การแข่งขันของหลักคิดการเมืองและเศรษฐกิจ
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
การกระทำใดๆของมนุษย์ย่อมมีหลักคิดบางอย่างอยู่เบื้องหลัง แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนหรือทุกครั้งของการกระทำที่คนจะตระหนักหรือรู้อย่างกระจ่างแจ้งว่า
ตนเองกระทำภายใต้หลักคิดอะไรบ้าง บ่อยครั้งทีเดียว ผู้คนกระทำอะไรลงไป
โดยที่ตนเองก็ยังรับรู้ไม่ได้โดยทันทีว่า ตนเองใช้หลักคิดอะไร
และหากไม่คิดทบทวนภายหลังหรือไม่มีคนถามว่าใช้หลักคิดใดเป็นหลักในการกระทำ คนก็มักจะละเลยการสะท้อนความคิดของตนเอง
จนกระทั่งกลายเป็นนิสัยหรือแบบแผนถาวรที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก
นานๆเข้าหลักคิดดังกล่าวอยู่ลึกจนกระทั่งตนเองก็ไม่อาจดึงขึ้นมาแสดงให้ผู้อื่นได้ทราบว่า
ใช้หลักคิดใดบ้างในการปฏิบัติ
ในสังคมมีหลักคิดอยู่มากมายที่ผู้คนจะเลือกใช้เป็นกรอบสำหรับการปฏิบัติ หลักคิดบางอย่างดำรงอยู่ภายในสังคมอย่างยาวนาน
และถูกใช้เป็นหลักในการกระทำของคนในสังคมอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง หลักคิดบางอย่างได้รับการถ่ายทอดหรือเลียนแบบจากสังคมอื่น บางอย่างเกิดจากการผสมผสานระหว่างหลักคิดที่มีมาแต่เดิมของสังคมกับหลักคิดใหม่ที่มาจากภายนอก หรือบางอย่างเป็นหลักคิดใหม่ที่เกิดมาจากการคิดค้นทดลองภายในสังคมนั้นเอง
หลักคิดบางอย่างเมื่อมีผู้คนจำนวนมากในสังคมใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องยาวนาน
ก็จะทำให้หลักคิดนั้นกลายเป็น “สถาบัน” ซึ่งหมายถึง แบบแผนความคิด ความเชื่อ
ระเบียบกฎเกณฑ์ที่หยั่งรากฝังตรึงในวิถีคิดและวิถีปฏิบัติของคนในสังคม เป็นสิ่งที่คนในสังคมเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดี
เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพสังคมนั้นๆ
หากผู้ใดดำเนินตามหลักคิดดังกล่าวก็จะได้รับผลตอบแทนในเชิงบวกหรืออย่างน้อยก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้
แต่หากใครไม่ปฏิบัติตามหรือละเมิดก็จะถูกแทรกแซงจากสังคมหรือได้รับการลงโทษและไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ บางคนอาจถูกตีตราว่าเป็นคนที่ไม่พึงประสงค์ของสังคม
และคนที่ถูกตีตราบางคนไม่สามารถอยู่ในสังคมนั้นได้อีกต่อไป
แต่ละมิติของสังคมมีหลักคิดดำรงอยู่มากมายหลายหลักคิด
บางมิติมีหลักคิดบางอย่างโดดเด่นจนครอบงำหลักคิดอื่นๆ
ขณะที่บางมิติอาจมีหลักคิดหลายหลักคิดแข่งขันกันเพื่อช่วงชิงการนำ
และอาจนำไปสู่การต่อสู้ระหว่างหลักคิดเพื่อขจัดหลักคิดที่เป็นคู่แข่งให้มอดมลายไป
กระนั้นในบางมิติหลักคิดที่แตกต่างกันก็อาจดำรงอยู่ร่วมกันในลักษณะผสมผสานหรือเป็นคู่ขนานกัน
อย่างมิติการเมืองซึ่งมีหลักคิดเรื่อง
“อำนาจ” เป็นแกนกลาง
ผู้คนในสังคมมีหลักคิดในเรื่องอำนาจแตกต่างกัน ประเด็นพื้นฐานคือ “กลุ่มใดหรือใครควรเป็นผู้มีสิทธิ์ใช้อำนาจรัฐ”
ซึ่งมีหลักคิดสองประการแข่งขันกันอยู่อย่างเข้มข้น นั่นคือหลักคิดที่ว่า
ควรให้กลุ่มพิเศษบางกลุ่มในสังคมเท่านั้นมีสิทธิ์ใช้อำนาจ เช่น
เฉพาะกลุ่มที่มีสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมสูง หรือกลุ่มเชื้อชาติ สีผิว
