วิจารณ์หนังสือ การสร้างทฤษฎีฐานราก: แนวทางเชิงปฏิบัติผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ของ Kathy Charmaz. พิมพ์ในวารสารพัฒนาสังคม V 14. No. 2
บทวิจารณ์หนังสือ
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
Kathy Charmaz 2006.
Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis.
London: SAGE จำนวน 208 หน้า
ความเป็นมาของทฤษฎีฐานราก
ระเบียบวิธีทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) อุบัติขึ้นจากนักสังคมวิทยาสองคนคือ Barney G. Glaser และ Anselm L. Strauss ช่วงกลางทศวรรษ 1960s ทั้งสองไปทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสภาวะกำลังตายและการตาย ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล พวกเขาได้พัฒนายุทธศาสตร์เชิงระเบียบวิธีอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งทำให้นักสังคมศาสตร์สามารถนำไปประยุกต์ในการศึกษาเรื่องอื่นๆได้จำนวนมาก
ในปี 1967 Glaser และ Strauss ได้เสนอระเบียบวิธีนี้เข้ามาสู่แวดวงวิชาการในหนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขา คือ The Discovery of Grounded Theory ซึ่งทำให้การวิจัยเชิงคุณภาพรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ของระเบียบวิธี ช่วงเวลาก่อนที่ Glaser และ Strauss เสนอระเบียบวิธีการวิจัยทฤษฎีฐานรากเป็นช่วงที่การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในสาขาสังคมวิทยากำลังประสบกับปัญหาทางระเบียบวิธีวิทยาอย่างหนักหน่วง การวิจัยเชิงคุณภาพถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับระเบียบวิธีที่ใช้ในการศึกษาจากนักวิชาการที่ใช้การวิจัยเชิงปริมาณว่าเป็นเพียงการวิจัยแบบพรรณนา เรื่องเล่า ไร้ระบบ มีอคติ และไม่อาจพัฒนาความรู้ในศาสตร์ได้ ต่างจากการวิจัยเชิงปริมาณที่สามารถพัฒนาความรู้ได้อย่างน่าเชื่อถือเพราะสามารถพัฒนาระเบียบวิธีในการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างซับซ้อน และมีฐานคติเชิงระเบียบวิธีที่หยิบยืมมาจากวิทยาศาสตร์ธรรมชาติซึ่งมีความเชื่อว่าการพัฒนาความรู้ต้องมีการสังเกตอย่างเป็นระบบ มีการทดลองที่สามารถทำซ้ำได้ มีนิยามเชิงปฏิบัติของแนวความคิด มีสมมติฐานซึ่งใช้การนิรนัยเชิงตรรกะและยืนยันหลักฐาน ฐานคตินี้เป็นกระบวนทัศน์ปฏิฐานนิยม (Positivism) ซึ่งเน้นภววิสัย (Objectivity) สามัญการ (Generalization) การพิสูจน์ผิด (Falsification) การอธิบายเชิงสาเหตุ และการทำนาย
Glaser และ Strauss ได้เสนอการวิเคราะห์ในงานวิจัยเชิงคุณภาพอย่างเป็นระบบ มีตรรกะในตัวเองและสามารถสร้างการอธิบายเชิงทฤษฎีที่เป็นนามธรรมของกระบวนการทางสังคม โดยใช้องค์ประกอบเชิงปฏิบัติของทฤษฎีฐานราก 7 ประการคือ
การดำเนินการไปพร้อมๆกันระหว่างการเก็บรวบรวมและการวิเคราะห์ข้อมูล
สร้างรหัสการวิเคราะห์และการจัดประเภทจากข้อมูล ไม่ใช่จากแนวคิดที่กำหนดมาก่อนภายใต้สมมุติฐานที่ถูกนิรนัยเชิงตรรกะ
ใช้วิธีการเปรียบเทียบที่คงเส้นคงวา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเปรียบเทียบตั้งแต่ระยะขั้นแรกๆของการวิเคราะห์
พัฒนาทฤษฎีระหว่างแต่ละขั้นตอนของการรวบรวมและการวิเคราะห์ข้อมูล
การเขียนบันทึกเพื่อสร้างรายละเอียดของประเภท การระบุคุณลักษณะ การกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างประเภท และการระบุความแตกต่าง
การเลือกกลุ่มเป้าหมายการศึกษา หน่วยการเก็บรวบรวมข้อมูลตั้งอยู่บนฐานของการสร้างทฤษฎี ไม่ใช่จากฐานของการเป็นตัวแทนประชากร
กระทำการทบทวนวรรณกรรม แนวคิด ทฤษฎีหลังจากพัฒนาการวิเคราะห์อย่างเป็นอิสระ
สิบกว่าปีนับจากการเริ่มนำเสนอระเบียบวิธีทฤษฎีฐานราก Glaser กับ Strauss เริ่มมีความคิดแตกต่างกัน และมีการวิวาทะทางวิชาการระหว่างนักวิชาการทั้งสองคน Glaser (1992) ยังยืนยันอย่างเหนียวแน่นกับหลักการดั้งเดิมของทฤษฎีฐานรากที่เสนอครั้งแรก และนิยามทฤษฎีฐานรากในฐานะวิธีการค้นพบความจริง ปฏิบัติการจำแนกประเภทในฐานะที่อุบัติจากข้อมูล อาศัยข้อมูลเชิงประจักษ์โดยตรง และวิเคราะห์กระบวนการสังคมระดับพื้นฐาน Glaser ยังยืนยันอย่างหนักแน่นว่า นักวิจัยไม่ควรนำความรู้ที่มีมาก่อนไปใช้ในการศึกษาวิจัยเพื่อป้องกันและลดผลกระทบต่อการวิเคราะห์ข้อมูล แต่ Strauss ได้ปรับเปลี่ยนความคิดและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับวิธีการทฤษฎีฐานราก Strauss และ Corbin (1990) ได้เสนอกระบวนเทคนิคใหม่โดยใช้คำถามเชิงวิเคราะห์ การตั้งสมมติฐาน และการประยุกต์ระเบียบวิธี ซึ่งแตกต่างจากเทคนิคเดิมที่เน้นวิธีการเปรียบเทียบและการแยกประเภทโดยไม่มีการตั้งสมมติฐานของ Glaser แต่สิ่งที่แตกต่างกันมากระหว่างบุคคลทั้งสองคือ การจัดวางตำแหน่งของนักวิจัยกับโลกทางสังคมที่พวกเขาศึกษา Strauss สนับสนุนให้นักวิจัยใช้ประสบการณ์ทั้งส่วนบุคคลและวิชาชีพ เพื่อเพิ่มความละเอียดอ่อนทางทฤษฎี (Theoretical Sensitivity) มากกว่าการพยายามสร้างความคลุมเครือทางความคิดในการวิจัย แต่สิ่งที่ทั้งสองยังคงมีความเหมือนกันคือ การมีฐานคติทางญานวิทยาแบบปฏิฐานนิยม ซึ่งเป็นสิ่งที่ย้อนแย้งเพราะทั้งสองนำเสนอทฤษฎีฐานรากเพื่อให้การวิจัยเชิงคุณภาพหลุดพ้นจากการครอบงำของการวิจัยเชิงปริมาณแบบปฏิฐานนิยม แต่ก็กลายเป็นว่าทฤษฎีฐานรากของนักวิชาการทั้งสองนั้นมีฐานคติแบบปฏิฐานนิยมเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะประเด็น การค้นพบความจริง การอธิบายเชิงสาเหตุ และความสัมพันธ์ระหว่างผู้ศึกษากับสิ่งที่ถูกศึกษา เพียงแต่เป็นปฏิฐานนิยมเชิงอุปนัย ขณะที่การวิจัยเชิงปริมาณเป็นปฏิฐานนิยมเชิงนิรนัย
ในขณะเดียวกัน นักวิชาการจำนวนหนึ่งได้พัฒนาระเบียบวิธีทฤษฎีฐานรากให้เคลื่อนตัวออกจากฐานคิดแบบปฏิฐานนิยม ไปสู่ฐานคิดแบบการตีความนิยม (Interpretation) ในท่ามกลางนักวิชาการจำนวนมาก มีนักวิชาการผู้หนึ่งซึ่งมีความโดดเด่นมาก คือ Kathy Charmaz (2006) ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาของมหาวิทยาลัย Sonoma State ซึ่งได้เสนอแนวทางการใช้ทฤษฎีฐานรากภายใต้การตีความนิยมและสร้างสรรค์นิยม (Constructionism) และได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีฐานราก ชื่อ Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis โดยผสานการใช้ฐานคติของกระบวนทัศน์การตีความเพื่อเข้าใจ (Understanding) ต่อโลกทางสังคมที่ศึกษา กับกระบวนทัศน์ปฏิฐานนิยมเพื่ออธิบาย (Explanation) ปรากฎการณ์ที่ศึกษา
เนื้อหาและการวิจารณ์
หนังสือเล่มนี้ของ Charmaz แบ่งออกเป็น 8 บท บทที่ 1 การเชื้อเชิญสู่ทฤษฎีฐานราก (Invitation to Grounded Theory) เริ่มจากการอุบัติของทฤษฎีฐานรากในฐานะที่เป็นระเบียบวิธีของการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งเกิดขึ้นภายในบริบททางประวัติศาสตร์ของโลกวิชาการสังคมศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาที่ถูกครอบงำโดยการวิจัยเชิงปริมาณ Charmaz ได้อธิบายให้เห็นว่า Glaser และ Strauss เสนอทฤษฎีฐานรากอย่างเป็นระบบโดยการใช้วิธีการเชิงอุปนัยในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อท้าทายการวิจารณ์ของนักวิชาการเชิงปริมาณที่มีต่อการวิจัยเชิงคุณภาพ ในเรื่องความไร้ระบบของการวิเคราะห์ข้อมูล และการมีอคติของผู้วิจัย จากนั้นวิธีการวิจัยที่ใช้ทฤษฎีฐานรากก็ได้รับความนิยมในแวดวงวิชาการอย่างกว้างขวาง ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในสาขาต่างๆด้านสังคมศาสตร์เป็นจำนวนมาก แม้กระทั่งนักปริมาณนิยมก็ยังให้การยอมรับระเบียบวิธีนี้ อย่างไรก็ตามแม้ว่า Glaser และ Strauss จะเสนอทฤษฎีฐานรากเพื่อให้การวิจัยเชิงคุณภาพหลุดพ้นการครอบงำโลกทางวิชาการของนักปฏิฐานนิยม แต่ปรากฏว่า ทฤษฎีฐานรากที่พวกเขาเสนอนั้น ก็ได้แฝงฐานคติที่สำคัญของปฏิฐานนิยม โดยเฉพาะเรื่องการเน้นการค้นพบความจริง การสร้างทฤษฎีเพื่ออธิบายกระบวนการสังคม และความเป็นกลางอย่างเคร่งครัดระหว่างนักวิจัยกับข้อมูล อย่างไรก็ตามความแตกต่างทางความคิดระหว่าง Glaser และ Strauss ก็เกิดขึ้น เพราะ Glaser ยืนกรานหลักการดั้งเดิมของทฤษฎีฐานรากที่เขาเสนอเมื่อ ปี 1967 ส่วน Strauss นั้นมีความยืดหยุ่นในเรื่องการมีความคิดนำในการวิจัย ยอมรับการตั้งสมมติฐานชั่วคราว และยอมรับวิธีการวิเคราะห์ที่หลากหลาย ถึงกระนั้นทั้งคู่ก็ยังดำรงฐานคติที่สำคัญด้านภววิทยาของปฏิฐานนิยม ที่ว่า ความจริงดำรงอยู่แล้ว มนุษย์เพียงไปค้นพบความจริงนั้น
