ปมปัญหาของความเคารพนับถือกับจริยธรรม
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
มนุษย์เริ่มรับรู้การดำรงอยู่ของผู้อื่นตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
ครั้นเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกแล้ว การรับรู้ถึงสายสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับมนุษย์ผู้อื่นก็พัฒนาขยายออกไปตลอดช่วงชีวิต
ทารกมีความสามารถแยกความแตกต่างของบุคคลได้อย่างรวดเร็ว ภายในเดือนเดียวก็สามารถแยกมารดาจากผู้หญิงคนอื่นได้ และภายในสองปีก็สามารถจำแนกกลุ่มคนได้
รู้ว่ากลุ่มใดเป็นหญิง กลุ่มใดเป็นชาย
กลุ่มใดเป็นเด็ก กลุ่มใดเป็นผู้ใหญ่
ความสามารถในการแยกแยะความแตกต่างของมนุษย์มีความสำคัญต่อการอยู่รอด
เพราะทำให้พวกเขาทราบว่ามีใครบ้างที่จะช่วยเหลือเกื้อกูล
และใครบ้างที่จะทำร้ายหรือทำลาย ความสามารถและวิธีการในการจำแนกของมนุษย์เกิดจากข้อมูลข่าวสารที่พวกเขาได้จากการอบรบกล่อมเกลาของครอบครัว
กลุ่มเพื่อนชุมชน และสังคมที่พวกเขาสังกัดในแต่ละช่วงวัย รวมทั้งบทเรียนจากประสบการณ์ส่วนบุคคลของเขาเอง
สิ่งเหล่านี้ทำให้มนุษย์ทราบว่าใครคือคนที่พวกเขารัก ชอบ ชื่นชม
และเคารพนับถือ
และใครคือบุคคลที่น่ารังเกียจ น่ากลัว หรือน่าชิงชัง
ในยุคโบราณ
มนุษย์พบปะผู้คนเพียงไม่กี่ร้อยคนในช่วงชีวิตของเขา แต่ในยุคปัจจุบันมนุษย์แต่ละคนต่างรู้จักและพบปะกับผู้คนนับพันนับหมื่นคน
และผู้คนยังมีโอกาสเฝ้าดูผู้อื่นที่อยู่ห่างไกลคนละซีกโลกผ่านระบบการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีการสื่อสารอื่นๆอีกมากมาย
บางคนที่เป็นผู้นำประเทศหรือมีบทบาทต่างๆในโลกก็จะมีคนรู้จักนับล้านคน
บุคคลมีจิตใจให้ความเคารพนับถือผู้อื่นและกลุ่มแตกต่างกันออกไป คนที่เปี่ยมไปด้วยจิตที่เคารพนับถือผู้อื่นมากมักต้องการพบปะ
ทำความรู้จัก และชมชอบคนอื่นมาก
คนเหล่านี้มักจะยกผลประโยชน์แห่งความสงสัยแก่บุคคลอื่นเอาไว้ก่อน หลีกเลี่ยงการใช้อคติในการตัดสินผู้อื่น พวกเขาเริ่มต้นมองผู้อื่นด้วยความไว้วางใจ โดยมีฐานคติในการมองความแตกต่างในเชิงบวก
และมองว่าโลกจะน่าอยู่มากขึ้นหากผู้คนมีความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน
สิ่งที่คุกความความเคารพนับถือคือ การขาดความอดกลั้นหรือขาดขันติธรรม และการมีอคติ บุคคลที่มีจิตเปี่ยมด้วยอคติมักจะยึดติดกับความคิดดั้งเดิมที่ดำรงอยู่ในจิตใจพวกเขาเกี่ยวบุคคลหรือกลุ่มอื่น
และมีแนวโน้มไม่ต้องการขจัดอคติเหล่านั้นออกจากจิตใจของตนเอง
กล่าวคือมีจิตใจที่ยึดติดกับอคติอย่างไม่ลืมหูลืมตานั่นเอง
เช่นคนผิวขาวในประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวนมากมีอคติต่อคนที่นับถือศาสนาอิสลาม หรือคนบางคนอาจมีอคติต่อกลุ่มรักร่วมเพศ
บุคคลที่ขาดขันติธรรมจะมีพื้นที่การยอมรับความแตกต่างหลากหลายต่ำ พวกเขามักจะมองว่าสิ่งใดหรือบุคคลใดที่มีความแตกต่างจากความเชื่อของคนเองเป็นสิ่งไม่ดี และมักจะพูดว่า “ไม่มีเหตุผลใด
