ความคลั่งไคล้การพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นวัตถุแบบมืดบอด
พิชาย
รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
หากสังคมใดยังดำรงอยู่
โดยไม่ถูกทำลายล้างให้ย่อยยับจนปราศจากผู้คนอาศัย
ย่อมเป็นการยากที่มนุษย์ไม่ว่าจะมีอำนาจมากเพียงใดก็ตาม
จะสามารถทำให้สังคมหยุดนิ่งได้ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกขณะด้วยการเคลื่อนไหวทางความคิด
ความปรารถนาและการปฏิบัติของมนุษย์ นวัตกรรมทั้งในรูปวัตถุ
เทคโนโลยี กฎเกณฑ์ ค่านิยมและแบบแผนการปฏิบัติเกิดขึ้นมาแข่งขันกับสิ่งดั้งเดิมที่ดำรงอยู่ในทุกอาณาบริเวณของสังคม
เทคโนโลยี กฎกณฑ์และแบบแผนปฏิบัติใหม่ๆทางสังคมที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมามักทำในนามของความเจริญก้าวหน้าของสังคม
ความมีประสิทธิภาพ การเพิ่มความมั่งคั่ง
และการเพิ่มความสะดวกสบายแก่มนุษย์เป็นหลัก มีอยู่บ้างที่ถูกทำในนามของความยุติธรรม
ความเท่าเทียม และสิทธิเสรีภาพของมนุษย์
บ่อยครั้งที่เราเห็นแบบแผนความคิดและการปฏิบัติใหม่ๆสามารถไปด้วยกันได้กับแบบแผนเก่า
ผสมผสานกันดำรงอยู่คู่ขนานกันไปในสังคม
แต่ก็มีแบบแผนใหม่จำนวนไม่น้อยที่ไม่อาจดำรงอยู่ร่วมกันได้กับแบบแผนเก่า
มีการแข่งขัน ต่อสู้ในหลากหลายมิติ บางครั้งก็พัฒนาไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรง
ผลลัพธ์การต่อสู้แข่งขันระหว่างแบบแผนความคิดและการปฏิบัติแบบใหม่และบบเก่าที่เกิดขึ้นมีความเป็นไปได้หลายทาง บางเรื่องแบบแผนเก่าก็เอาชนะแบบแผนใหม่ได้
ผลักดันให้แบบแผนใหม่ตกไปอยู่ชายขอบและสูญหายไป
บางเรื่องแบบแผนใหม่ก็เอาชนะแบบแผนเก่าและทดแทนได้ทั้งหมด แต่บางเรื่องก็ต่อสู้กันยืดเยื้อยันกันอยู่เป็นเวลายาวนาน
กว่าจะเกิดผลลัพธ์ก็กินเวลาเป็นชั่วอายุคน
แบบแผนความคิดและการปฏิบัติทางสังคมที่มักประสบชัยชนะคือ
แบบแผนที่ตอบสนองความต้องการทางวัตถุแก่ผู้คนในสังคมได้อย่างทั่วถึง
สามารถเพิ่มความสะดวกสบายแก่มนุษย์มากขึ้น และตอบสนองตัวตนในเชิงปัจเจกมากขึ้น
เช่น ความรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญ เป็นส่วนหนึ่งของสังคม
และได้รับการยอมรับในอัตลักษณ์
อย่างไรก็ตามกฎเกณฑ์และแบบแผนเก่าบางอย่างดำรงอยู่ในสังคมเป็นเวลายาวนาน
แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมก็ตาม แต่ดูเหมือนเป็นที่ยอมรับและไม่กระตุ้นให้เกิดความขัดแย้ง นั่นก็เพราะว่าผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมยังไม่ทราบหรือพอทราบ แต่ไม่เข้าใจถึงกลไกการสร้างความเหลื่อมล้ำของกฎเกณฑ์และแบบแผนนั้นว่าเป็นอย่างไร และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคืออะไร
ด้วยเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและไกลตัวจากชีวิตประจำวันของพวกเขานั่นเอง
การพัฒนาประเทศดูเป็นตัวอย่างที่เห็นอย่างชัดเจนในเรื่องนี้
กล่าวคือกลุ่มคนที่เป็นรัฐบาล ข้าราชการระดับสูง และนักธุรกิจจำนวนมากในยุคสมัยนี้
ถูกครอบงำด้วยแบบแผนความคิดที่เรียกว่า “คลั่งไคล้ความเจริญทางวัตถุ”
รูปธรรมของความคลั่งไคล้ความเจริญทางวัตถุปรากฎให้เห็นในแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติ
นโยบายรัฐบาลในการพัฒนาและการลงทุน ระเบียบกฎเกณฑ์ของหน่วยงานราชการ
และการปฏิบัติต่อผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับแบบแผนดังกล่าว
ความคลั่งไคล้ความเจริญทางวัตถุขับเคลื่อนผลักดันให้มีการสร้างโครงการขนาดใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างเช่น
โรงไฟฟ้าถ่านหิน ถนนสี่เลน ท่าเรือน้ำลึก นิคมอุตสาหกรรม และพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ
โดยให้ความสำคัญน้อยมากกับผลกระทบทางสังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมของประชาชน
และไม่แยแสกับข้อเสนอที่เป็นทางเลือกอื่นๆ ที่ไม่สอดคล้องกับหลักคิดความคลั่งไคล้ความเจริญทางวัตถุ
การมีแผนและผลักดันการจัดตั้งเมืองอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องยาวนานในจังหวัดสตูลเป็นตัวอย่างของความคลั่งไคล้ความเจริญแบบสุดขั้วที่ปรากฎชัด
ซึ่งในโครงการนี้มีทั้งท่าเรือน้ำลึกที่ปากบารา
รถไฟเชื่อมสตูลกับสงขลา พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม อู่ต่อเรือ โรงไฟฟ้ถ่านหินที่สงขลาและกระบี่
ฯลฯ
ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงรัฐบาลกี่รัฐบาลแผนสร้างเมืองอุตสาหกรรมในจังหวัดสตูลและโรงไฟฟ้าถ่านหินในภาคใต้ก็ยังดำรงอยู่ต่อไป
ตราบที่ผู้มีอำนาจรัฐยังถูกครอบงำด้วยลัทธิคลั่งไคล้ความเจริญทางวัตถุ
ดังนั้นแม้คนที่ดำรงตำแหน่งเปลี่ยนแปลง แต่หากแบบแผนของหลักคิดนี้ดังดำรงอยู่ การผลักดันให้สร้างเมืองอุตสาหรรมก็จะดำเนินต่อไป
ลัทธิคลั่งไคล้ความเจริญทางวัตถุ
เป็นการพัฒนาที่มุ่งสร้างความเจริญแบบล้นเกิน ไม่พอดี
ส่งผลให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ กวาดล้างวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิมของประชาชน
สุขภาพของผู้คนถูกทำลายและชีวิตถูกบั่นทอน
ทั้งเป็นการเจริญแบบไร้เหตุผล เพราะเป็นความเจริญที่ไม่ได้ส่งผลให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
อาศัยการลอกเลียนปัญญา ความรู้ และเทคโนโลยีจากภายนอก ขณะที่กำจัดภูมิปัญญาท้องถิ่น
ทั้งยังทำให้ผู้คนในพื้นที่มีภูมิคุ้มกันลดลง ต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการรับสารพิษ
โรคร้ายและอาชญากรรมที่มาพร้อมกับการทะลักเข้ามาของแรงงานต่างชาติที่จะเข้ามาก่อสร้าง
ทั้งเสี่ยงกับการถูกทำลายอาชีพดั้งเดิม
คุณธรรมแบบเอื้ออาทรก็จะหายไป และถูกทดแทนด้วยการแข่งขันและความเห็นแก่ตัว
สิ่งที่เราพบเห็นเป็นประจำในสังคมไทยคือ
กลุ่มคนที่ถูกครอบงำด้วยลัทธิคลั่งไคล้ความเจริญทางวัตถุมักจะผลิตวาทกรรมเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของผู้ที่มีแบบแผนความคิดต่างว่าเป็น
“ผู้ขัดขวางความเจริญบ้าง”
“เป็นจระเข้ขวางคลองบ้าง”
และที่ร้ายในบางยุคถึงกับมีการกล่าวหาว่า“รับเงินจากต่างชาติบ้าง”
และพยายามที่จะทำลายหรือทำร้ายก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าลัทธิคลั่งไคล้ความเจริญทางวัตถุจะมีกระแสเชี่ยวกรากและมีพลังในการครอบงำอำนาจรัฐ แต่ในสังคมก็มีแบบแผนความคิดที่เป็นคู่แข่งกับลัทธิคลั่งไคล้ความเจริญทางวัตถุ
นั่นคือ แบบความคิด “การเจริญแบบพอเพียง” ซึ่งเน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแบบพอประมาณ
ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ไม่ทำลายสุขภาพ
ไม่ทำลายวิธีชีวิตและวัฒนธรรมของประชาชนในพื้นที่
เป็นการเจริญที่มีเหตุมีผล เพราะสร้างความเจริญจากฐานทรัพยากรที่มีอยู่เดิม
อาศัยความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นผสมผสานกับความรู้จากภายนอกอย่างกลมกลืน
ทำให้ประชาชนในท้องถิ่นมีภูมิคุ้มกัน ไม่สุ่มเสี่ยงต่อการเผชิญกับปัญหาสังคม
อาชญากรรม สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ คุณธรรมดั้งเดิมถูกรักษาเอาไว้และสืบทอดต่อไปยังคนรุ่นต่อไปได้
อันที่จริงการเจริญแบบพอเพียงนั้นเป็นเรื่องที่รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐได้มีการนำมาเขียนในแผนพัฒนาประเทศและปรากฎในนโยบายและโครงการอยู่บ้างตามสมควร
