ความมีสติและการใช้อารมณ์ในสังคม
พิชาย
รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
คนในสังคมไทยส่วนใหญ่ระบุว่าตนเองนับถือศาสนาพุทธ
ซึ่งเป็นศาสนาที่มีหลักการสำคัญหลายอย่างในการควบคุมอารมณ์และความปรารถนา หลักการสำคัญประการหนึ่งคือการใช้ “สติ”
ในการคิด พูด และทำ ศาสนาพุทธได้มีคำสอนเกี่ยวกับ
“การเจริญสติ” อยู่หลากหลายวิธี โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนา “สติ” ให้มีความเข้มแข็ง
ภาวะการมีสตินั้นตรงกันข้ามกับภาวะหุนหันพลันแล่น การมีสติเป็นภาวะที่บุคคลตระหนักรู้อย่างกระจ่างชัดว่าตนเองกำลังคิด
พูด และกระทำอะไร และรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมีฐานคิดหรือหลักการสำคัญอย่างไร รวมทั้งผลสืบเนื่องที่ตามมาคืออะไร คนที่มีสติเข้มแข็งจะมองสถานการณ์ที่กำลังเขาเผชิญหน้าอย่างเข้าใจ สามารถรับมือได้อย่างเยือกเย็น
และตอบสนองได้อย่างเหมาะสม
คนที่มีสติเข้มแข็งจะตระหนักว่า พวกเขามีทางเลือกในการปฏิบัติ พวกเขาสามารถเลือกตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เข้ามากระทบได้
และมองเห็นว่าทางเลือกแต่ละทางที่ใช้ในการตอบสนองนั้น
จะมีผลที่สืบเนื่องต่อตัวเขา ผู้อื่น และสังคมอย่างไร
การเข้าใจตนเอง เข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่ง
เข้าใจความเป็นไปของสังคม และเข้าในพฤติกรรมของมนุษย์เป็นคุณสมบัติสำคัญของคนที่มีสติเข้มแข็ง ซึ่งจะช่วยให้เขาเลือกใช้ทางเลือกที่เหมาะสมในการกระทำยิ่งขึ้น หากคนมีสติเข้มแข็งเป็นผู้บริหารประเทศ เขาก็จะเข้าใจเป็นอย่างดีว่าธรรมชาติของกลุ่มต่างๆในสังคมเป็นอย่างไรและมีความต้องการอะไรบ้าง ซึ่งจะทำให้เขาสามารถเลือกตอบสนองต่อข้อเรียกร้อง
การกระทำ หรือคำถามจากกลุ่มต่างๆได้อย่างเหมาะสมตามสถานการณ์
ไม่ใช่ว่าคนที่มีสติเข้มแข็งจะเป็นคนที่ไร้อารมณ์เสียทีเดียว พวกเขายังคงมีอารมณ์เหมือนคนอื่นๆ แต่พวกเขาเข้าใจและตระหนักรู้ถึงอารมณ์ของตนเองได้เป็นอย่างดี เมื่อมีความโกรธ
พวกเขาก็รู้ว่าตนเองกำลังโกรธ
เมื่อกลัวก็รู้ว่าตนเองกำลังกลัว
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ คนมีสติเข้มแข็งสามารถกำราบอารมณ์ด้านลบของตนเองให้สงบและจางหายไป
ขณะเดียวกันก็จะพัฒนาอารมณ์ทางบวกขึ้นมา
โดยเฉพาะอารมณ์เมตตา กรุณาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมโลก คนที่มีสติเข้ฒแข็งจึงเป็นคนที่มี
“วุฒิภาวะทางอารมณ์สูง”
การที่สามารถตระหนักรู้ถึงธรรมชาติของสังคมและพฤติกรรมของมนุษย์
ทำให้คนมีสติเข้มแข็งมีความอดกลั้นต่อความแตกต่างทางความเชื่อและวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี พวกเขาปราศจากอคติและความรังเกียจต่อคนอื่นๆที่มีความเชื่อทางการเมือง
ศาสนา เชื้อชาติ และความเชื่อทางสังคมอื่นๆที่แตกต่างจากตนเอง ตราบใดที่ผู้มีความเชื่อเหล่านั้นไม่กระทำการที่เป็นภยันตรายต่อมนุษยชาติ
ส่วนภาวะหุนหันพลันแล่นคือสถานการณ์ที่บุคคลมีสติอ่อนแอ
และใช้อารมณ์ด้านลบเป็นฐานในการขับเคลื่อนการคิด การพูด และการทำ เพื่อตอบสนองความปรารถนาของตนเอง
