ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เส้นทางการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพ


4

เส้นทางการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ชาวกรุงเทพมหานครกำลังอยู่ในห้วงเวลาแห่งการพิจารณาคัดเลือกผู้บริหารคนใหม่แทน ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ซึ่งบริหารงานมาครบวาระสี่ปีเต็ม  การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่จะเกิดขึ้นในต้นเดือนมีนาคม2556    ช่วงเวลานี้ผมคิดว่า การทำความเข้าใจลักษณะของการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯเป็นเรื่องที่น่าสนใจ จึงนำเรื่องราวทางประวัติศาสตร์บางประการมาเล่าสู่กันฟัง
การเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ 10 สิงหาคม 2518   นายธรรมนูญ เทียนเงิน ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้ได้รับเลือกด้วยคะแนน 99,247 18  คะแนน  ในครั้งนั้นมีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งร้อยละ 13.86 ของผู้มีสิทธิทั้งหมด   แต่ต่อมาในวันที่ 29 เมษายน 2520  นายธรรมนูญ ถูกปลดจากตำแหน่งและรัฐบาลยุคนั้นได้ยกเลิกระบบการเลือกตั้งและใช้การแต่งตั้งแทน
ระบบการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯมหานครถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในปี 2528  และมีการเลือกตั้งครั้งแรกภายใต้ระบบใหม่เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน  2528   จากนั้นก็มีการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่องโดยมิได้สะดุดหยุดลง แม้ว่าบางช่วงเวลาการเมืองระดับชาติมีปัญหา  แต่ก็หาได้กระทบต่อระบบการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯแต่อย่างใด  จวบจนปัจจุบันเวลาผ่านไป 28 ปี  ระบบนี้ก็ยังคงอยู่   อาจกล่าวได้ว่า ระบบการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานครมีอายุยืนยาวอย่างต่อเนื่องยิ่งกว่าระบบการเลือกตั้งใดๆของประเทศไทย  
ใน 28 ปี ที่ผ่านมา กรุงเทพฯมีผู้ว่าฯจำนวน คน ได้แก่ พล.ต. จำลอง ศรีเมือง  ร.อ. กฤษฎา  อรุณวงษ์ ณ อยุธยา นายพิจิตต รัตตกุล  นายสมัคร  สุนทรเวช  นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน และ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร    มี คนที่เป็นผู้ว่าฯสองสมัย คือ พล ต. จำลอง และ นายอภิรักษ์  แต่ในวาระที่สองของทั้งสองคนล้วนอยู่ไม่ครบวาระ   
พล. ต. จำลอง ศรีเมืองลาออกจากตำแหน่งในช่วงต้นปี 2535 ภายหลังดำรงตำแหน่งวาระที่สองประมาณสองปี   สถานการณ์ที่นำไปสู่การตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งของพล. ต.จำลอง ศรีเมือง คือช่วงเวลานั้นมีปัญหาการเมืองระดับชาติอันเกิดจากการรัฐประหารในปี 2534 ของคณะทหารกลุ่มหนึ่งที่มี พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ และพลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นผู้นำ    ต่อมาคณะรัฐประหารดำเนินการสร้างระบบสืบทอดอำนาจเผด็จการ   พล. ต.จำลองศรีเมือง จึงตัดสินใจลาออกจากผู้ว่ากรุงเทพฯ และนำประชาชนต่อสู้กับคณะรัฐประหาร จนกระทั่งสามารถหยุดยั้งระบบสืบทอดอำนาจเผด็จการของกลุ่มคณะรัฐประหารนั้นได้ในเดือนพฤษภาคม 2535  
ส่วนกรณีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน หลังจากได้รับเลือกตั้งในวาระที่สองเมื่อวันที่ ตุลาคม 2551 เพียงเดือนเศษ ต้องลาออกไปเมื่อวันที่ 19พฤศจิกายน 2551  เพราะถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) มีมติชี้มูลความผิดกรณีซื้อรถดับเพลิงและเรือดับเพลิง   และแม้ว่าจะไม่มีกฎหมายใดที่ระบุว่าเมื่อผู้บริหารท้องถิ่นถูกชี้มูลความผิดจาก ปปช.แล้วต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือลาออก    แต่นายอภิรักษ์ โกษะโยธินก็ตัดสินใจลาออก โดยให้เหตุผลแก่สังคมว่าต้องการสร้างมาตรฐานใหม่แก่การเมืองไทย
การสังกัดพรรคการเมืองอาจจะไม่เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ผู้สมัครได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้ว่ากรุงเทพมหานคร   โดยเฉพาะยุคแรกๆของการเลือกตั้ง  ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นผู้ว่ากรุงเทพฯมักจะเป็นผู้สมัครอิสระไม่สังกัดพรรคการเมืองแม้ว่าบางคนภายหลังจะสังกัดพรรคการเมือง และบางคนเคยสังกัดพรรคการเมืองมาก่อนสมัครเป็นผู้ว่ากรุงเทพฯ  เช่น พล. ต. จำลอง ศรีเมืองร.อ. กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา นายพิจิตต รัตตกุล   แต่ขณะที่บุคคลเหล่านี้ได้รับการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ ครั้งแรกต่างก็เป็นผู้สมัครอิสระ  กรณีนี้กล่าวได้ว่าคุณสมบัติส่วนตัวของผู้สมัครที่สอดคล้องกับรสนิยมของคนกรุงเทพฯในแต่ละช่วงเวลา น่าจะเป็นเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของชาวกรุงเทพมหานคร
อย่างไรก็ตามผู้สมัครที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้ว่ากรุงเทพฯเกือบทั้งหมดเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ในการทำงานการเมืองระดับชาติหรือท้องถิ่นมาก่อนทั้งสิ้น ยกเว้น นายอภิรักษ์   โกษะโยธิน    เช่น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เคยเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีสมัยที่พล อ. เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีมาเป็นเวลานาน  นายพิจิตต รัตตกุล และนายสมัคร สุนทรเวชก็เช่นเดียวกัน   การที่บุคคลเหล่านี้ทำงานการเมืองระดับชาติหรือท้องถิ่นมาก่อนทำให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของประชาชนชาวกรุงเทพฯ  และเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่มีผลต่อคะแนนนิยมไม่น้อยทีเดียว