ส่วนจุดยืนของ Chamaz ที่ระบุไว้ในบทที่ 1 คือ การเน้นแนวทางที่ยืดหยุ่นของทฤษฎีฐานราก ไม่ได้มองว่าทฤษฎีฐานรากเป็นสูตรสำเร็จทางระเบียบวิธีที่ตายตัวดังที่ Glaser ยืนกราน Chamaz มีฐานคติเกี่ยวกับโลกคือ ไม่เชื่อว่าข้อมูลและทฤษฎีเป็นการค้นพบ แต่มองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้วิจัย ปรากฎการณ์ที่ศึกษา และข้อมูลที่รวบรวม นักวิชาการสร้างทฤษฎีฐานรากจากการเกี่ยวพันอดีตและปัจจุบันของตนเองและการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน มุมมองทางสังคม และปฏิบัติการวิจัย ทฤษฎีฐานรากเป็นการวาดภาพของความเป็นจริงที่เกิดจากการตีความของผู้วิจัย ไม่ใช่ภาพแห่งความเป็นจริงตามธรรมชาติของมัน โดยนัยนี้นักวิจัยในฐานะผู้ศึกษาจึงสร้างความเป็นจริงขึ้นมาชุดหนึ่งเกี่ยวกับปรากฎการณ์ที่ตนศึกษา และท้ายที่สุด Charmaz ได้ย้ำว่าแนวทางทฤษฎีฐานรากสร้างมาจากพื้นฐานของนักปฏิบัตินิยม (Pragmatist) และการวิเคราะห์เชิงการตีความ
ในบทนี้ Chamaz ทำให้ผู้อ่านเข้าใจความเป็นมา การกำเนิด และพัฒนาการของทฤษฎีฐานรากอย่างสังเขป ซึ่งทำให้ผู้อ่านเห็นความเชื่อมโยงสำหรับการเขียนในบทต่อไปของหนังสือเล่มนี้ อย่างไรก็ตามเนื้อหาส่วนที่แสดงความแตกต่างทางความคิดระหว่าง Glaser และ Strauss มีน้อยเกินไป ซึ่งทำให้เห็นภาพไม่ชัดเจนเท่าที่ควรเกี่ยวกับประเด็นที่ผู้ให้กำเนิดทฤษฎีฐานรากทั้งสองมีความเห็นต่างกัน อันที่จริงหาก Chamaz เพิ่มเติมการวิเคราะห์ความแตกต่างของนักวิชาการทั้งสองในประเด็น การอุบัติของแบบแผนทางทฤษฎี การพัฒนาทฤษฎี ขั้นตอนการวิเคราะห์ การจัดประเภท การสร้างรหัส และระยะห่างของนักวิจัยกับข้อมูล ก็จะสร้างความเข้าใจแก่ผู้อ่านได้มากขึ้น
การที่ Charmaz ระบุว่าแนวทางทฤษฎีฐานรากในหนังสือเล่มนี้มีความยืดหยุ่น ไม่ใช่สูตรสำเร็จเชิงเส้นตรง มีจุดยืนแบบปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ และมีฐานคติแบบกระบวนทัศน์การตีความ จึงเป็นการเสนอทางเลือกที่สามารถโน้มน้าวใจให้นักวิชาการจำนวนหนึ่งซึ่งปฏิเสธการใช้ทฤษฎีฐานรากที่อยู่ภายใต้กระบวนทัศน์แบบปฏิฐานนิยมของ Glaser และ Strauss มาใช้ทฤษฎีฐานรากเป็นระเบียบวิธีในการวิจัย ในการศึกษาปรากฎการณ์ทางสังคมได้อย่างสะดวกใจมากขึ้น
บทที่ 2 การรวบรวมข้อมูลอย่างเข้มข้น (Gathering Rich Data) เป็นการอธิบายเกี่ยวกับการตัดสินใจเริ่มต้นและเลือกแนวทางรวบรวมข้อมูล Charmaz มองยุทธศาสตร์การรวบรวมข้อมูลเป็นเครื่องมือมากกว่าเป็นสูตรสำเร็จ สนับสนุนให้นักวิจัยเก็บข้อมูลจำนวนมากอย่างเข้มข้น และวางลงในสถานการณ์และบริบททางสังคมที่เกี่ยวข้อง ในบทนี้ Charmaz ได้เสนอแนวทางรวบรวมข้อมูล และการใช้ข้อมูลเพื่อเรียนรู้วิธีการที่ผู้คนให้ความหมายต่อสถานการณ์และการกระทำของพวกเขา
Charmaz ชี้ว่า การศึกษาวิจัยขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ ความสำคัญ และความเกี่ยวข้องของข้อมูล การพัฒนาแบบแผนหรือการจำแนกประเภทเชิงมโนทัศน์ (Conceptual Categorization) ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความเพียงพอของข้อมูล สำหรับแนวทางในการรวบรวมข้อมูล Charmaz เสนอให้เริ่มต้นจากการตั้งคำถามเพื่อวิเคราะห์กระบวนการทางสังคมพื้นฐาน คำถามแรกคือ “อะไรเกิดขึ้นที่นี่” ซึ่งสามารถแยกออกเป็นสองระดับคือ “อะไรคือกระบวนการทางสังคมระดับพื้นฐาน” และ “อะไรคือกระบวนการจิตวิทยาสังคมพื้นฐาน” จากนั้นให้ถามคำถามเหล่านี้ตามมา “ จากมุมมองของใครที่ทำให้กระบวนการนั้นเป็นพื้นฐาน” และ “ทัศนะของใครที่มองกระบวนนั้นเป็นชายขอบหรือไม่ใช่สิ่งสำคัญ” “กระบวนการทางสังคมนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร” “การกระทำของผู้มีส่วนร่วมสร้างกระบวนการนั้นเกิดขึ้นอย่างไร” “ใครใช้อำนาจควบคุมกระบวนการนั้น” “ภายใต้สถานการณ์แบบใด” “อะไรคือความหมายที่แตกต่างที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ต่อกระบวนการนั้น” “พวกเขาพูดอย่างไรเกี่ยวกับมัน” “อะไรที่พวกเขาเน้น” “อะไรที่เขาละทิ้ง” “ความหมายและการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงกระบวนการนั้นเกิดขึ้นเมื่อไรและอย่างไร”
นอกจากนี้ Charmaz ยังได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างแนวทางทฤษฎีฐานรากฐานเชิงชาติพันธุ์วรรณา (Grounded Theory in Ethnography) ซึ่งมุ่งเน้นการให้ความสำคัญต่อปรากฎการณ์ หรือกระบวนการ กับการศึกษาแนวชาติพันธุ์วรรณาทั่วไปที่เน้นการพรรณาสภาพของสถานที่ศึกษา (Setting)
สำหรับการเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ Charmaz ใช้คำว่า “การสัมภาษณ์แบบเข้มข้น” (Intensive Interviewing) ซึ่งเป็นการสนทนาค้นหาอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับหัวข้อบางอย่างกับบุคคลผู้มีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับหัวข้อนั้น ผู้สัมภาษณ์จะถามเพื่อให้ผู้ถูกสัมภาษณ์พรรณนาและสะท้อนประสบการณ์ของพวกเขาในวิถีที่เกิดขึ้นน้อยในชีวิตประจำวัน ผู้สัมภาษณ์จะฟังอย่างตั้งใจ สังเกตด้วยความละเอียดถี่ถ้วน และกระตุ้นให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ตอบสนอง ดังนั้นในการสนทนาผู้ถูกสัมภาษณ์จะเป็นผู้พูดเกือบทั้งหมด ในขณะเดียวกัน Chamaz ยังได้เสนอแนวทางปฏิบัติสำหรับการสัมภาษณ์เรื่องที่มีความอ่อนไหว เช่น การถูกตีตรา หรือ การหย่าร้าง ไว้อย่างน่าสนใจ เช่น ควรให้ความสำคัญกับความรู้สึกของผู้สัมภาษณ์มากกว่าข้อมูล การให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดเมื่อพบประเด็นที่ต้องพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่จริง เป็นต้น และในหนังสือยังได้นำเสนอตัวอย่างคำถามการสัมภาษณ์ที่เป็นแนวทางสำหรับผู้อ่านอีกด้วย ตั้งแต่คำถามเริ่มต้น คำถามระหว่างกลาง และคำถามปิดท้าย
การรวบรวมข้อมูลอีกประการที่ Charmaz เสนอไว้ในหนังสือเล่มนี้คือ การวิเคราะห์หนังสือและเอกสาร ผู้คนสร้างเอกสารสำหรับวัตถุประสงค์บางอย่าง และกระทำภายใต้บริบททางสังคม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และเศรษฐกิจ นักวิจัยสามารถเปรียบเทียบ ท่วงทำนองการเขียน เนื้อหา ทิศทาง และการนำเสนอเอกสารกับวาทกรรมที่ใหญ่กว่าซึ่งเอกสารนั้นเป็นส่วนหนึ่งของมัน เอกสารบอกบางอย่างที่ผู้กระทำทางสังคมตั้งใจทำหรือไม่ตั้งใจทำก็ได้
Charmaz แบ่งเอกสารเป็นสองประเภท คือ 1) เอกสารที่กลุ่มเป้าหมายการวิจัยเป็นผู้เขียนเอง (Elicited Texts) และผู้วิจัยมีส่วนในการสร้างคำถามหรือแนวทางการเขียน เช่น แบบสอบถามปลายเปิด บันทึกประจำวัน หรือ ข้อความที่ผู้วิจัยขอให้กลุ่มเป้าหมายเขียน 2) เอกสารที่ผู้วิจัยไม่มีส่วนร่วมในการสร้าง (Extant Texts) เช่น รายงานรัฐบาล เอกสารองค์การ สื่อมวลชน บันทึกการรักษาพยาบาล
ในบทนี้ Charmaz ได้เสนอแนวทางและวิธีการรวบรวมข้อมูลหลักเอาไว้ค่อนข้างดี ซึ่งช่วยให้นักวิจัยที่จะใช้วิธีทฤษฎีฐานรากสามารถมีจุดเริ่มต้นในการรวบรวมข้อมูล มีการเสนอตัวอย่างสำหรับการสัมภาณ์แบบเข้มข้น เสนอวิธีการและเกณฑ์ในการรวบรวมข้อมูลเอกสารไว้อย่างเป็นระบบ รวมทั้งข้อเสนอแนะและข้อควรระวัง สำหรับการปฏิบัติจริงในการรวบรวมข้อมูลที่กลั่นมาจากประสบการณ์การทำวิจัยอันยาวนานของเธอ
บทที่ 3 การสร้างรหัสในการปฏิบัติของทฤษฎีฐานราก (Coding in Grounded Theory) แสดงวิธีการทำรหัส กำหนดชื่อและนิยามรหัส โดยเน้นสองวิธีการหลัก 1) การทำ “รหัสบรรทัดต่อบรรทัด”ขั้นต้น (Line-by-Line Coding) และเริ่มต้นก่อรูปกรอบความคิด และ 2) การทำ “รหัสแบบเพ่งความสนใจ” (Focused Coding) ซึ่งทำให้สามารถแยกแยะ จัดประเภท และสังเคราะห์ข้อมูล หลักสำคัญในการทำรหัสคือสร้างรหัสให้สอดคล้องกับข้อมูล มิใช่บังคับข้อมูลให้สอดคล้องกับรหัส
Charmaz อธิบายว่า การเริ่มต้นทำรหัสแบบบรรทัดต่อบรรทัดคือการกำหนดชื่อแต่ละบรรทัดที่เขียน แม้ว่าการทำรหัสทุกบรรทัดจะดูเหมือนจะเป็นการสร้างแบบมากเกินความจำเป็นเพราะแต่ละบรรทัดอาจไม่ใช่ประโยคสมบูรณ์หรือเป็นประโยคที่ไม่สำคัญ แต่ก็เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มาก เพราะจะทำให้ความคิดบังเกิดขึ้นเมื่อผู้วิจัยอ่านเพื่อวิเคราะห์
Charmaz เสนอยุทธศาสตร์ที่ยืดหยุ่นการทำรหัส อันได้แก่ การแยกข้อมูลออกเป็นองค์ประกอบหรือคุณสมบัติ การนิยามการกระทำ การค้นหาฐานคติที่ซ่อนเร้น อธิบายการกระทำที่แอบแฝงและความหมาย ตกผลึกจุดสำคัญ เปรียบเทียบข้อมูลกับข้อมูล และระบุช่องว่างในข้อมูล ผลจากการทำรหัสทำให้นักวิจัยสามารถจัดประเภทและเห็นกระบวนการ อันนำไปสู่การวิเคราะห์ คำถามสำคัญเพื่อพัฒนากรอบความคิดขั้นต่อไปคือ อะไรคือกระบวนการของประเด็นนี้ และจะนิยามมันอย่างไร กระบวนการนี้พัฒนาขึ้นมาได้อย่างไร ผู้ที่ถูกสัมภาษณ์ทำอย่างไรเมื่อเกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้ อะไรคือสิ่งที่ผู้ถูกสัมภาษณ์คิดและรู้สึกขณะที่กำลังอยู่ในกระบวนการนี้ อะไรคือพฤติกรรมที่ระบุว่าพวกเขารู้สึกอย่างนั้น กระบวนการนี้เปลี่ยนเมื่อไร เปลี่ยนอย่างไร และมีเหตุอะไรที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อะไรคือผลสืบเนื่องของกระบวนการ