ที่จะยอมรับคนที่มีความคิดหรือความเชื่อแตกต่างจากเรา”
ยิ่งกว่านั้น รูปแบบการเสแสร้งว่าเคารพนับถือผู้อื่นมักดำรงอยู่ในจิตของผู้ขาดขันติธรรม
หากสังคมใดมีการเสแสร้งมากก็ย่อมแสดงว่า
สังคมนั้นเป็นสังคมที่ขาดแคลนขันติธรรมอย่างยิ่ง
ตัวอย่างของเสแสร้ง ดังคำพังเพยของไทยที่ว่า ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก หน้าไหว้หลังหลอก ปากหวาน ก้นเปรี้ยว
ปากปราศรัย ใจเชือดคอ เป็นต้น
เมื่อใดก็ตาม หากมีความเกลียดชัง
ความไม่ไว้วางใจ หรือความไม่ชอบเกิดขึ้น
การเคารพนับถือซึ่งกันและกันก็เกิดขึ้นไม่ง่ายนัก
แต่กระนั้นในโลกที่มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน การรื้อฟื้นความเคารพนับถือซึ่งกันและกันของมนุษย์เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในแผ่นดินที่ฉีกขาดด้วยความขัดแย้งหรือสงคราม
คณะกรรมการสมานฉันท์และปรองดองย่อมเป็นหน่วยงานทางสังคมที่มีความสำคัญในการรื้อฟื้นการเคารพนับถือซึ่งกันและกันของสังคมนั้นกลับคืนมา บางครั้งกิจกรรมอย่างกีฬาหรือวัฒนธรรมสามารถเป็นจุดเริ่มต้นของการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างกัน
และเป็นเส้นทางในการนำไปสู่การปรองดองกันได้ในอนาคต แต่ทั้งนี้ต้องมีความเคารพนับถือซึ่งกันและกันอย่างจริงใจ
มีการหล่อเลี้ยงฟูมฟักความสัมพันธ์
และต้องใช้เวลายาวนานนับสิบปี
ขณะที่เส้นทางแห่งการเคารพนับถือถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย ส่วนจริยธรรมเป็นสิ่งที่มีความซับซ้อนกว่ามาก บุคคลที่มีจิตใจเชิงจริยธรรมสามารถคิดเกี่ยวกับตนเองอย่างเป็นนามธรรม
และมีความสามารถในการถามว่า “เราต้องการเป็นคนอย่างไรในการทำงาน” หรือ “เราต้องการเป็นพลเมืองแบบใดของประเทศ” ยิ่งกว่านั้นยังต้องมีความสามารถในการคิดเกี่ยวกับตนเองเกี่ยวกับสิ่งที่สูงส่งกว่า
เช่น “โลกจะเป็นอย่างไรถ้าหากทุกคนมีจุดยืนในการทำงานเหมือนเรา” หรือ “หากพลเมืองทุกคนในจังหวัดหรือประเทศดำเนินการให้บรรลุความคาดหวังตามบทบาทของตนเอง
โดยใช้วิธีการแบบเดียวกับที่เราทำ สังคมจะเป็นอย่างไร”
แนวความคิดเช่นนี้เกี่ยวข้องกับการตระหนักถึงความถูกต้องและความรับผิดชอบของแต่ละบทบาท บุคคลที่มีจริยธรรมจะกระทำสอดคล้องกับคำตอบที่พวกเขากำหนดขึ้นมา
แม้ว่าบางครั้งต้องขัดแย้งกับผลประโยชน์ส่วนตนก็ตาม
บุคคลได้รับการปลูกฝังจริยธรรมตั้งแต่ช่วงต้นของชีวิต
แม้ว่าความสามารถในการคิดเชิงจริยธรรมยังไม่ชัดเจนนักก็ตาม ความคิดเชิงจริยธรรมจะมีความกระจ่างมากขึ้นเมื่อบุคคลเติบโตขึ้น
การพัฒนาจริยธรรมเกิดขึ้นโดยการมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มทางสังคม ระบบการศึกษา และการทำงาน บุคคลจะเรียนรู้ ว่าเมื่อเขาตัดสินใจหรือกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