สิ่งที่น่าสนใจอีกประการคือกรณี พรรคประชาธิปัตย์  ซึ่งฐานเสียงสำคัญในการเมืองระดับชาติพื้นที่หนึ่งคือกรุงเทพมหานคร  แต่สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯช่วง 19 ปีแรก พรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ตลอดมา  แม้กระทั่ง กรณีนายพิจิตต รัตตกุล เอง เมื่อคราวลงสมัครผู้ว่ากรุงเทพฯครั้งแรกเมื่อปี 2535  ในนามพรรคประชาธิปัตย์ก็ประสบความพ่ายแพ้  ต่อมาเมื่อสมัครในนามอิสระในปี 2539 จึงประสบความสำเร็จ    ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ที่ประสบความสำเร็จได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่ากรุงเทพฯคนแรกคือ นายอภิรักษ์  โกษะโยธิน ในการเลือกตั้งปี 2547
แม้ว่าพรรคการเมืองระดับชาติไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานครมากนัก  แต่การเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯเกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาการเมืองในระดับชาติอย่างใกล้ชิด
ในการเลือกตั้งปี 2528 และ 2533   ประชาชนชาวกรุงเทพมหานครเอือมระอากับการทุจริตและฉ้อฉลของนักการเมืองระดับชาติอย่างรุนแรง  เมื่อพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์และคุณธรรมเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณะเสนอตัวเข้ามาเป็นทางเลือก   ชาวกรุงเทพฯจึงเทคะแนนเสียงให้อย่างล้นหลาม
ส่วนในการเลือกตั้งในปี 2539  กระแสของการเมืองระดับชาติเป็นเรื่องของการปฏิรูปการเมือง   ประชาชนต้องการเห็นสิ่งใหม่ๆในแวดวงการเมือง  เมื่อนายพิจิตต รัตตกุล เสนอทางเลือกเชิงนโยบายในการเน้นสิ่งแวดล้อม และภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ จึงเกิดเป็นกระแสนิยมส่งผลให้นายพิจิตต รัตตกุลได้รับการเลือกตั้งในครั้งนั้น
แต่การทำงานของนายพิจิตต รัตตกุลไม่ได้เป็นไปอย่างที่ประกาศไว้ตามนโยบายที่ใช้หาเสียงอย่างชัดเจน ในการเลือกตั้งครั้งถัดมาปี 2543 ประชาชนชาวกรุงเทพฯ จึงได้เปลี่ยนทัศนคติในการเลือกคุณสมบัติของผู้ว่าใหม่  เป็นการเลือกผู้สมัครที่เป็นคนเก่าคนแก่อันเป็นที่รู้จักคุ้นเคยอย่างยาวนาน  ทำให้นายสมัคร สุนทรเวช ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯในครั้งนั้น   และได้รับการคาดหวังจากประชาชนว่าเขาจะทุ่มเทการทำงานในการแก้ปัญหาและพัฒนากรุงเทพอย่างมีประสิทธิผล   แต่เมื่อผ่านไปสี่ปี  ปรากฏว่าผลงานของนายสมัคร สุนทรเวชกลับไม่เป็นที่ประทับใจของคนกรุงเทพฯมากนัก
การเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯในปี 2547  เป็นการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นท่ามกลางความรุ่งเรืองอย่างสุดขีดของพรรคไทยรักไทยในการเมืองระดับชาติ  แต่กลับกลายเป็นว่าพรรคไทยรักไทยไม่ได้ส่งผู้สมัครลงแข่งขันในสนามเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ  หลังจากที่เคยส่งคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ในนามพรรค แต่แพ้แก่นายสมัครเมื่อคราวเลือกตั้งปี 2543    ในทางกลับกันพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งประสบความพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งระดับชาติได้ส่งนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ลงสมัครในนามพรรคและได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่ากรุงเทพฯคนแรกที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์ (นับตั้งแต่มีการเลือกตั้งเมื่อปี 2528)
เงื่อนไขหลักที่ทำให้นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน  ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งคือ ความสามารถในการสร้างภาพลักษณ์ของการเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ และผนวกกับฐานคะแนนนิยมเดิมของพรรคประชาธิปัตย์   รวมทั้งการที่ชาวกรุงเทพฯได้รับบทเรียนจากการเลือกนายสมัคร สุนทรเวชครั้งก่อนที่เลือกคนประเภทที่เป็นนักการเมืองเก่า  แต่ปรากฏว่าทำงานไม่ได้ตามความคาดหวัง  ประชาชนชาวกรุงเทพฯจึงเปลี่ยนวิธีการตัดสินใจใหม่ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ
การทำงานของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน สร้างความรู้สึกที่ดีแก่ชาวกรุงเทพฯมากพอสมควร จึงทำให้เขาได้รับเลือกอีกครั้งในสมัยถัดมา  และเมื่อเขาลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าฯ   กระแสความนิยมได้ส่งต่อไปยัง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์  บริพัตรและทำให้ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าในปี 2552  แต่ทว่าดูเหมือนการทำงานของ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร  มิอาจสร้างความประทับใจแก่ชาวกรุงเทพมหานครมากนัก
การเลือกตั้งที่กำลังเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2556 นี้ พรรคประชาธิปัตย์ยังตัดสินใจส่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร  ลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯในนามพรรคแม้จะทราบว่าคะแนนนิยมของผู้สมัครคนนี้อาจไม่ดีนักก็ตาม   ด้านพรรคเพื่อไทยได้ส่ง พล.ต.อ. พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้มีความสามารถในการประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์แก่ตนเองเข้าสู่สนามแข่งขัน   ส่วนผู้สมัครอิสระอื่นๆที่พอมีชื่อเสียงในสังคมบ้าง เช่น พล ต. อ. เสรีพิสุทธิ์  เตมียาเวส      เป็นต้น
กล่าวได้ว่า ผู้สมัครผู้ว่ากรุงเทพฯในนามพรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองพรรคมิใช่เป็นบุคคลที่มีความโดดเด่นจนทำให้เราสมารถทำนายผลการเลือกตั้งที่แน่นอนได้ว่าใครมีแนวโน้มจะเป็นผู้ชนะเลือกตั้งเหมือนในบางยุค    การที่ผู้สมัครในนามพรรคการเมืองไม่โดดเด่นมาก ในแง่มุมหนึ่งทำให้การรณรงค์แข่งขันเลือกตั้งเป็นเรื่องน่าสนใจน่าติดตาม และทั้งยังทำให้ผู้สมัครอิสระมีโอกาสในการแข่งขันมากขึ้น
ส่วนใครจะได้เป็นผู้ว่ากรุงเทพมหานครคนต่อไปก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาสามารถคิดค้น ผลิตนโยบายในการหาเสียงได้ตรงกับรสนิยมของชาวกรุงเทพฯได้มากน้อยเพียงใด  หากมีผู้สมัครคนใดคนหนึ่งทำได้และพัฒนาจนกลายเป็นกระแส  เขาก็ย่อมมีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งนี้  


