ผู้จัดการรายวัน
|
22 กันยายน
2560 17:09 น.
|
"ปัญญาพลวัตร"
"พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
เมื่อบริหารประเทศมาระยะเวลาหนึ่ง
รัฐบาลมีแนวโน้มเสื่อมความนิยมจากประชาชน บางรัฐบาลใช้เวลาเพียงสั้น ๆ
ความเสื่อมก็มาเยือนอย่างรวดเร็ว บางรัฐบาลก็ใช้เวลายาวนาน
กว่าความเสื่อมจะเกิดขึ้น แต่ในท้ายที่สุดก็หลีกหนีไม่พ้นสัจธรรมประการนี้ไปได้
กล่าวได้ว่า “พลานุภาพของความเสื่อม” เกิดขึ้นและแพร่ขยายอย่างรวดเร็วเสียยิ่งกว่า “พลานุภาพของความศรัทธา”
ความเสื่อมคืบคลานเข้ามาสู่รัฐบาลอย่างช้าๆแบบค่อยเป็นค่อยไป
และมีลักษณะของการสะสมทับถมไปเรื่อย ๆ ดุจตะกอนของน้ำ เมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น
ในระยะแรกอาจยังมองไม่เห็นหรือตระหนักถึงอาการแห่งความเสื่อมนั้น
หรืออาจจะเห็นความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นบ้าง
แต่ก็พยายามปลอบใจตนเองว่านั่นยังไม่ใช่ลักษณะของความเสื่อม
เมื่อถึงจุดหนึ่งความเสื่อมก็แพร่ขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง จนสุดจะเยียวยาได้
อะไรคืออาการอันบ่งบอกถึงความเสื่อมของรัฐบาล
เราสังเกตได้ไม่ยากนัก หากเฝ้ามองมันอย่างพิเคราะห์ อย่างแรกคือ
เสียงแห่งความชื่นชมและการแสดงออกถึงการสนับสนุนค่อย ๆ เงียบลงตามลำดับโดยเฉพาะจากกลุ่มชั้นนำทางปัญญา ชนชั้นกลาง
และสื่อมวลชน
แต่ด้วยเหตุที่ความชื่นชมในกลุ่มเครือข่ายใกล้ชิดของรัฐบาลยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
จึงทำให้รัฐบาลหรือผู้มีอำนาจติดอยู่ในกับดักของมายาคติแห่งความชื่นชมดังกล่าว
และไม่ตระหนักรู้ถึง “ความเงียบของเสียงชื่นชม” ของคนวงนอก
อย่างที่สอง เสียงแห่งการวิพากษ์วิจารณ์ค่อย
ๆ ดังขึ้น
โดยส่วนมากเสียงนี้มักจะเริ่มต้นจากผู้ที่มีทัศนคติและความเชื่อไม่ตรงกับรัฐบาล
ในช่วงแรกของการเป็นรัฐบาล
เสียงจากฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลมักจะเป็นเสียงที่แผ่วเบาและไม่มีพลังมากนัก
รัฐบาลและผู้สนับสนุนมักจะมองข้ามและไม่สนใจใยดีกับเสียงเหล่านั้น
แต่เมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น เสียงแห่งการวิพากษ์วิจารณ์จะขยายตัวออกไป
ผู้คนบางส่วนที่เคยสนับสนุนและเปล่งเสียงชื่นชม ก็เปลี่ยนท่าที
และส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมาแทน
หากรัฐบาลทำเป็นไม่ได้ยินและไม่ให้ความสำคัญกับเสียงวิจารณ์ของผู้ที่เคยสนับสนุน
และยังบริหารประเทศเป็นแบบเดิม การวิพากษ์วิจารณ์ก็จะขยายตัวออกไปเป็นวงกว้าง
และในบางกรณีก็จะก่อตัวเป็นการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อกดดันรัฐบาลให้ปรับเปลี่ยนนโยบายหรือการตัดสินใจทางการเมือง
อย่างที่สาม มีเรื่องอื้อฉาวของบุคคลในรัฐบาลหรือคนที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลปรากฎเป็นข่าวในสื่อมวลชนมากขึ้น เราจะเห็นปริมาณของข่าวเชิงลบเกี่ยวกับเรื่องราวของบุคคลในรัฐบาลตามหน้าหนังสือพิมพ์
วิทยุ โทรทัศน์ และสื่อออนไลน์มีมากขึ้น ขณะที่ข่าวเชิงบวกค่อย ๆ เลือนหายไป
อย่างที่สี่ การแสดงออกทางการเมืองในรูปแบบการชุมนุมประท้วงแบบย่อย
ๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และมีความต่อเนื่อง เริ่มจากการประท้วงของกลุ่มประชาชนที่เดือดร้อนจากนโยบายหรือความไร้ความสามารถในการบริหารงานของรัฐบาล
เพื่อกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือการตัดสินใจทางการเมืองในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เช่น การชุมนุมของเกษตรกรเกี่ยวกับราคาสินค้าเกษตร หรือ
การชุมนุมของผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายอื่นๆของรัฐบาล
จากนั้นการชุมนุมจะขยายวงออกไปทั้งในแง่กลุ่มคนที่เข้าร่วมและประเด็นของการชุมนุม
ในการชุมชุมทางการเมืองแต่ละครั้ง แม้บางกรณีดูเหมือนว่าจะไม่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน
แต่จะเป็นการสะสมพลังแห่งความไม่พอใจต่อรัฐบาลในภาพรวมให้ทวีความเข้มข้นมากขึ้น
และเมื่อถึงจุดหนึ่ง หากรัฐบาลตัดสินใจหรือมีการกระทำทางการเมืองผิดพลาดซ้ำอีก
ก็จะกลายเป็นเงื่อนไขเพียงพอให้ความเสื่อมของรัฐบาลพุ่งไปสู่ระดับสูงสุด
และความชอบธรรมของรัฐบาลในการบริหารประเทศก็สิ้นสุดลงไป
รัฐบาลไทยในอดีต
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์แห่งความเสื่อม
มักรับมือและจัดการกับความเสื่อมได้ไม่ค่อยดีนัก
ซึ่งนำไปสู่จุดจบอย่างขมขื่นแทบทุกครั้งไป นั่นคือจบไม่สวย
ผู้นำรัฐบาลบางคนก็ถูกยึดทรัพย์ บางคนก็ไม่มีแผ่นดินอยู่ บางคนก็ติดคุก
และบางคนก็ถูกตราหน้าว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความล้มเหลวในประวัติศาสตร์
อย่างรัฐบาลจอมพลถนอม ในช่วงปี 2516 ทั้งที่ก่อนหน้านั้นจอมพลถนอม กิตติขจร
ได้รับการมองจากสังคมว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ซื่อสัตย์ ขณะที่จอมพลประภาส
จารุเสถียร คนใกล้ชิดที่มีอำนาจรองลงมา มีภาพลักษณ์ไม่ดีนัก
แต่เมื่อใกล้ถึงจุดจบของรัฐบาล
เรื่องราวเกี่ยวกับการทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลและบุคคลในเครือข่ายก็ปรากฎออกมาให้สาธารณะรับรู้กันอย่างแพร่หลาย
และกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญอย่างหนึ่งที่นำไปสู่การชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลในเวลาต่อมา
จนทำให้รัฐบาลพบกับจุดจบและถูกสังคมตราเป็น “ทรราช” อย่างยาวนาน
จนยากที่จะลบออกไปได้
เฉกเช่นเดียวกันรัฐบาลทักษิณเมื่อปี 2549
ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเป็นรัฐบาลที่ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้นอย่างไม่เคยมีมากก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
แต่เพียงไม่นาน ความเสื่อมเกิดขึ้นจากการบริหารงานที่ขาดความโปร่งใส
มีการทุจริต และผลประโยชน์ทับซ้อน ครั้นเมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น
รัฐบาลทักษิณไม่ตระหนักและยอมรับสภาพความเสื่อมของตนเอง จึงปล่อยปละละเลยไม่เข้าไปจัดการความเสื่อม
จนความเสื่อมกัดกินเข้าไปจนถึงกระดูก
และท้ายที่สุดก็พบกับจุดจบทางการเมืองอย่างน่าอนาถนัก
รัฐบาลพลเอกประยุทธ์
จันทร์โอชาในเวลานี้ก็เช่นเดียวกัน ความเสื่อมเกิดขึ้นและขยายตัวออกไปแล้ว
แม้บางครั้งดูเหมือนรัฐบาลจะพอทราบอยู่บ้าง
จากการที่พูดออกมาว่าเดี๋ยวนี้เมื่อเปิดขึ้นไปดูสื่อมวลชน