แล้วได้รับการตอบสนองอย่างไรจากผู้อื่น
และเรียนรู้จากพฤติกรรมของเพื่อนร่วมงาน ผู้ใหญ่
หรือผู้มีอำนาจเหนือกว่าในที่ทำงาน
การจำแนกว่าพฤติกรรมใดมีจริยธรรมและไร้จริยธรรมมีทั้งที่ทำได้ง่ายและยาก
บางกรณีก็จำแนกได้ง่ายเช่น เรารู้ทันทีว่า
คนโกง คนหลอกลวง หรือขโมยเป็นคนที่ขาดจริยธรรม
เช่น นักข่าวตีพิมพ์เรื่องไม่จริง
ข้าราชการทุจริต นักธุรกิจปลอมปนสินค้า นักศึกษาลอกข้อสอบ แต่บางกรณีอาจมีความซับซ้อนในการจำแนก เช่น
นักข่าวนำข่าวจากสื่อสังคมออนไลน์หรือแหล่งข่าวไปเผยแพร่โดยขาดการตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือข้าราชการละเลยการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนที่จะประกาศต่อสาธารณะ
ความรับผิดชอบเชิงจริยธรรมไม่ได้เป็นเพียงแต่เรื่องที่เรากระทำเท่านั้น หากแต่เราจะต้องรับผิดชอบต่อเรื่องที่เราจงใจหรือละเลยไม่กระทำ
ทั้งที่มีหน้าที่ต้องทำอีกด้วย เช่น
ในบางเรื่องเราต้องตัดสินใจกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
แต่เรากลับหลักเลี่ยงหรือเลื่อนการตัดสินใจออกไป
จนสร้างความเสียหายต่อองค์การที่เราสังกัด
ในกรณีนี้การไม่ตัดสินใจหรือไม่กระทำย่อมเป็นปัญหาทางจริยธรรมได้
ในหลายครั้งบุคคลจะเกิดปมปัญหาความขัดแย้งระหว่างความเคารพนับถือและจริยธรรมขึ้นมา
บางครั้งความเคารพนับถือมีชัยชนะเหนือจริยธรรม ดังเช่น
หากมีญาติพี่น้องหรือเพื่อนร่วมงานอาวุโสที่เราเคารพนับถือทำผิดกฎหมายหรือทำการทุจริต
และเราก็ทราบว่าเพื่อนรุ่นพี่มีพฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากลหลายอย่าง
แต่ด้วยความที่เขาเคยช่วยเหลือเกื้อกูลเรามาอย่างยาวนาน และเราก็เคารพนับถือเขามาก แม้ทราบว่าเขาทำไม่ถูกต้อง และอาจสร้างความเสียหายแก่องค์การหรือประเทศได้
เราก็มีเลือกที่จะเงียบและไม่นำเรื่องของเขาไปเปิดเผยให้คนอื่นทราบ
บางครั้งจริยธรรมก็มีชัยชนะเหนือความเคารพนับถือ
โดยเมื่อมีเหตุการณ์ที่มีความขัดแย้งระหว่างสองสิ่งนี้เกิดขึ้น เราจะให้น้ำหนักกับหลักการจริยธรรมมากกว่าการเคารพนับถือ ดังเช่น แม้ว่าเราจะเคารพนับถือใครบางคน
แต่หากบุคคลผู้นั้นกระทำไม่ถูกต้องตามทำนองครองธรรมหรือขัดแย้งกับหลักจริยธรรมอย่างสิ้นเชิง
เราจะนำเรื่องของเขาไปบอกให้ผู้รับผิดชอบทราบและนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาตามระเบียบ
วินัยและกฎหมายต่อไป
แม้ว่าในบางครั้งต้องแลกกับการตัดขาดความสัมพันธ์หรืออาจต้องออกจากงานก็ตาม
สังคมที่ดีนั้นประชาชนต้องมีความเคารพนับถือและจริยธรรมควบคู่กันไป เฉกเช่นเดียวกันผู้บริหารองค์การหรือผู้บริหารประเทศก็ควรดำรงชีวิตให้ผู้คนเคารพนับถืออย่างจริงใจ
โดยมีจริยธรรมเป็นที่ตั้ง เพราะความเคารพนับถือที่มาจากปัจจัยด้านวัฒนธรรมนั้นอาจสั่นคลอนได้
หากบุคคลขาดเสียซึ่งจริยธรรม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น