การปะทะกันของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบใหม่กับแบบเก่า
พิชาย
รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
เมื่อปลายศตวรรษที่ยี่สิบ (1998) เทอรี่ นิโคลส์ คล๊าก และ วินเซนต์ ฮอฟฟ์แมนน์-มาร์ตินอท
ได้ร่วมกันเป็นบรรณาธิการผลิตหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งชื่อ วัฒนธรรมการเมืองใหม่ (the
new political culture) หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกเป็นกรอบแนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมการเมืองใหม่เพื่อใช้ในการตีความ
ว่าอะไรเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนที่ไหน และทำไมจึงเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่วนที่สองเน้นการตอบคำถามว่าวัฒนธรรมการเมืองใหม่อุบัติขึ้นที่ไหนและทำไม และส่วนที่สาม
เกี่ยวกับคำถามที่ว่าพรรคการเมืองและโครงสร้างแบบลำดับชั้นก่อให้เกิดทิศทางใหม่เกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญของประเด็นทางการเมืองและนโยบายอย่างไร
ผมเห็นว่าเป็นหนังสือที่น่าสนใจจึงนำบางส่วนมาถ่ายทอดให้ลองอ่านกันดู อันจะเป็นประโยชน์ในการนำมาวิเคราะห์
เปรียบเทียบเพื่อทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมทางการเมืองของประเทศไทยต่อไป
ในช่วงสังคมอุตสาหกรรมโดยเฉพาะช่วงต้นและกลางศตวรรษที่ยี่สิบ
วัฒนธรรมการเมืองของโลกตะวันตกได้รับอิทธิพลจากเรื่องชนชั้นและความขัดแย้งทางชนชั้น การต่อสู้ทางการเมืองมีการแบ่งเป็นขั้วขัดแย้งอย่างชัดเจนระหว่างฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวา
แต่ในปลายศตวรรษที่ยี่สิบประเด็นความขัดแย้งดังกล่าวได้เสื่อมพลังลงไป
จนแทบไม่สามารถเป็นปัจจัยหลักในอธิบายปรากฎการณ์ทางการเมืองได้อีกต่อไป
ปรากฎการณ์ทางการเมืองหลายประการที่เป็นภาพสะท้อนของของวัฒนธรรมการเมืองใหม่ได้อุบัติขึ้น
ดังตัวอย่าง ในประเทศสหรัฐอเมริกาช่วงทศวรรษที่ 1980s สัดส่วนของผู้เลือกตั้งอิสระที่ระบุว่าตนเองไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดเพิ่มขึ้นประมาณหนึ่งในสามของผู้เลือกตั้งทั้งหมด
ในช่วงเวลาเดียวกันขบวนการนิเวศวิทยาและพรรคกรีนก็ได้เกิดขึ้นหลังปี 1982 การอุบัติขึ้นของกลุ่มการเมืองที่มีความเชื่อแบบรากฐานนิยมทางศาสนา และมีขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแบบใหม่จำนวนมากเกิดขึ้นเพื่อเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย
และการกระจายอำนาจที่เข้มข้นมากขึ้น
ระยะแรกของการเกิดปรากฎการณ์การเมืองเหล่านั้น บรรดานักวิชาการยังไม่ได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลง
การวิเคราะห์ก็ยังคงใช้แนวคิดแบบเดิมซึ่งไม่เพียงพอต่อการทำความเข้าใจปรากฎการณ์ทางการเมืองใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าแนวคิดเดิมเช่น การเมืองเรื่องชนชั้น ระบบอุปถัมภ์
และการจัดช่วงชั้นทางสังคม ยังคงสามารถใช้ทำความเข้าใจปรากฎการณ์ทางการเมืองบางอย่างได้
แต่ไม่เพียงพอต่อการอธิบายและทำความเข้าใจกับปรากฎการณ์ทางการเมืองใหม่ๆที่เกิดขึ้นได้อีกต่อไป
เทอรี่ นิโคลส์ คล๊าก และ โรนัลด์
อิงเกิ้ลฮาร์ท จึงได้ร่วมกันนำเสนอกรอบแนวคิดในการวิเคราะห์วัฒนธรรมทางการเมืองใหม่ขึ้นมา
โดยมีแก่นหลักของแนวคิดเจ็ดด้าน ดังนี้
1.
