
     
       3. ประเด็นทางสังคมได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับประเด็นทางเศรษฐกิจ เมื่อประชาชนมีความมั่งคั่งมากขึ้น ความสนใจเกี่ยวกับคุณภาพของสังคม ความต้องการได้รับบริการที่มีคุณภาพจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน การใช้ชีวิตแบบสะดวกสบาย และการมีสุขภาพที่ดีก็มีมากขึ้น
     
       4. การเติบโตของปัจเจกชนนิยมแบบตลาดและปัจเจกชนนิยมแบบสังคม ปัจเจกชนนิยมภายใต้วัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่มิใช่การหวนคืนไปสู่แนวคิดปัจเจกชนนิยมแบบดั้งเดิมที่สนับสนุนเศรษฐกิจแบบเสรีแบบตลาดอย่างสุดขั้ว อีกทั้งยังคัดค้านนโยบายรัฐนิยมของฝ่ายซ้ายแบบดั้งเดิม เช่น นโยบายการโอนอุตสาหกรรมเป็นของรัฐและการเติบโตของรัฐสวัสดิการ วัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่มีการผสมผสานระหว่างเสรีนิยมแบบตลาดกับความก้าวหน้าทางสังคม ซึ่งนำไปสู่การสนับสนุนนโยบายและแผนงานแบบใหม่ และการสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ในเกมการเมือง
     
       5. การตั้งคำถามกับรัฐสวัสดิการ ผู้คนที่มีวัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่สรุปว่า “การปกครอง” ที่หมายถึง การวางแผนจากรัฐส่วนกลางเป็นสิ่งที่ไม่สมจริงในการให้บริการทางเศรษฐกิจและสังคม พวกเขาตั้งคำถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของระบบราชการส่วนกลางในการจัดบริการทางเศรษฐกิจและสังคม และเรียกร้องให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน เพราะมีหลักฐานจำนวนมากที่สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลส่วนกลางขาดความรับผิดชอบและห่างเหินจากประชาชน ดังนั้นพวกเขาจึงสนับสนุนการกระจายอำนาจแก่ภาคประชาสังคมและเอกชน หากภาคส่วนเหล่านั้นทำงานได้ดีกว่า
     
       6. การเกิดขึ้นของการเมืองเชิงประเด็นและการขยายการมีส่วนร่วมทางการเมือง รวมทั้งการเสื่อมขององค์การทางการเมืองแบบรวมศูนย์อำนาจ กลุ่มคนที่มีวัฒนการเมืองแบบใหม่จะต่อต้านระบบราชการแบบรวมศูนย์ พรรคการเมืองแบบผูกขาด และผู้นำทางการเมืองแบบดั้งเดิม ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแบบใหม่ และการเมืองเชิงประเด็นกลายเป็นเนื้อหาสำคัญของกระบวนการทางการเมือง ขบวนการเหล่านี้สนับสนุนให้รัฐบาลตอบสนองทางตรงต่อประเด็นปัญหาต่างๆมากขึ้น พรรคการเมืองผูกขาดในรูปแบบเดิม หน่วยงานของรัฐที่ปฏิบัติงานตามลำดับชั้นการบังคับบัญชา หรือแม้กระทั่งสหภาพแรงงาน ถูกมองว่าเป็นสิ่งล้าสมัย พลเมืองที่ชาญฉลาดและนักเคลื่อนไหวทางสังคมปฏิเสธการปฏิบัติที่ทำให้พวกเขาเป็นเสมือน “สัตว์เลี้ยงที่เชื่องๆ” หรือ “เป็นผู้ที่อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์” ซึ่งรอการประทานหรือสั่งการจากพรรคการเมืองและหน่วยงานของรัฐ
     
       พวกเขาได้จัดตั้งและเคลื่อนไหวประเด็นใหม่ๆเกี่ยวกับการจัดบริการสวัสดิการของรัฐ เช่น การดูแลเด็กหรือผู้สูงอายุ การดูแลสุขภาพ หรือ การจัดการสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สื่อมวลชนมีการเติบโตมีความสำคัญและสามารถสัมผัสได้มากยิ่งขึ้น ในสังคมมีกลุ่มใหม่ๆเกิดขึ้นและแสวงหาการมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย การนำนโยบายไปปฏิบัติ และการตรวจสอบอำนาจรัฐมากขึ้น กลุ่มเหล่านี้จึงมักได้รับการมองว่าเป็น “ผู้ก่อกวนสร้างความปั่นป่วน” ความขัดแย้งของกลุ่มเหล่านี้กับบรรดาผู้มีวัฒนธรรมการเมืองแบบเก่าที่เป็นผู้นำทางการเมืองและยึดติดกับระบบอุปถัมภ์จึงมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้น
     
