ประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง:การเมืองแบบมีส่วนร่วมสำหรับยุคใหม่
พิชาย
รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
เมื่อบริบทของสังคมเปลี่ยนแปลงย่อมส่งผลกระทบต่อหลักการ
แนวความคิด
และทฤษฎีเดิมที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์และใช้เป็นกรอบกำหนดแนวทางปฏิบัติ เช่นเดียวกันหลักการและแนวคิดประชาธิปไตยในสังคมมนุษย์ซึ่งมีการกำเนิดมาอย่างยาวนาน
ก็ย่อมมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สามารถตอบสนองปรารถนาร่วมของประชาชนในการบริหารปกครองสังคมอย่างมีประสิทธิผล
เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ศาสตราจารย์ เบนจามิน บาร์เบอร์
นักรัฐศาสตร์นามอุโฆษชาวอเมริกัน แห่งมหาวิทยาลัยแมริแลนด์ได้เขียนหนังสือเรื่อง
“ประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง:การเมืองแบบมีส่วนร่วมสำหรับยุคใหม่”
ขึ้นมา หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1984 ต่อมาตีพิมพ์ซ้ำเป็นครั้งที่สองเมื่อปี
1990 และต่อมาพิมพ์เป็นครั้งที่สามในปี 2004 หนังสือเล่มนี้ได้เสนอหลักการใหม่ในการพิจาณาประชาธิปไตยและรับการอ้างอิงจากนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์อื่นๆที่สนใจเรื่องการเมืองและประชาธิปไตยอย่างกว้างขวาง
ในหนังสือได้อภิปรายว่า
“ประชาธิปไตยแบบตัวแทน” ( representative democracy) หรือ
“ประชาธิปไตยแบบบางเบา” (thin
democracy) อันมีรากฐานจากความเชื่อเรื่อง
“สิทธิของปัจเจกบุคคล”ทำให้บทบาทของพลเมืองในการบริหารปกครองแบบประชาธิปไตยลดลง อีกทั้งภาวะของการมี “เสรีนิยมแบบล้นเกิน”
จะนำไปสู่การทำลายสถาบันประชาธิปไตยด้วย
ศาสตราจารย์ บาร์เบอร์ชี้ว่า
อันที่จริงแล้วปรัชญาเสรีนิยมเป็นแหล่งของการสร้างประชาธิปไตยที่อ่อนแอ
เหตุผลสำคัญคือประวัติศาสตร์และการเมืองมิได้รับการสร้างและพัฒนามาจากประชาชนที่มีภูมิปัญญาและมีข้อมูลข่าวสารสมบูรณ์
ขณะที่ปรัชญาเสรีนิยมกลับมีความเชื่อพื้นฐานว่าประชาชนเป็นผู้เฉลียวฉลาด
ทรงภูมิปัญญาและมีข้อมูลข่าวสารครบถ้วน ซึ่งเป็นความเชื่อเกียวกับมนุษย์ที่คลาดเคลื่อนจากสภาพความเป็นจริงไปมาก
หลักการที่ถูกผลิตจากปรัชญาเสรีนิยมมุ่งเน้นไปที่เรื่องของ
“สิทธิ” “เสรีภาพ” และ “ความยุติธรรม”
ซึ่งเป็นความคิดที่มีความเชื่อมโยงสอดคล้องและมีเหตุผลที่ดีในโลกทางปรัชญาหรือทางอุดมคติ แต่ทว่าถูกทำให้แปดเปื้อนมีมลทินจากโลกการเมืองที่เป็นจริงซึ่งมนุษย์ถูกสาปให้อาศัยอยู่
วิกฤติการณ์ของประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมเห็นได้จากการแสดงออกอย่างรุนแรงถึงสภาวะที่เรียกว่า
“สังคมได้กลายเป็นสภาวะที่ไม่อาจปกครองได้”
ไม่มีผู้นำ หรือ พรรคการเมือง หรือ ระบบรัฐธรรมนูญแบบใดที่สามารถจัดการกับปัญหาความสับสนอลหม่านของสังคมได้อย่างมีประสิทธิผล
มนุษย์สมัยใหม่ได้สร้างสัตว์ประหลาดที่พวกเขาไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป สัตว์ประหลาดเหล่านั้นได้แก่ เครื่องจักรกล
คอมพิวเตอร์ ระบบราชการ บรรษัทขนาดยักษ์