การเปลี่ยนรูปของมิติการเมืองแบบฝ่ายซ้าย-ฝ่ายขวา ดั้งเดิม ในแวดวงทางการเมืองปัจจุบันผู้คนยังคงสนทนาเกี่ยวฝ่ายซ้าย-ฝ่ายขวา แต่ทว่าความหมายแบบเดิมได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
ความเป็นฝ่ายซ้ายในปัจจุบันจะเน้นให้ความสำคัญกับประเด็นทางสังคมเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันก็ลดความสำคัญในประเด็นการเมืองเรื่องชนชั้นลงไป ในยุโรปตะวันออกความเป็นขั้วค่ายระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาเปลี่ยนแปลงเสียจนกระทั่งไม่เหลือร่องรองของความหมายเดิมของอดีต
ที่ตลกร้ายก็คือ ความหมายกลับตรงกันข้ามกับอดีตด้วยซ้ำไป ซึ่งเห็นได้จากการนิยามการเป็นฝ่ายซ้ายทางการเมืองว่า
เป็นกลุ่มที่สนับสนุนกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลและการลดบทบาทของรัฐในการแทรกแซงระบบเศรษฐกิจ แม้ว่าในยุโรปตะวันตกการเปลี่ยนแปลงความหมายจะไม่กลับหัวกลับหางเหมือนฝั่งยุโรปตะวันออก แต่การเพิ่มบทบาทของรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจไม่ได้มีความหมายเท่ากับความก้าวหน้าอีกต่อไป
และแม้กระทั่งในกลุ่มของฝ่ายซ้ายเองประเด็นความขัดแย้งก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเป็นเจ้าของและการควบคุมวิถีการผลิตอีกต่อไป
2.
ความแยกอย่างชัดเจนระหว่างประเด็นทางสังคมและเศรษฐกิจ ประเด็นสังคมได้รับการวิเคราะห์อย่างเข้มข้นภายใต้แนวคิดทฤษฎีที่หลากหลายมากขึ้น
มิได้เป็นเพียง “โครงสร้างอุดมการณ์ส่วนบน” หรือ “จิตสำนึกที่ผิดพลาด”
เท่านั้น
ดังนั้นจุดยืนต่อประเด็นทางสังคมของประชาชน เช่น การเพิ่มขึ้นของบทบาทสตรี นโยบายเกี่ยวกับชนกลุ่มน้อย นโยบายเกี่ยวกับการทำแท้ง นโยบายเกี่ยวกับยาเสพติด
และการทุจริตคอรัปชั่น เป็นต้น จึงไม่ขึ้นอยู่กับฐานะทางเศรษฐกิจหรือชนชั้นแบบเดิมอีกต่อไป
3.
ประเด็นทางสังคมได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับประเด็นทางเศรษฐกิจ เมื่อประชาชนมีความมั่งคั่งมากขึ้น ความสนใจเกี่ยวกับคุณภาพของสังคม
ความต้องการได้รับบริการที่มีคุณภาพจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน การใช้ชีวิตแบบสะดวกสบาย
และการมีสุขภาพที่ดีก็มีมากขึ้น
4.
การเติบโตของปัจเจกชนนิยมแบบตลาดและปัจเจกชนนิยมแบบสังคม ปัจเจกชนนิยมภายใต้วัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่มิใช่การหวนคืนไปสู่แนวคิดปัจเจกชนนิยมแบบดั้งเดิมที่สนับสนุนเศรษฐกิจแบบเสรีแบบตลาดอย่างสุดขั้ว
อีกทั้งยังคัดค้านนโยบายรัฐนิยมของฝ่ายซ้ายแบบดั้งเดิม
เช่น นโยบายการโอนอุตสาหกรรมเป็นของรัฐและการเติบโตของรัฐสวัสดิการ วัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่มีการผสมผสานระหว่างเสรีนิยมแบบตลาดกับความก้าวหน้าทางสังคม
ซึ่งนำไปสู่การสนับสนุนนโยบายและแผนงานแบบใหม่
และการสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ในเกมการเมือง
5.
การตั้งคำถามกับรัฐสวัสดิการ
ผู้คนที่มีวัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่สรุปว่า
“การปกครอง” ที่หมายถึง
การวางแผนจากรัฐส่วนกลางเป็นสิ่งที่ไม่สมจริงในการให้บริการทางเศรษฐกิจและสังคม พวกเขาตั้งคำถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของระบบราชการส่วนกลางในการจัดบริการทางเศรษฐกิจและสังคม
และเรียกร้องให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน เพราะมีหลักฐานจำนวนมากที่สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลส่วนกลางขาดความรับผิดชอบและห่างเหินจากประชาชน ดังนั้นพวกเขาจึงสนับสนุนการกระจายอำนาจแก่ภาคประชาสังคมและเอกชน หากภาคส่วนเหล่านั้นทำงานได้ดีกว่า
6.