       7. ปัจจัยที่ผลต่อการสร้างและขยายวัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่ วัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่เกิดขึ้นและมีการขยายตัวมากในกลุ่มหนุ่มสาว ผู้มีการศึกษาสูง และปัจเจกบุคคลที่มีฐานะดี วัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่เกิดขึ้นภายใต้การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม กล่าวคือในทางเศรษฐกิจเกิดการเปลี่ยนแปลงจากโครงสร้างเศรษฐกิจแบบแนวตั้ง สู่เศรษฐกิจแบบแนวระนาบมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม ขณะเดียวกันการขยายตัวของอุตสหกรรมที่มีเทคโนโลยีสูง โดยเฉพาะเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารและการบริการ ทำให้ประชาชนรายได้สูงขึ้นและมีความมั่งคั่งมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำระหว่างประชาชนกลุ่มต่างๆให้เหลือน้อยลง
     
       ด้านสังคม เกิดการลดลงของครอบครัวแบบขยาย และความอ่อนตัวของการเชื่อมโยงระหว่างครอบครอบครัวกับการศึกษาและอาชีพ การศึกษาของสมาชิกในครอบครัวได้รับจากสื่อมวลชนมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การเกิดและขยายตัวของค่านิยมสมานฉันท์แบบเปิดกว้างที่เน้นความอดกลั้นต่อความแตกต่างมากขึ้น
     
       กล่าวโดยสรุป วัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่เป็นสิ่งเกิดขึ้นในโลกทางการเมืองของสังคมตะวันตกและสังคมของประเทศเอเชียที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้า จนผู้คนมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจลดลง สำหรับสังคมไทยเราก็อาจเห็นร่องรอยของกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่อยู่บ้าง แต่ก็มิใช่เป็นวัฒนธรรมการเมืองหลักของสังคมไทยแต่อย่างใด ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยยังคงจมอยู่ในกระแสของวัฒนธรรมการเมืองแบบเก่า
     
       ความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมไทยที่เกิดขึ้นในระยะสิบปีที่ผ่านมา ผมมีสมมุติฐานว่าส่วนหนึ่งเกิดจากการปะทะกันหรือความไม่ลงรอยของ วัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่ที่เน้นการมีส่วนร่วมทางการเมือง การตรวจสอบอำนาจรวมศูนย์ของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ และการมีพรรคการเมืองแบบใหม่ที่เน้นโครงสร้างแนวระนาบกระจายอำนาจ กับวัฒนธรรมการเมืองแบบเก่า ที่เน้นการทำให้ประชาชนกลายเป็น “สัตว์เลี้ยงที่เชื่องๆ” ภายใต้นโยบายประชานิยมของพรรคการเมือง การขยายกลไกอำนาจรัฐในการควบคุมตลาด (เช่นการจำนำข้าว) และการรวมศูนย์อำนาจของพรรคการเมืองในมือของกลุ่มทุนสามานย์


จำนวนคนอ่าน 1454 คน

คิด ไปเองSaknarong Mongkol and 7 others like this


     

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิจารณ์หนังสือ การสร้างทฤษฎีฐานราก: แนวทางเชิงปฏิบัติผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ของ Kathy Charmaz. พิมพ์ในวารสารพัฒนาสังคม V 14. No. 2