และรัฐธรรมนูญ สัตว์ประหลาดเหล่านี้ได้เข้ามาควบคุมวิถีการใช้ชีวิตของมนุษย์โดยความเต็มใจของพวกเขาเอง และท้ายที่สุดพวกเขาก็ตกเป็นทาสของมัน
ประชาธิปไตยซึ่งมีเป้าหมายในการปลดปล่อยมนุษย์ให้มีอิสรภาพ
กลับกลายเป็นเงื่อนไขให้มนุษย์ต้องตกเป็นทาสของระบบ เมื่อมนุษย์ไม่สามารถบริหารปกครองสังคมได้
แล้วพวกเขาจะคาดหวังจะไปปกครองตนเองได้อย่างไร และพวกเขาจะร้องขอให้ “ตัวแทน”
ปกครองพวกเขาให้ดีได้อย่างไร
สภาวะที่ไม่ความสามารถในการบริหารปกครองจะทำให้ผู้นำประเทศซึ่งไร้สามารถและไร้ประสิทธิภาพในการบริหารประเทศใช้เป็นข้อแก้ตัวสำหรับความผิดพลาดของตนเอง พวกเขาจะกล่าวว่า
“ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อน ไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะสั้น” หรือ ไม่ก็จะกล่าวว่า
“ปัญหาที่เกิดขึ้นเกินความสามารถของรัฐบาล”
หากรัฐบาลไม่สามารถปกครองได้
ประชาชนก็ปฏิเสธการถูกปกครองมากขึ้น
ความแปลกแยกระหว่างประชาชนกับรัฐบาล อำนาจรัฐ
และนักการเมืองจึงเป็นตัวบ่งชี้หลักของวิกฤติการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน
ดังจะเห็นได้จากความไม่ไว้วางใจของประชาชนต่อนักการเมืองมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก
ศาสตราจารย์บาร์เบอร์ได้เสนอหลักการประชาธิปไตยแบบใหม่คือ
“ประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง” โดยนิยามว่า
เป็นประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมซึ่งใช้กระบวนการมีส่วนร่วม
การออกระเบียบด้วยตนเองและการสร้างชุมชนทางการเมืองที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงปัจเจกบุคคลที่พึ่งพาตัวแทนไปสู่การเป็นพลเมืองที่เป็นอิสระ
และเปลี่ยนแปลงการมุ่งเน้นประโยชน์ส่วนบุคคลเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
ประชาธิปไตยที่เข้มแข็งจะเน้นการเปลี่ยนแปลงความขัดแย้งโดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมแบบปรึกษาหารือ
การตัดสินใจ และการกระทำอย่างยืดหยุ่นของประชาชนที่เกี่ยวข้องเพื่อแสวงหาเป้าหมายอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมร่วมกัน ประชาธิปไตยที่เข้มแข็งจึงมีศักยภาพในการก้าวพ้นข้อจำกัดของประชาธิปไตยแบบตัวแทน
และยังรักษาค่านิยมที่สำคัญของประชาธิปไตยอันได้แก่อิสรภาพ ความเสมอภาค
และความยุติธรรมทางสังคมเอาไว้ด้วย
กิจกรรมการมีส่วนร่วมของพลเมืองจะให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชนว่า
พวกเขาจะก่อรูปทางความคิดต่อประเด็นสาธารณอย่างไรในฐานะที่เป็นพลเมือง
ทั้งยังสร้างสำนึกต่อความเป็นสาธารณะและความยุติธรรมในสังคมด้วย
การเมืองก็จะกลายเป็นมหาวิทยาลัยของประชาชน เป็นแหล่งเรียนรู้และอบรมบ่มเพาะสภาวะความเป็นพลเมืองให้เข้มแข็งขึ้น ประชาชนซึ่งครั้งหนึ่งถูกทำให้เป็นผู้ที่เฉื่อยชาหรือผู้ตามโดยประชาธิปไตยแบบตัวแทนก็จะกลายเป็นพลเมืองที่มีความกระตือรือร้นและเป็นตัวของตัวเอง
ประชาธิปไตยที่เข้มแข็งมิใช่ “การปกครองโดยประชาชน”
หรือ “การปกครองโดยมวลชน” เพราะว่าประชาชนยังไม่ใช่ “พลเมือง” และ “มวลชน”