สำหรับการทำ “รหัสแบบเพ่งความสนใจ” เป็นใช้ “รหัสจากรหัสเริ่มต้น” ที่มีความสำคัญและ/หรือที่มีความถี่บ่อยครั้งมาพิจารณาเพื่อตัดสินว่า “รหัสเริ่มต้น” ใดมีความหมายต่อการวิเคราะห์มากที่สุดเพื่อนำไปสู่การจัดประเภทข้อมูล นอกจากการจัดทำรหัสสองประเภทหลักข้างต้นแล้ว Charmaz ยังได้เสนอการจัดทำ “รหัสแบบย่อย” (Axil Coding) ที่เชื่อมโยงกับประเภทหลัก ทั้งในรูปแบบ “ประเภทย่อย” และ “รูปแบบองค์ประกอบ” จากนั้นนำไปสู่การจัดทำ “รหัสเชิงทฤษฎี” (Theoretical Coding) โดยเชื่อมโยงรหัสที่มีความสำคัญ ซึ่งสัมพันธ์กันในลักษณะเป็นสมมติฐาน อันจะบูรณาการไปสู่การสร้างทฤษฎีต่อไป
มีบางปัญหาที่ Charmaz เตือนให้ระวังในการทำรหัสคือ การทำรหัสกว้างเกินไป การระบุหัวข้อมากกว่าการกระทำและกระบวนการ การมองข้ามวิธีการที่ผู้คนสร้างการกระทำและกระบวนการ ใช้ความรู้จากสาขาของตนเองเป็นหลักแทนที่จะเป็นข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมาย การทำรหัสที่ไม่เกี่ยวข้องกับบริบทที่ศึกษา และการใช้รหัสเพื่อการสรุปแทนที่จะเป็นการวิเคราะห์
ในบทนี้ Charmaz ได้นำเสนอวิธีการทำรหัสหลายวิธี โดยเน้นที่สองวิธีหลักดังที่กล่าวในข้างต้นแล้ว ซึ่งทำให้ผู้อ่านได้เห็นถึงกระบวนการตั้งแต่การเริ่มต้นทำรหัส การใช้รหัสในการจัดทำประเภทของแนวคิด นำไปสู่การเชื่อมโยงเชิงสมมติฐาน และสร้างเป็นทฤษฎีพื้นฐานได้อย่างชัดเจน และมีตัวอย่างจากงานวิจัยประกอบในแต่ละประเด็นซึ่งช่วยให้ผู้อ่านได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น รวมทั้งมีการตั้งคำถามในประเด็นหลักเพื่อทบทวนกระบวนการจัดทำรหัส ทำให้นักวิจัยไม่จมดิ่งอยู่ใน “ทะเลของรหัส” จนกระทั่งเกิดความสับสนในการวิเคราะห์ การเขียนของ Charmaz ทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกว่า การทำรหัสไม่ได้เป็นงานที่ยากจนเกินไป และเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพที่ใช้แนวทฤษฎีฐานราก
บทที่ 4 การเขียนบันทึก (Memo-writing) บทนี้อธิบายถึงวิธีการเขียนบันทึก แสดงตัวอย่างในการเขียนบันทึก การปรับยุทธศาสตร์ของนักเขียนมาใช้ในการร่างเบื้องต้นของงานวิจัย การใช้บันทึกในการยกระดับ “รหัสที่เพ่งความสนใจ” สู่ประเภทของมโนทัศน์
การเขียนบันทึกเป็นวิธีการสำคัญของทฤษฎีฐานรากเพราะจะช่วยให้ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลและรหัสในช่วงเริ่มแรกของการทำวิจัย ทำให้ผู้วิจัยใช้เวลาในการคิดและไตร่ตรองเกี่ยวกับข้อมูล จัดระบบรหัสเชิงคุณภาพเป็นประเภทต่างๆเพื่อการวิเคราะห์ พัฒนาท่วงทำนองแห่งนักเขียนของผู้วิจัย กระตุ้นให้เกิดความคิดเพื่อไปตรวจสอบในภาคสนาม ค้นพบช่องว่างของข้อมูล และเพิ่มความมั่นใจในสมรรถภาพของนักวิจัยเอง
Charmaz ได้เสนอให้ใช้ยุทธศาสตร์ของนักเขียน โดยใช้วิธีการเขียนแบบกลุ่มชั้น (Clustering) และการเขียนแบบอิสระ (Free Writing) สำหรับการเขียนแบบกลุ่มชั้นเริ่มจากหัวข้อหลักหรือความคิดแกนกลาง จากนั้นเคลื่อนตัวจากศูนย์กลางไปสู่กลุ่มชั้นย่อย กำหนดให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันอยู่ในกลุ่มชั้นย่อย ทำให้เกิดการเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างความคิด รหัส และประเภทต่างๆ เขียนขยายกิ่งก้านสาขาออกไปจนกว่าจะหมดภูมิรู้ที่มี พยายามเขียนกลุ่มชั้นที่แตกต่างกันกลายกลุ่มในหัวข้อเดียวกัน ใช้กลุ่มชั้นเล่นกับข้อมมูลดิบ จัดการกลุ่มชั้นแบบยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลงได้ และปลายเปิด ทำกลุ่มชั้นหลายกลุ่มและนำมาเปรียบเทียบกัน ส่วนการเขียนแบบอิสระ เริ่มจากเขียนความคิดลงในกระดาษเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เขียนในลักษณะที่ให้ตนเองอ่าน ปล่อยใจให้เขียนอย่างอิสระไม่มีขอบเขต ไม่ต้องสนใจไวยากรณ์ การจัดโครงสร้างการเขียน ตรรกะ หลักฐาน หรือ ผู้อ่าน เขียนให้เหมือนกับการพูด
ในระหว่างการเขียนบันทึก นักวิจัยจะใช้ “รหัสที่เพ่งความสนใจ” และประเภทมโนทัศน์ โดยการนิยามประเภท การเขียนขยายรายละเอียดคุณสมบัติต่างๆของประเภท การระบุเงื่อนไขที่ประเภทนั้นเกิดขึ้นมา ดำรงอยู่ และเปลี่ยนแปลง พรรณนาผลสืบเนื่อง และแสดงให้เห็นว่าประเภทมนโนทัศน์นั้นสัมพันธ์กับมโนทัศน์อื่นอย่างไร
ในบทนี้เรียกว่าเป็นการทดลองเขียนเบื้องต้น หรือออกกำลังกายทางความคิด เริ่มจัดระบบข้อมูลประเภทต่างๆเข้าด้วยกัน เชื่อมโยงกันและเขียนออกมาเป็นบันทึกสั้นๆ ซึ่งนับว่าเป็นก้าวที่สำคัญของนักวิจัยเชิงคุณภาพ Charmaz ได้แนะนำวิธีการต่างๆได้อย่างเป็นระบบชัดเจน และมีตัวอย่างเช่นเดียวกับบทอื่นๆ และทำให้เห็นว่าการเขียนบันทึกมีความสำคัญมากต่อการพัฒนาไปสู่การวิเคราะห์และการเขียนงานวิจัยในขั้นตอนต่อๆไป