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คำถามประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการทำแท้งคือ เมื่อไรที่จะนับว่าชีวิตมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และ ณ จุดไหนที่สังคมควรจะเข้าไปดำเนินการปกป้องชีวิตที่กำลังก่อกำเนิด       ส่วนข้อถกเถียงเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับการทำแท้งมี ๒ ประเด็นหลักคือ  ประเด็นแรกคือ “คุณค่าของพื้นฐานแห่งชีวิต” ซึ่งมีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ยังไม่ได้กำเนิดมาดูโลก กับชีวิตของมารดา   ประเด็นที่สองคือ “พื้นฐานของเสรีภาพส่วนบุคคคล” ซึ่งเป็นสิทธิของมารดาเหนือร่างกายของตนเองในการให้กำเนิดและกำหนดชีวิต และประเด็นที่เป็นความขัดแย้งอีกประการคือแนวคิดเกี่ยวกับ “สิทธิสัมบูรณ์”  ระหว่างสิทธิของทารกในครรภ์ที่จะก่อตัวพัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษย์ กับสิทธิของมารดาในการควบคุมชีวิตและร่างกายของตนเอง ชีวิตมนุษย์เริ่มจากไหนและพัฒนาอย่างไร   ในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายขั้นตอนของการพัฒนาตัวอ่อนในครรภ์ในเป็นมนุษย์ ดังนี้ ๑.       ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นจากไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์จากอสุจิ หนึ่งเซลล์ของมนุษย์ผู้หนึ่งผสมกับเซลล์ของมนุษย์อีกผู้หนึ่ง กลายเป็นสองเซลล์และขยายเป็นสี่ และจากนั้นภายในหกวั