เพศที่เฉพาะเจาะจง หรือหลักคิดที่ว่า ควรให้คนในสังคมทุกกลุ่มและทุกสถานภาพมีสิทธิ์ใช้อำนาจรัฐได้อย่างเท่าเทียม กล่าวอย่างสรุปคือ ในสังคมควรให้มีการใช้อำนาจแบบรวมศูนย์หรือกระจายอำนาจ
นั่นเอง
การที่สังคมใดเลือกใช้หลักคิดเรื่องอำนาจแบบใดเป็นหลัก
ย่อมส่งผลต่อการกำหนดกติกาสูงสุดของสิทธิในการเข้าถึงและใช้อำนาจแตกต่างกัน และสิ่งที่ตามมาคือ การกำหนดกฎหมาย แนวทาง
กลไกในการเข้าถึงอำนาจและใช้อำนาจก็แตกต่างกันไปด้วย ในกรณีที่สังคมใดมีหลักคิดเรื่องอำนาจแบบใดตกผลึกแล้ว
กฎหมาย แนวทางและกลไกต่างๆของสังคมก็มีแนวโน้มถูกกำหนดให้สอดคล้องกับหลักคิดแบบนั้น
หากหลักคิดการกระจายอำนาจครอบงำสังคมแล้ว ก็จะทำให้กฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง นโยบายที่ออกมา
มีแนวโน้มขยายโอกาส ขยายสิทธิ ขยายเสรีภาพ
และสร้างความเท่าเทียมแก่ทุกกลุ่มในสังคม เช่น ประเทศในแถบยุโรปเหนือ ในทางกลับกัน
หากหลักคิดรวมศูนย์อำนาจครอบงำสังคม กฎหมาย
ระเบียบต่างๆก็มีแนวโน้มที่จะให้โอกาส ให้สิทธิ ให้เสรีภาพ
แก่คนบางกลุ่มเท่านั้น
โดยไม่ไว้วางใจและกีดกันกลุ่มอื่นๆในการเข้าถึงอำนาจ
จำกัดสิทธิและเสรีภาพ
รวมทั้งสร้างความไม่เท่าเทียมด้วย
เช่น บางประเทศในตะวันออกกลาง เอเชีย และ แอฟริกา
อย่างไรก็ตามมีหลายประเทศ ที่สถานการณ์ของการต่อสู้ระหว่างหลักคิดเรื่องรวมศูนย์และกระจายอำนาจยังไม่ตกผลึก
กฎหมาย ระเบียบ นโยบาย ตลอดจนแบบแผนการปฏิบัติต่างๆจึงผสมผสาน
ปนเปกันค่อนข้างสับสน บางช่วงหลักคิดเรื่องกระจายอำนาจก็ทำท่าว่าโดดเด่น
แต่บางช่วงก็ถูกโต้กลับด้วยผู้คนที่ยังนิยมหลักคิดรวมศูนย์อำนาจ
จนกระทั่งหลักคิดเรื่องกระจายอำนาจต้องถดถอยลงไป ตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดก็คือเช่น
ประเทศไทย
สำหรับด้านเศรษฐกิจ
ในอดีตหลักคิดที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้นคือ ปรัชญาของเศรษฐกิจทุนนิยม กับปรัชญาของเศรษฐกิจสังคมนิยม
ปรัชญาของเศรษฐกิจทุนนิยมเน้นการแสวงหาความมั่งคั่งและความสะดวกสบายของปัจเจกบุคคลเป็นหลัก
หลักคิดรองๆที่ตามมาคือ การพัฒนาเศรษฐกิจโดยเน้นการขยายตัวและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
การเพิ่มรายได้ของปัจเจกบุคคล การกระตุ้นการบริโภค และการลงทุนในภาคส่วนที่ผู้บริหารประเทศคิดว่าจำเป็นต่อการทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเช่น
อุตสาหกรรมหนัก โครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยี
ขณะที่ปรัชญาของสังคมนิยมเน้นเรื่องความมั่นคงและเสมอภาคทางสังคม หลักคิดรองๆที่ตามมาคือ การขยายรัฐสวัสดิการ
การลงทุนที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพสังคม
การกระจายรายได้ และการขยายโอกาสทางการศึกษา
การแข่งขันของปรัชญาเศรษฐกิจทั้งสองมีมาอย่างยาวนานนับร้อยปี
และในปัจจุบันดูเหมือนปรัชญาของเศรษฐกิจทุนนิยมกลายเป็นหลักคิดที่ครอบงำประเทศต่างๆเกือบทั่วโลก
แต่แนวทางปฏิบัติตามหลักปรัชญาทุนนิยมของแต่ละประเทศอาจแตกต่างกัน
บางประเทศผู้คนตีความและปฏิบัติตามปรัชญาทุนนิยมแบบดั้งเดิมที่ไม่คำนึงถึงบุคคลอื่นๆ
ขาดความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ผลที่ตามมาคือการสร้างปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ปัญหาอาชญากรรม
ปัญหาสุขภาพ การทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง
ต่อมากลุ่มนักคิดและองค์การระหว่างประเทศได้พยายามตีความและปรับปรุงปรัชญาของทุนนิยมให้ดูดีกว่าเดิม
มีการนำมิติคุณธรรม ธรรมาภิบาล และความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเข้ามาผสมผสาน
จากนั้นก็ปรับชื่อให้ดูดีขึ้นเป็น “การพัฒนาแบบยั่งยืน” หรือ
ปรัชญาของทุนนิยมแบบยั่งยืน นั่นเอง และมีการส่งหลักคิดนี้ไปยังประเทศต่างๆทั่วโลกให้ถือปฏิบัติ แต่นั่นแหละ บางประเทศก็อาจแสดงเสมือนว่านำหลักคิดนี้ไปปฏิบัติ
แต่ในความเป็นจริงของการบริหารงานก็ยังยึดปรัชญาของทุนนิยมแบบดั้งเดิม
เข้าทำนองปากว่าตาขยิบนั่นเอง
การรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม
และมนุษยชาติโดยรวมนั้นหมายถึง การลดกำไรหรือลดความมั่งคั่งส่วนตัวและบริษัทลง
ในระดับประเทศดูเหมือนรัฐบาลของประเทศต่างๆพยายามส่งเสริมให้บริษัทเอกชนและหน่วยงานของรัฐดำเนินการเช่นนี้ รูปธรรมที่เห็นชัดคือ การลงทุนด้านพลังงาน
ที่รัฐบาลของหลายประเทศประกาศนโยบายยกเลิกหรือยุติการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า
เป็นต้น
ถึงแม้ว่าการใช้ถ่านหินจะทำให้องค์การหรือบริษัทของรัฐที่ผลิตไฟฟ้าจะได้กำไรมหาศาล แต่รัฐบาลของบางประเทศก็ตระหนักดีว่า การใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงสร้างความเสียหายต่อสังคม
ทำลายสุขภาพของมนุษย์ และทำลายสิ่งแวดล้อมของโลกอย่างรุนแรง
ด้วยสำนึกแห่งคุณธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม
รัฐบาลของประเทศเหล่านั้นจึงยอมลดกำไรจากการขายไฟฟ้าลง และหันไปใช้เชื้อเพลิงหรือวิธีการผลิตพลังงานแบบอื่นๆที่มีราคาสูงกว่า
แต่สร้างความเสียหายและทำลายล้างน้อยกว่าแทน
แต่เรื่องนี้ดูเหมือนหลักคิดของรัฐบาลไทยยังไม่ตกผลึก
จึงยังไม่ค่อยตระหนักถึงเท่าไรนัก และยิ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแล้วดูเหมือนว่า ยังยึดปรัชญาของทุนนิยมแบบดั้งเดิม
ที่มุ่งเน้นกำไรสูงสุดอย่างเหนียวแน่น
ถึงจุดนี้ที่หยิบยกหลักคิดของสองมิติคือ การเมืองและเศรษฐกิจมาเขียนโดยสังเขป
เพื่อที่จะสื่อว่าปัจเจกบุคคล
กลุ่มและองค์การต่างๆในสังคมไทยไม่ได้ขาดหลักคิดดังที่นายกรัฐมนตรีของไทยเคยกล่าวไว้ อันที่จริงพวกเขาเหล่านั้นมีหลักคิดและปรัชญาหลายอย่างเป็นแนวทางการตัดสินใจและการปฏิบัติ
เพียงแต่หลักคิดที่ใช้อาจมีความแตกต่างกัน บางอย่างก็แข่งขันกัน
บางอย่างก็ขัดแย้งกัน
วันหน้าจะมาสาธยายหลักคิดในมิติอื่นๆที่มีการแข่งขันกันในสังคมไทยเพิ่มเติม สำหรับวันนี้ขอจบลงด้วยคำถามว่า
รัฐบาลไทย “ชอบ” และ “ใช้” หลักคิดใดในมิติการเมือง
“หลักคิดแบบรวมศูนย์ หรือกระจายอำนาจ” ในการปฏิบัติจริง และมิติเศรษฐกิจ “ชอบ” และ “ใช้”
หลักคิดปรัชญาทุนนิยมแบบดั้งเดิม หรือ ปรัชญาทุนนิยมแบบยั่งยืน” ในการปฏิบัติจริง ขอฝากให้ลองไตร่ตรองและสะท้อนหลักคิดของตัวเองดูครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น