เพราะว่าแบบแผนความคิดนี้เป็นหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง แต่ทว่าสิ่งที่เรารับรู้ได้ในสังคมไทยเกี่ยวกับท่าทีของรัฐบาลในเรื่องนี้คือการใช้กลยุทธแบบแยกส่วนที่แสดงให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องระหว่าง
“กฎเกณฑ์เชิงรูปแบบ” (rules in form) กับกฎเกณฑ์ที่ใช้จริง
(rules in use)
ผู้นำรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐมักจะพูดเรื่องการเจริญแบบพอเพียงแบบนกแก้วนกขุนทอง
ท่องจำมาพร่ำสอนประชาชน แต่นโยบายและแบบแผนการปฏิบัติจริงกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
บอกให้ประชาชนรู้จักประมาณตน แต่รัฐกลับมุ่งสร้างอภิมหาโครงการแบบล้นเกิน บอกให้ประชามีเหตุผล
แต่ต้องเป็นเหตุผลที่สอดคล้องกับแบบแผนความคิดแบบคลั่งความเจริญทางวัตถุเท่านั้น บอกให้ประชาชนสร้างภูมิคุ้มกัน แต่รัฐกลับทำลายภูมิคุ้มกันของประชาชนเสียเอง บอกให้ประชาชนใช้ความรู้
แต่รัฐกลับใช้อวิชาในการทำให้โครงการได้รับการรับรอง ดังการเสกปั้นรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้งหลายที่มักบิดเบือนข้อมูลเพื่อให้ผ่านการรับรอง
บอกให้ประชาชนมีคุณธรรม แต่ผู้นำและเจ้าหน้าที่ของรัฐกลับใช้เล่ห์กลเพื่อให้ตนบรรลุเป้าหมาย
ดังที่การใช้เล่ห์กลหลอกลวงว่ามีถ่านหินสะอาด
ทั้งที่ในความจริงไม่มีถ่านหินในโลกนี้ที่สะอาด
หากจะใช้แบบแผนความคิดการเจริญแบบพอเพียงอย่างแท้จริง
ตัวอย่างที่ทำได้ทันทีคือ การปรับยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคใต้โดยรวม จังหวัดสตูล
และจังหวัดอื่นๆให้มีทิศทางมุ่งสู่ “การเป็นเมืองเกษตร ประมงและท่องเที่ยวแบบพอเพียง” แต่ก่อนอื่น
สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือการใช้ปัญญาไตร่ตรองให้กระจ่างชัด
เพื่อปรับกระบวนทัศน์และแบบแผนความคิดของตนเองเสียก่อน
โดยต้องขจัดแบบแผนความคิดคลั่งไคล้ความเจริญทางวัตถุเสียให้หมด และทดแทนด้วยความคิดการเจริญแบบพอเพียงให้มั่นคง
หากจะให้ดี ก็ใช้หลักคิดแบบโสคราติสที่ว่า “ให้ตระหนักรู้ว่า เรายังไม่รู้” อย่าคิดว่ามีความรู้แล้วเพราะไปฟังเพียงพวกนักวิชาการ
ข้าราชการ นักธุรกิจ และนักเทคนิคที่อยู่ใกล้ตัวแต่เพียงอย่างเดียว
เพราะพวกนี้ถูกครอบงำด้วยความคิดคลั่งไคล้ความเจริญทางวัตถุอย่างมืดบอดเกือบทั้งสิ้น
ลงไปรับฟังและเรียนรู้อย่างอ่อนโน้มถ่อมตนจากประชาชนในพื้นที่หลายๆแห่ง
ที่พวกเขาใช้แบบแผนความคิดแบบพอเพียงอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน และนำมาบูรณาการเป็นภาพรวมของแผนพัฒนาภาคใต้เสียใหม่
จากนั้นก็ส่งเสริมและปลูกฝังแบบแผนความคิดนี้ให้กลายเป็นความคิดกระแสหลักของผู้กำหนดนโยบายและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา
ตลอดจนข้าราชการ นักธุรกิจและประชาชนขึ้นมา
หากรัฐมีแบบแผนความคิดและการปฏิบัติที่มุ่งเน้นความเจริญแบบพอเพียงอย่างแท้จริง การพัฒนาประเทศของเราก็จะมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น
มีรากฐานจากภูมิปัญญาและทรัพยากรของเราเอง ซึ่งจะทำให้เราหลุดพ้นจากการถูกครอบงำทางความคิดแบบคลั่งไคล้ความเจริญทางวัตถุได้ในที่สุด โปรดระลึกว่า
การพัฒนาประเทศนั้นไม่ได้มีแนวทางที่ดีที่สุดเพียงแนวทางเดียวดังที่เชื่อและทำกันอยู่ในปัจจุบัน หากแต่มีแนวทางที่หลากหลาย ซึ่งควรเลือกให้สอดคล้องกับบริบททางสังคมและเศรษฐกิจของเราเอง
หากเรามีหลักคิดว่า เราไม่ควรลอกเลียนประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมล้นเกินจากตะวันตกมาใช้ทางการเมืองอย่างมืดบอดฉันใด เราก็ควรมีหลักคิดว่า เราไม่ควรลอกเลียนการพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นความเจริญทางวัตถุมาใช้ในการพัฒนาประเทศอย่างมืดบอดฉันนั้นด้วยครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น