บทที่ 5 การสุ่มตัวอย่างเชิงทฤษฎี การอิ่มตัว และการจัดรูปแบบประเภท (Theoretical Sampling, Saturation, and Sorting) เป็นการใช้ยุทธศาสตร์ทฤษฎีฐานรากเแสวงหาข้อมูลเพิ่มเติม กลั่นกรอง และขัดเกลาประเภทมโนทัศน์ (Conceptual Categories) ที่สร้างขึ้นมาในช่วงเริ่มต้น จนกระทั่งถึงจุดอิ่มตัวเชิงทฤษฎี (Theoretical Saturation) ซึ่งไม่มีคุณสมบัติใหม่ใดๆเกิดขึ้นเพิ่มเติมอีกระหว่างการรวบรวมข้อมูล จากนั้นนำไปสู่การอภิปรายบันทึกการจัดรูปแบบประเภท (Sorting) เพื่อให้สอดคล้องกับประเภทมโนทัศน์และแสดงความสัมพันธ์ที่บูรณาการสิ่งต่างๆเข้าด้วยกันโดยการใช้แผนผังความคิด (Diagramming) ซึ่งจะทำให้เห็นการเชื่อมโยงของกระบวนการและตรรกะได้อย่างชัดเจน
ในบทนี้ Charmaz ได้อธิบายหลักการของการสุ่มตัวอย่างเชิงทฤษฎีและการสุ่มตัวอย่างประเภทอื่นๆ ที่อาจเกิดความเข้าใจผิดกัน เช่น “การสุ่มตัวอย่างเชิงทฤษฎี” ชี้ทิศทางผู้วิจัยว่าควรเดินไปทางไหน ขณะที่ “การสุ่มตัวอย่างเริ่มแรกสำหรับคำถามวิจัย” จะบอกว่านักวิจัยจะเริ่มการวิจัย ณ จุดใด “การสุ่มตัวอย่างเชิงทฤษฎี” มีเป้าประสงค์เพื่อหาข้อมูลมาพัฒนาแนวความคิดและทฤษฎี มิใช่การหาตัวแทนประชากรเพื่อเพิ่มความเป็นสามัญการของผลการศึกษา
สำหรับการอิ่มตัวของประเภทมโนทัศน์ เกิดขึ้นเมื่อผู้วิจัยรวบรวมข้อมูลเพิ่มมากขึ้น แต่ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจใหม่ใดๆต่อทฤษฎีที่สร้างขึ้นมาอีกต่อไป ซึ่งแสดงว่าข้อมูลข่าวสารที่รวบรวมมานั้นเพียงพอสำหรับการอธิบายและตีความปรากฎการณ์ที่ศึกษาแล้ว Charmaz ยังได้อธิบายเกณฑ์ในการพิจารณาการอิ่มตัวของประเภทมโนทัศน์ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านที่จะนำไปใช้สำหรับการตัดสินใจว่าเมื่อใดควรยุติการรวบรวมข้อมูล
ในการจัดรูปแบบประเภทเชิงทฤษฎี การสร้างแผนผังความคิด และการบูรณาการ Charmaz ชี้ว่าเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญมาก เพราะเป็นการจัดระบบความคิดของผู้วิจัยให้ชัดเจน นำไปสู่การเปรียบเทียบประเภทมโนทัศน์ การเชื่อมโยงตรรกะ และการก่อรูปของทฤษฎีขึ้นมา
บทที่ 6 การสร้างทฤษฎีใหม่ในการศึกษาทฤษฎีฐานราก (Reconstructing Theory in Grounded Theory Studies) ในบทนี้ Charmaz ได้อธิบายความหมายของทฤษฎีในสังคมศาสตร์และมโนทัศน์ของการสร้างทฤษฎีในทฤษฎีฐานราก มีการนำจุดยืนของทฤษฎีฐานรากแบบปฏิฐานนิยมและแบบการตีความนิยมมาเปรียบเทียบเพื่อสร้างความกระจ่างต่อรูปแบบการวิเคราะห์ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง และมีการอภิปรายตัวอย่าง 3 ตัวอย่างในการสร้างทฤษฎี และ การสร้างใหม่ของตรรกะเชิงทฤษฎี แต่ละตัวอย่างมีความแตกต่างในจุดเน้น ขอบเขต และการใช้ แต่ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงการมีประโยชน์ของระเบียบวิธีทฤษฎีฐานรากเช่นเดียวกัน
Charmaz อธิบายว่า ทฤษฎีภายใต้จุดยืนของปฏิฐานนิยมคือ ชุดแนวความคิดที่มีการเชื่อมโยงในรูปของตัวแปร มีการเชื่อมโยงเชิงสาเหตุอย่างเป็นระบบ เพื่ออธิบายและทำนาย มีการพิสูจน์ความถูกต้องโดยการทดสอบสมมติฐาน และมีลักษณะเป็นสามัญการและสากล ขณะที่แนวตีความนิยมมองว่าทฤษฎีเป็นความเข้าใจเชิงจินตนาการของปรากฎการณ์ที่ถูกศึกษา ซึ่งผุดเกิดขึ้นมาระหว่างการศึกษา ความจริงมีความหลากหลาย ชั่วคราว ไม่มีลักษณะเชิงการกำหนดที่แน่นอน ข้อเท็จจริงและค่านิยมมีการเชื่อมโยงกันและชีวิตทางสังคมเป็นกระบวนการ
Charmaz ชี้ว่า การใช้ทฤษฎีฐานรากมีสองแนวทางคือ ทฤษฎีแนวภววิสัยนิยม (Objectivist Grounded Theory) และ แนวสร้างสรรค์นิยม (Constructionist Grounded Theory) แนวทางแรกมีรากฐานจากปรัชญาปฏิฐานนิยม ดังนั้นจึงมุ่งเข้าไปสู่ข้อมูลโดยตรง ไม่สนใจในกระบวนการและบริบทที่ผลิตข้อมูลเหล่านี้ขึ้นมา เพราะตัวข้อมูลเป็นตัวแทนข้อเท็จจริงเชิงภววิสัยเกี่ยวกับโลกที่เราศึกษาอยู่แล้ว ส่วนแนวสร้างสรรค์นิยมนั้นเน้นให้ความสำคัญกับปรากฎการณ์ที่ศึกษา และมองทั้งข้อมูลและการวิเคราะห์เป็นสิ่งที่ถูกสร้างมาจากประสบการณ์และความสัมพันธ์ของกลุ่มที่ศึกษา แนวทางนี้จึงให้ความสำคัญกับกระบวนการและบริบทที่ทฤษฎีถูกสร้างขึ้นมา
สำหรับตัวอย่างการสร้างทฤษฎีโดยใช้แนวทฤษฎีฐานรากแบบปฏิฐานนิยม Charmaz ได้หยิบยกงานของ Jane Hood เรื่อง Becoming a Two-job Family เป็นตัวอย่าง ในงานชิ้นนี้ Hood ใช้การวิเคราะห์เชิงภววิสัยเพื่ออธิบายและทำนายปรากฎการณ์ที่ศึกษา โดยกำหนดให้การที่สามีตระหนักและการให้คุณค่าต่อการมีส่วนร่วมรับผิดชอบทางการเงินในครอบครัวของภรรยา (ตัวแปรเหตุ) มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมของสามีในการทำงานบ้านและการดูแลบุตร (ตัวแปรผล)