เป็นพียงบุคคลผู้ไม่สามารถปกครองตนเอง
อีกทั้งการมีส่วนร่วมก็ไม่ใช่กิจกรรมแบบสุ่มเสี่ยงทีทำโดยนักฉวยโอกาสทางการเมือง
และไม่ใช่กิจกรรมที่ลอกเลียนแบบตามๆกันของผู้ที่ไม่มีความคิด
สิ่งที่แตกต่างระหว่าง “มวลชน”
กับ “พลเมือง” คือ มวลชนตะโกนส่งเสียงดังรบกวนผู้คน ขณะที่พลเมืองมีความสุขุมรอบคอบ มวลชนแสดงพฤติกรรมตามอารมณ์ความรู้สึก แต่พลเมืองกลับกระทำอย่างมีเหตุมีผล มวลชนเน้นการปะทะและขัดแย้ง ทว่าพลเมืองเน้นการมีส่วนร่วม แบ่งปัน
และการช่วยเหลือสนับสนุน
เมื่อไรที่ “มวลชน”
เริ่มต้นไตร่ตรองอย่างรอบคอบ กระทำอย่างมีเหตุผล
แบ่งปัน และรู้จักการให้มากกว่าการรับ
พวกเขาก็ยุติการเป็น “มวลชน”
และกลายเป็น “พลเมือง” ขึ้นมา
และเมื่อนั้นพวกเขาก็ทำในสิ่งที่เรียกว่า “การมีส่วนร่วม”
เพื่อสังคมอย่างแท้จริง
มิใช่การถูกระดมจัดตั้งเข้ามาเพื่อประโยชน์ส่วนบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
สิ่งสำคัญสำหรับการสร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข็งขึ้นในสังคมที่เพิ่งเริ่มต้นพัฒนาประชาธิปไตยคือการสถาปนาเงื่อนไขการให้การศึกษาทางการเมืองที่เหมาะสมแก่ประชาชนเพื่อหล่อหลอมประชาชนให้กลายเป็นพลเมืองที่มีสำนึกของการมีส่วนร่วมและสำนึกต่อส่วนร่วม การสร้างสถาบันทางการเมือง เช่น พรรคการเมือง
องค์กรอิสระ รัฐบาล รัฐสภา โดยปราศจากความพร้อมของสำนึกแห่งความเป็นพลเมือง
สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือความไร้ประสิทธิภาพและฉ้อฉลในการทำหน้าที่ของสถาบันเหล่านั้น
การที่สถาบันทางการเมืองต่างๆจะใช้หลักธรรมาภิบาลเป็นแนวทางปฏิบัติ
จนเกิดประสิทธิผลและสร้างประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมได้มีเงื่อนไขที่สำคัญคือ
การที่ประชาชนในสังคมนั้นยกระดับคุณภาพของตนเองจาก “มวลชน” เป็น “พลเมือง”
สังคมใดที่คาดหวังว่าจะให้มีเสรีภาพ
โดยยังมีประชาชนส่วนใหญ่ยังขาดข้อมูลข่าวสารและเปี่ยมไปด้วยอวิชชาหรือความไม่รู้ ความคาดหวังนั้นจะไม่มีวันบังเกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริงได้
การทำให้เกิดประชาธิปไตยที่เข้มแข็งจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงประชาชนผู้ถูกครอบงำด้วยจิตสำนึกแห่งการพึ่งพานักการเมือง
และจิตสำนึกที่ผูกติดกับผลประโยชน์ส่วนตน
ไปสู่จิตสำนึกแห่งการพึ่งพาตนเอง
การแบ่งปันแก่ผู้อื่น และการมีจิตสาธารณะ
สังคมใดที่ประชาชนมีการเปลี่ยนแปลงตนเองจาก
“มวลชน” เป็น “พลเมือง” แล้ว ย่อมจะปราศจากนักการเมืองและผู้บริหารประเทศที่ยอมรับต่อสาธารณะอย่างหน้าชื่นตาบานว่า
“ตนเองเป็นขี้ข้า” ของผู้อื่น โดยเฉพาะการเป็นขี้ข้าของอาชญากรหนีคุก
แต่หากสังคมใดที่ประชาชนส่วนมากยังเป็น
“มวลชน”
ที่ถูกระดมจัดตั้งเพื่อมาเป็นเครื่องมือสำหรับการเข้าสู่อำนาจและการรักษาอำนาจทางการเมืองให้แก่นายทุนและชนชั้นนำทางการเมือง
ประชาธิปไตยในสังคมนั้นย่อมเป็นประชาธิปไตยที่อ่อนแอ และในท้ายที่สุดก็จะแปรสภาพเป็นประชาธิปไตยสามานย์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น