บทวิจารณ์หนังสือ  พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต Kathy Charmaz  2006. Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis. London: SAGE   จำนวน  208  หน้า ความเป็นมาของทฤษฎีฐานราก ระเบียบวิธีทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) อุบัติขึ้นจากนักสังคมวิทยาสองคนคือ Barney G. Glaser และ Anselm L. Strauss ช่วงกลางทศวรรษ 1960s    ทั้งสองไปทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสภาวะกำลังตายและการตาย ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล    พวกเขาได้พัฒนายุทธศาสตร์เชิงระเบียบวิธีอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งทำให้นักสังคมศาสตร์สามารถนำไปประยุกต์ในการศึกษาเรื่องอื่นๆได้จำนวนมาก   ในปี 1967 Glaser และ Strauss  ได้เสนอระเบียบวิธีนี้เข้ามาสู่แวดวงวิชาการในหนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขา คือ The Discovery of Grounded Theory   ซึ่งทำให้การวิจัยเชิงคุณภาพรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ของระเบียบวิธี        ช่วงเวลาก่อนที่ Glaser และ Strauss เสนอระเบียบวิธีการวิจัยทฤษฎีฐานรากเป็นช่วงที่การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในสาขาสังคมวิทยากำลังประสบกับปัญหาทางระเบียบวิธีวิทยาอย่างหนักหน่วง   การวิจัยเชิงคุณ

ความผิดพลาดของมนุษย์ตามแนวคิดของ ฟรานซิส เบคอน

ความผิดพลาดของมนุษย์ : ชนเผ่า ถ้ำ ตลาด และโรงมหรสพ พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต เห็นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในระยะนี้  ยิ่งทำให้เห็นความจริงประการหนึ่งว่า ทะเลแห่งความมืดบอดของสังคมไทยนับวันจะขยายตัวออกไปมากขึ้น   และเกาะแห่งปัญญานับวันจะลดน้อยถอยลง  หากภาวะเช่นนี้ดำรงต่อไปนานเท่าไร  ก็ยิ่งทำให้ทะเลแห่งความมืดบอดมีโอกาสกลืนกินเกาะแห่งปัญญาจนหมดสิ้นในไม่ช้า  ผมไปอ่านงานของนักปรัชญาท่านหนึ่ง  เห็นว่ามีความน่าสนใจโดยเฉพาะการวิเคราะห์เกี่ยวกับความผิดพลาดทางปัญญาและการให้เหตุผลของมนุษย์   ซึ่งทำให้เราต้องนำมาทบทวน ระมัดระวัง จะได้ไม่ตกอยู่ในความผิดพลาดนั้น   เพื่อจะได้พัฒนาปัญญาของตนเองให้กระจ่างชัด และมีหนทางในการนำพาสังคมให้หลุดพ้นจากทะเลแห่งความมืดบอดต่อไป ฟรานซิส เบคอน นักปรัชญาชาวอังกฤษซึ่งมีชีวิตระหว่าง ค.ศ. 1561 ถึง 1626   วิเคราะห์จำแนกสาเหตุของความผิดพลาดในการใช้เหตุผลของมนุษย์ออกเป็นสี่แบบ  ได้แก่ ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของชนเผ่า ( Idols of the Tribe)    ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของถ้ำ ( Idols of the Cave)   ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของตลาด (Idols of the Market-place)   และความผิดพลาด

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คำถามประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการทำแท้งคือ เมื่อไรที่จะนับว่าชีวิตมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และ ณ จุดไหนที่สังคมควรจะเข้าไปดำเนินการปกป้องชีวิตที่กำลังก่อกำเนิด       ส่วนข้อถกเถียงเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับการทำแท้งมี ๒ ประเด็นหลักคือ  ประเด็นแรกคือ “คุณค่าของพื้นฐานแห่งชีวิต” ซึ่งมีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ยังไม่ได้กำเนิดมาดูโลก กับชีวิตของมารดา   ประเด็นที่สองคือ “พื้นฐานของเสรีภาพส่วนบุคคคล” ซึ่งเป็นสิทธิของมารดาเหนือร่างกายของตนเองในการให้กำเนิดและกำหนดชีวิต และประเด็นที่เป็นความขัดแย้งอีกประการคือแนวคิดเกี่ยวกับ “สิทธิสัมบูรณ์”  ระหว่างสิทธิของทารกในครรภ์ที่จะก่อตัวพัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษย์ กับสิทธิของมารดาในการควบคุมชีวิตและร่างกายของตนเอง ชีวิตมนุษย์เริ่มจากไหนและพัฒนาอย่างไร   ในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายขั้นตอนของการพัฒนาตัวอ่อนในครรภ์ในเป็นมนุษย์ ดังนี้ ๑.       ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นจากไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์จากอสุจิ หนึ่งเซลล์ของมนุษย์ผู้หนึ่งผสมกับเซลล์ของมนุษย์อีกผู้หนึ่ง กลายเป็นสองเซลล์และขยายเป็นสี่ และจากนั้นภายในหกวั