ด้านตัวอย่างงานวิจัยที่ใช้ทฤษฎีฐานรากแบบผสมระหว่าง แนวทางภววิสัยนิยมเป็นหลักและใช้แนวทางตีความนิยมในบางส่วน Charmaz ได้ใช้งานของ Patrick Biermacki เรื่อง Pathways from Heroin Addiction เป็นตัวอย่าง งานชิ้นนี้เป็นการศึกษาถึงการที่ผู้ติดยาเสพติดกลายเป็นผู้เลิกเสพยาได้อย่างไรและมีสาเหตุใดที่ส่งผลให้ผู้ติดยาเสพติดสามารถเลิกเสพยาได้ทั้งที่ไม่ผ่านการบำบัด รวมทั้งเพื่อทำความเข้าใจกับประสบการณ์ของผู้ติดยาเสพติดระหว่างการเลิกและภายหลังการเลิกเสพยาแล้ว ในส่วนที่เป็นแนวทางภววิสัยของงานชิ้นนี้คือ การอธิบายกระบวนการ และสาเหตุที่ผู้ติดยาเสพติดเลิกการเสพยาโดยไม่ต้องเข้ารับการบำบัด สำหรับส่วนที่เป็นแนวทางตีความนิยมคือการใช้มุมมองของผู้ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการศึกษาอธิบายประสบการณ์ของตนเองระหว่างกระบวนการเลิกเสพยาและหลังการเลิกเสพยา Beirmacki ได้สร้างทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ ( Theory of Identity Transformation) ขึ้นมาจากงานวิจัยเรื่องนี้ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์สำหรับศึกษารูปแบบพฤติกรรมเบี่ยงเบนแบบอื่นๆได้หลายแบบ เช่น การกระทำผิดกฎหมาย และ โสเภณี เป็นต้น
สำหรับการใช้ทฤษฎีฐานรากแบบสร้างสรรค์นิยม Charmaz ได้ใช้งานของเธอเอง เรื่อง Good Days, Bad Days: The Self in Chronic Illness and Time เป็นตัวอย่าง ในงานวิจัยเรื่องนี้ Charmaz ศึกษาผู้ป่วยโรคเรื้อรังว่าจะรับมือกับโรคที่ตนเองประสบอยู่อย่างไร Charmaz ได้หยิบยกวลีธรรมดาสามัญวลีหนึ่งที่ผู้ป่วยใช้เป็นประจำขึ้นมาตีความเพื่อขุดหาความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน นั่นคือ “Living One Day at a Time” ความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้วลีนี้คือ การที่ผู้ป่วยจัดการกับสภาวะป่วยของตนเองในแต่ละวัน โดยไม่คิดถึงหรือกังวลต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผู้ป่วยมุ่งเน้นการกำหนดจิตและการปฏิบัติของตนเองในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมตนเองภายใต้สภาวะที่ไม่แน่นอนได้อย่างเป็นระบบ
งานที่ Charmaz หยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างทั้ง 3 เรื่อง ทำให้ผู้อ่านได้เห็นภาพของการสร้างทฤษฎีโดยการใช้ทฤษฎีฐานรากที่มีจุดยืนทางปรัชญาของศาสตร์แตกต่างกันได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และเป็นการขยายความเข้าใจเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างระเบียบวิธีการวิจัยกับปรัชญาของศาสตร์ให้กระจ่างขึ้น
บทที่ 7 การเขียนร่าง (Writing the Draft) เนื้อหาในบทนี้อธิบายความแตกต่างระหว่างการเขียนเพื่อพัฒนาการวิเคราะห์กับการเขียนสำหรับคนอ่านทั่วไป ยุทธศาสตร์ทฤษฎีฐานรากนำผู้วิจัยไปสู่การจดจ่อในการวิเคราะห์มากกว่าการวิวาทะกับการวิเคราะห์ และนำไปสู่การสร้างทฤษฎีต้นฉบับของตนเองอันเกิดจากการตีความข้อมูล ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ตรงข้ามกับการเขียนรายงานการวิจัยแบบดั้งเดิมของสังคมศาสตร์ที่แนะนำให้วิวาทะกับทฤษฎีก่อนเขียนรายงานการวิจัย บทนี้ได้นำเสนอแนวทางการประนีประนอมระหว่างรูปแบบการเขียนงานวิจัยตามแนวทฤษฎีฐานรากกับรูปแบบการเขียนรายงานตามประเพณีดั้งเดิมของการวิจัย โดยการเสนอแนวทางสำหรับการสร้างข้อถกเถียง การเขียนทบทวนวรรณกรรม และการพัฒนากรอบความคิด
ข้อเสนอของ Charmaz ในการเขียนร่างรายงาน เริ่มจากการนำบันทึกการวิเคราะห์ ประเภทมโนทัศน์ รูปแบบการจัดประเภท และแผนผังความคิดต่างๆมาตรวจสอบ และจัดระบบโดยยึดตรรกะ จากนั้นนำมาบูรณาการเขียนเป็นร่างแรก Charmaz ยังได้เสนอแนวทางในการสร้างข้อถกเถียง โดยให้ตั้งคำถามว่า “ข้อถกเถียงนั้นสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร” และเหตุผลใดบ้างที่ระบุถึงคุณูปการของทฤษฎีฐานรากที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมา สำหรับแนวทางการจัดลำดับหัวข้อให้ยึดมโนทัศน์หลัก จากนั้นขยายให้ครอบคลุมประเด็นในการวิเคราะห์ ในประเด็นการทบทวนวรรณกรรม แม้ว่านักวิชาการอย่าง Glaser และ Strauss แนะนำว่าควรทำเมื่อการวิเคราะห์เสร็จแล้ว เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของความคิดเดิมกับสิ่งที่ผู้วิจัยค้นพบจากทฤษฎีฐานราก แต่ Charmaz กลับมิได้เข้มงวดเช่นนักวิชาการทั้งสอง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าจุดยืนทางวิชาการแบบการตีความนิยมของเธอนั่นเอง Charmaz เห็นว่าการทบทวนวรรณกรรมอาจทำก่อนการลงภาคสนามเพื่อเป็นแนวทางอย่างกว้างๆ แต่ควรระวังอย่าให้กลายมาเป็นกรอบที่จำกัดความคิดสร้างสรรค์ ส่วนการทบทวนวรรณกรรมหลังการวิเคราะห์ จะทำให้ช่วยเพิ่มความแหลมคม และความแข็งแกร่งของข้อถกเถียง ในประเด็นนี้ผู้วิจารณ์เห็นด้วยกับข้อเสนอของ Charmaz คือนักวิจัยควรทบทวนวรรณกรรมอย่างกว้างขวางก่อนจะลงไปรวบรวมข้อมูลภาคสนาม แต่อย่าใช้วรรณกรรมเป็นคุกขังความคิดของตนเอง ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นก็จะผิดเจตนารมณ์ของทฤษฎีฐานราก ผู้วิจัยอาจใช้วรรณกรรมสำคัญเป็นแนวทาง และเมื่อวิเคราะห์ข้อมูลเสร็จแล้วก็ควรกลับไปทบทวนอีกครั้งเพื่อเพิ่มความแหลมคมและแข็งแกร่งของข้อถกเถียงในการวิเคราะห์
บทที่ 8 การสะท้อนต่อกระบวนการ (Reflecting the Process) อภิปรายเกณฑ์สำหรับการประเมินทฤษฎีฐานรากในฐานะผลผลิตของการวิจัย และคำถามเกี่ยวกับการแสวงหาความรู้และการตัดสินใจกระทำ Charmaz เสนอเกณฑ์ 4 มิติในการประเมินทฤษฎีฐานราก มิติแรกคือ ความน่าเชื่อถือ (Credibility) ในเรื่องความเพียงพอและความลึกของข้อมูล การเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ การแข็งแกร่งของตรรรกะที่เชื่อมโยงระหว่างข้อมูลกับการวิเคราะห์และข้อถกเถียง มิติที่สองคือ ความริเริ่มสร้างสรรค์ (Originality) ในเรื่องการสร้างประเภทมโนทัศน์ใหม่ การสร้างแนวคิดใหม่ นัยสำคัญของงานวิจัยต่อทฤษฎีและสังคม การท้าทาย การขยาย และ การปรับปรุง ความคิด (Ideas) แนวความคิด (Concepts) และการปฏิบัติที่เป็นอยู่ มิติที่สาม การสะท้อน (Resonance) ซึ่งเกี่ยวกับความสมบูรณ์ครบถ้วนของปรากฎการณ์ที่ศึกษา การเชื่อมโยงระหว่างสถาบันทางสังคมกับชีวิตของปัจเจกบุคคล เมื่อมีข้อมูลบ่งชี้ และ การทำให้ผู้เป็นเป้าหมายของการศึกษามีความเข้าใจสถานการณ์ของพวกเขาเพิ่มขึ้น และ การใช้ประโยชน์ (Usefulness) บ่งถึงความสามารถในการใช้ประโยชน์ของทฤษฎีฐานรากที่ค้นพบในชีวิตประจำวัน การมีนัยต่อการวิจัยที่จะทำต่อไป และการสร้างคุณูปการของงานวิจัยต่อการพัฒนาความรู้ และเชิงนโยบายในการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
อันที่จริงเกณฑ์ที่ Charmaz เสนอเพื่อประเมินงานวิจัยทฤษฎีฐานราก ก็ไม่แตกต่างจากเกณฑ์การประเมินงานวิจัยประเภทอื่นๆ แต่ก็มีประโยชน์สำหรับผู้คิดจะทำวิจัยทฤษฎีฐานราก อย่างน้อยก่อนเริ่มทำก็ควรคิดถึงเกณฑ์เหล่านี้ไว้ล่วงหน้า และเมื่อทำเสร็จแล้วก็นำเกณฑ์เหล่านี้มาประเมินงานของตนเองอีกทีเพื่อตรวจสอบว่างานที่ทำมีคุณภาพมากน้อยเพียงใด
กล่าวโดยสรุป หนังสือ Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis ของ Charmaz เป็นหนังสือที่ช่วยสร้างความเข้าใจปรัชญา แนวทาง และกระบวนการทฤษฎีฐานรากอย่างเป็นระบบ ทำให้ผู้อ่านเห็นถึงพัฒนาการของทฤษฎีฐานรากตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังช่วยขยายความคิดความเข้าใจเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างระเบียบวิธีการวิจัยและปรัชญาสังคมศาสตร์ ในแต่ละบทเขียนอธิบายอย่างเป็นระบบ ใช้ภาษาที่ไม่ยากนัก มีการเน้นประเด็นสำคัญเป็นระยะๆ ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านจับประเด็นสำคัญได้ง่ายขึ้น และมีการนำเสนอตัวอย่างประกอบการอธิบายในแต่ละเรื่องที่นำเสนอซึ่งทำให้ผู้อ่านได้เห็นถึงรูปธรรมในการปฏิบัติอย่างชัดเจน จึงกล่าวได้ว่าหนังสือเล่มนี้มีคุณค่าและเหมาะกับนักศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาทั้งระดับปริญญาโทและเอก รวมทั้งอาจารย์และนักวิชาการทั่วไปที่สนใจการวิจัยเชิงคุณภาพด้วย
บรรณานุกรม
Charmaz, K. 2006. Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis. London: SAGE.
Jones, R., & Noble, G. 2007. Grounded Theory and Management Research: A Lack of Integrity? Qualitative Research in Organizations and Management: An International Journal, 2(2), 84-103.
Strauss, A., & Corbin, J. 1990. Basics of Qualitative Research: Grounded Theory Procedures and Techniques. Newbury Park: SAGE.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น