พบว่ามีคนวิจารณ์ตนเองประมาณครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งยังสนับสนุน
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงแรกที่เข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเสียงสนับสนุนลดลงไปอย่างมาก
ถึงแม้ว่าเราเห็นสัญญาณถึงการยอมรับการดำรงอยู่ของความเสื่อม
แต่การจัดการความเสื่อมของรัฐบาลก็ยังไม่ชัดเจนนัก
การวิเคราะห์ถึงสาเหตุของความเสื่อมให้ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ อย่าคิดแบบหยาบ ๆ
เพียงแต่ว่าคนไทยเบื่อง่าย เพราะนั่นเป็นการโทษปัจจัยภายนอก
ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลในทางบวกเชิงการแก้ไขแต่อย่างใด
หากแต่เป็นการจัดการเชิงการปกป้องตนเอง
ซึ่งรังแต่จะสร้างความเสียหายที่รุนแรงตามมาภายหลัง
หากศึกษาบทเรียนในอดีตอย่างรอบด้าน
ก็จะพบว่าความเสื่อมของรัฐบาลมักเริ่มขึ้นจากการทุจริตของคนใกล้ชิด ญาติ มิตร
พวกพ้อง และบริวาร
ขณะเดียวกันผู้นำรัฐบาลมักจะมองไม่เห็นหรือไม่เชื่อว่าคนเหล่านั้นทุจริต
หรือบางทีอาจเห็นอยู่บ้าง แต่กลับไม่กล้าเข้าไปดำเนินการแก้ไขในสิ่งผิด
เพราะมีความผูกพันส่วนตัวกับตนเอง หรือไม่ก็เกรงใจ
กลัวเป็นการทำลายน้ำใจของคนเหล่านั้น ดังนั้นแม้ว่าจะแสดงความขึงขังในการจัดการกับการทุจริตอยู่บ้าง
ก็ดำเนินแต่กับคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง
หรือคนที่มีสถานภาพและตำแหน่งไม่สูงนัก แต่การทำแบบนี้แทนที่จะก่อให้เกิดผลดี
กลับยิ่งส่งผลเสียมากขึ้นไปอีก
เพราะผู้คนเขาคิดว่าเป็นการทำแบบขอไปทีเป็นเพียงพิธีกรรม หรือ แบบสองมาตรฐานนั่นเอง
ส่วนการเรียกร้องหาหลักฐานการทุจริตจากผู้วิพากษ์วิจารณ์นั้นบ่งบอกถึงความอับจนปัญญาของผู้เรียกร้อง
และยังตอกย้ำให้เห็นว่า สิ่งที่พูดเกี่ยวกับการปราบปรามทุจริตนั้น
เป็นเพียงลมปากลอยๆ หาได้จริงจังแต่อย่างใด เพราะว่ารัฐบาลมีอำนาจ
ทรัพยากรและกลไกอยู่ในมืออย่างมหาศาล หากไม่สามารถหาหลักฐานได้ด้วยตนเองแล้ว
ย่อมเป็นการแสดงถึงความไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบประเทศได้อีกต่อไป
ส่วนสาเหตุความเสื่อมที่สำคัญอีกประการคือ
ความไม่มีความสามารถเพียงพอในการบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจให้มีความเจริญควบคู่ไปกับการกระจายความมั่งคั่งได้
ในปัจจุบันเราเห็นแต่การเติบโตทางเศรษฐกิจของบางกลุ่มบางพวก
แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ยังไม่ได้รับผลพวงของความเจริญนี้แต่อย่างใด
ดังนั้นการทวนทวนแนวทางการสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจเสียใหม่
เพื่อให้กระจายไปยังทุกกลุ่มทุกอาชีพอย่างเป็นธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญในการเยียวยาความเสื่อม
การจัดการความเสื่อมที่ดีคือ
การจัดการเพื่อขจัดสาเหตุของความเสื่อมนั่นเอง
หากรัฐบาลไม่มีความสามารถในขจัดสาเหตุของความเสื่อมได้
ก็ย่อมทำให้ความเสื่อมยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเป็นทวีคูณ และหากปล่อยปละละเลย รัฐบาลก็อาจมีโอกาสได้เห็น
“พลานุภาพของความเสื่อม” ว่าจะเป็นอย่างไรในไม่
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น