การเกิดขึ้นของการเมืองเชิงประเด็นและการขยายการมีส่วนร่วมทางการเมือง
รวมทั้งการเสื่อมขององค์การทางการเมืองแบบรวมศูนย์อำนาจ กลุ่มคนที่มีวัฒนการเมืองแบบใหม่จะต่อต้านระบบราชการแบบรวมศูนย์
พรรคการเมืองแบบผูกขาด และผู้นำทางการเมืองแบบดั้งเดิม ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแบบใหม่
และการเมืองเชิงประเด็นกลายเป็นเนื้อหาสำคัญของกระบวนการทางการเมือง ขบวนการเหล่านี้สนับสนุนให้รัฐบาลตอบสนองทางตรงต่อประเด็นปัญหาต่างๆมากขึ้น พรรคการเมืองผูกขาดในรูปแบบเดิม หน่วยงานของรัฐที่ปฏิบัติงานตามลำดับชั้นการบังคับบัญชา
หรือแม้กระทั่งสหภาพแรงงาน ถูกมองว่าเป็นสิ่งล้าสมัย
พลเมืองที่ชาญฉลาดและนักเคลื่อนไหวทางสังคมปฏิเสธการปฏิบัติที่ทำให้พวกเขาเป็นเสมือน
“สัตว์เลี้ยงที่เชื่องๆ”
หรือ
“เป็นผู้ที่อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์” ซึ่งรอการประทานหรือสั่งการจากพรรคการเมืองและหน่วยงานของรัฐ
พวกเขาได้จัดตั้งและเคลื่อนไหวประเด็นใหม่ๆเกี่ยวกับการจัดบริการสวัสดิการของรัฐ
เช่น การดูแลเด็กหรือผู้สูงอายุ
การดูแลสุขภาพ หรือ
การจัดการสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
สื่อมวลชนมีการเติบโตมีความสำคัญและสามารถสัมผัสได้มากยิ่งขึ้น ในสังคมมีกลุ่มใหม่ๆเกิดขึ้นและแสวงหาการมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย การนำนโยบายไปปฏิบัติ และการตรวจสอบอำนาจรัฐมากขึ้น กลุ่มเหล่านี้จึงมักได้รับการมองว่าเป็น “ผู้ก่อกวนสร้างความปั่นป่วน”
ความขัดแย้งของกลุ่มเหล่านี้กับบรรดาผู้มีวัฒนธรรมการเมืองแบบเก่าที่เป็นผู้นำทางการเมืองและยึดติดกับระบบอุปถัมภ์จึงมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้น
7.
ปัจจัยที่ผลต่อการสร้างและขยายวัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่ วัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่เกิดขึ้นและมีการขยายตัวมากในกลุ่มหนุ่มสาว
ผู้มีการศึกษาสูง และปัจเจกบุคคลที่มีฐานะดี
วัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่เกิดขึ้นภายใต้การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม กล่าวคือในทางเศรษฐกิจเกิดการเปลี่ยนแปลงจากโครงสร้างเศรษฐกิจแบบแนวตั้ง
สู่เศรษฐกิจแบบแนวระนาบมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม ขณะเดียวกันการขยายตัวของอุตสหกรรมที่มีเทคโนโลยีสูง
โดยเฉพาะเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารและการบริการ
ทำให้ประชาชนรายได้สูงขึ้นและมีความมั่งคั่งมากขึ้น
ซึ่งจะนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำระหว่างประชาชนกลุ่มต่างๆให้เหลือน้อยลง
ด้านสังคม
เกิดการลดลงของครอบครัวแบบขยาย และความอ่อนตัวของการเชื่อมโยงระหว่างครอบครอบครัวกับการศึกษาและอาชีพ การศึกษาของสมาชิกในครอบครัวได้รับจากสื่อมวลชนมากขึ้น
ซึ่งนำไปสู่การเกิดและขยายตัวของค่านิยมสมานฉันท์แบบเปิดกว้างที่เน้นความอดกลั้นต่อความแตกต่างมากขึ้น
กล่าวโดยสรุป วัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่เป็นสิ่งเกิดขึ้นในโลกทางการเมืองของสังคมตะวันตกและสังคมของประเทศเอเชียที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้า
จนผู้คนมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจลดลง
สำหรับสังคมไทยเราก็อาจเห็นร่องรอยของกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่อยู่บ้าง
แต่ก็มิใช่เป็นวัฒนธรรมการเมืองหลักของสังคมไทยแต่อย่างใด ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยยังคงจมอยู่ในกระแสของวัฒนธรรมการเมืองแบบเก่า
ความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมไทยที่เกิดขึ้นในระยะสิบปีที่ผ่านมา ผมมีสมมุติฐานว่าส่วนหนึ่งเกิดจากการปะทะกันหรือความไม่ลงรอยของ วัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่ที่เน้นการมีส่วนร่วมทางการเมือง
การตรวจสอบอำนาจรวมศูนย์ของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ
และการมีพรรคการเมืองแบบใหม่ที่เน้นโครงสร้างแนวระนาบกระจายอำนาจ กับวัฒนธรรมการเมืองแบบเก่า ที่เน้นการทำให้ประชาชนกลายเป็น
“สัตว์เลี้ยงที่เชื่องๆ” ภายใต้นโยบายประชานิยมของพรรคการเมือง การขยายกลไกอำนาจรัฐในการควบคุมตลาด
(เช่นการจำนำข้าว) และการรวมศูนย์อำนาจของพรรคการเมืองในมือของกลุ่มทุนสามานย์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น