วิจารณ์หนังสือ การสร้างทฤษฎีฐานราก: แนวทางเชิงปฏิบัติผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ของ Kathy Charmaz. พิมพ์ในวารสารพัฒนาสังคม V 14. No. 2

บทวิจารณ์หนังสือ  พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต Kathy Charmaz  2006. Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis. London: SAGE   จำนวน  208  หน้า ความเป็นมาของทฤษฎีฐานราก ระเบียบวิธีทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) อุบัติขึ้นจากนักสังคมวิทยาสองคนคือ Barney G. Glaser และ Anselm L. Strauss ช่วงกลางทศวรรษ 1960s    ทั้งสองไปทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสภาวะกำลังตายและการตาย ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล    พวกเขาได้พัฒนายุทธศาสตร์เชิงระเบียบวิธีอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งทำให้นักสังคมศาสตร์สามารถนำไปประยุกต์ในการศึกษาเรื่องอื่นๆได้จำนวนมาก   ในปี 1967 Glaser และ Strauss  ได้เสนอระเบียบวิธีนี้เข้ามาสู่แวดวงวิชาการในหนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขา คือ The Discovery of Grounded Theory   ซึ่งทำให้การวิจัยเชิงคุณภาพรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ของระเบียบวิธี        ช่วงเวลาก่อนที่ Glaser และ Strauss เสนอระเบียบวิธีการวิจัยทฤษฎีฐานรากเป็นช่วงที่การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในสาขาสังคมวิทยากำลังประสบกับปัญหาทางระเบียบวิธีวิทยาอย่างหนักหน่วง   การวิจัยเชิงคุณ

พหุวัฒนธรรมนิยม สิทธิชนกลุ่มน้อยและความสมานฉันท์

พหุวัฒนธรรมนิยม สิทธิชนกลุ่มน้อยและความสมานฉันท์          พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต จากความขัดแย้งของสังคมไทยที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องอุดมการณ์ เรื่องเชื้อชาติและศาสนาในสามจังหวัดภาคใต้  และปัญหาแรงงานอพยพที่นับวันจะมีมากขึ้น ทำให้ผู้เขียนเห็นถึงความจำเป็นที่ต้องนำเสนอความคิดทางสังคมการเมืองซึ่งอาจนำไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายและการปฏิบัติเพื่อทำให้สังคมลดความขัดแย้ง  สร้างการบูรณาการ และความสมานฉันท์อย่างเป็นระบบขึ้นมา   เนื่องจากแนวความคิดนี้มีความยาวและต้องทำความเข้าใจในหลายมิติ ผู้เขียนพยามยามนำเสนอให้ง่ายต่อการอ่านและการเข้าใจ          พหุวัฒนธรรมนิยม ( multiculturalism) เป็นแนวคิดคู่แข่งทางวิชาการและนโยบายของลัทธิชาตินิยม ( nationalism)      นักวิชาการเริ่มใช้คำนี้ประมาณทศวรรษ 1960  เพื่ออธิบายนโยบายสาธารณะใหม่ ในประเทศแคนาดา ต่อมาขยายไปสู่ประเทศออสเตรเลีย  การพัฒนาการของแนวคิดนี้เป็นการเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยของรัฐบาลเพื่อเปลี่ยนแปลงนโยบายการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม ( assimilation) ไปสู่นโยบายสังคมพหุวัฒนธรรม นโยบายผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมทำให้วัฒ