และตอบสนองต่อปัจจัยภายนอกที่มากระทบตามอารมณ์ของตนเอง โดยมิได้คำนึงถึงผลสืบเนื่องที่ตามมา
อารมณ์ด้านลบมีหลายแบบ
อารมณ์ที่เป็นพื้นฐานคือความโกรธ ความกลัว ความเกลียดชัง ความโลภ ความหลง และความหดหู่ อารมณ์ด้านลบเกิดจากที่คนมีความคิดโดยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง
มีแรงปรารถนาที่จะครอบครองหรือเป็นเจ้าของสรรพวัตถุและชีวิตอย่างรุนแรง
พวกเขาจึงโกรธเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนาหรือมีคนทำอะไรที่กระทบกับตัวตนของพวกเขา ด้วยความรู้สึกที่อยากเป็นเจ้าของ
พวกเขาจึงแสวงหาสิ่งต่างๆมาครอบครองให้มากที่สุด และกลัวการสูญเสียในสิ่งที่คิดว่าตนเองมี และหากมีการสูญเสียที่พวกเขาไม่อาจทำอะไรได้
พวกเขาก็จะหดหู่ เศร้าหมองอย่างยาวนาน
อารมณ์ด้านลบเป็นสาเหตุของปัญหาสังคมนานับประการ
เป็นเหตุที่ทำให้เกิดความรุนแรงและบั่นทอนความสงบสุขของสังคม
สังคมใดก็ตามที่คนจำนวนมากในสังคมแสดงพฤติกรรมและกระทำโดยใช้อารมณ์ทางลบเป็นหลัก
สังคมนั้นย่อมไม่ใช่สังคมที่ดี
ในสังคมไทยอารมณ์ด้านลบดำรงอยู่ไม่น้อยและถูกผลิตซ้ำโดยกลุ่มคนจำนวนมาก
โดยเฉพาะกลุ่มที่มีบทบาทนำทางสังคม ผนวกกับในปัจจุบันช่องทางการเผยแพร่ก็มีเป็นจำนวนมาก
มีความรวดเร็ว และครอบคลุมทั่วทั้งสังคม ทั้งยังสามารถทำได้อย่างง่ายดาย
ใครก็ทำได้
ปัจจัยเหล่านี้ยิ่งทำให้อารมณ์ทางลบระบาดอย่างรวดเร็วและมีความแข็งแกร่งขึ้น ในทางกลับกันก็จะส่งผลให้ “การมีสติ” อ่อนแอลง
อย่างในปัจจุบัน ความโลภหรือความอยากได้ใคร่มีอย่างรุนแรงกลายเป็นอารมณ์หลักของสังคม
เพราะถูกขับเคลื่อนโดยผู้นำทางการเมือง นักธุรกิจชั้นนำ ข้าราชการระดับสูง
และดารานักแสดงจำนวนมาก สถานการณ์ที่ดำรงอยู่คือผู้คนส่วนมากอยากร่ำรวยและอยากครอบครองวัตถุสิ่งของโดยไม่คำนึงถึงวิธีการที่ได้มาของเงิน จนนำไปสู่ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น
การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม การใช้ความรุนแรง การค้ายาเสพติด การพนันเล่นหวย การฉ้อฉลหลอกลวง และอาชญากรรมอื่นๆอีกมากมาย
หรืออย่างเรื่องความโกรธ ความเกรี้ยวกราด
ก็เช่นเดียวกัน ผู้นำประเทศยุคปัจจุบันก็แสดงอารมณ์แบบนี้บ่อยครั้ง
และบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคมวงการอื่นๆจำนวนไม่น้อยก็พลอยผสมโรงเติมเชื้อเพลิงของความโกรธและความเกลียดชังลงไปสู่สังคมอย่างขาดสติ การแพร่กระจายของอารมณ์แบบนี้นำไปสู่การเพิ่มและการขยายของความรุนแรง และทำให้ความรุนแรงกลายเป็นเรื่องปกติไปในที่สุด สังคมใดที่ความรุนแรงกลายเป็นสิ่งที่มีความชอบธรรม สังคมแบบนั้นย่อมเป็นสังคมที่ไม่ปกติ
หากเรามีเป้าประสงค์ให้สังคมไทยในอนาคตเป็นสังคมที่ดีและมีความสงบสุข เราจำเป็นจะต้องทำให้คนในสังคม
“มีสติเข้มแข็ง” ต้องทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจวิธีการและมีการปฏิบัติเพื่อเจริญสติและพัฒนาอารมณ์ด้านบวกอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็ต้องมีสมรรถนะในการจัดการกับอารมณ์ด้านลบอย่างมีประสิทธิผลด้วย
บรรดากลุ่มผู้นำ
และผู้มีสถานภาพและบทบาทสูงในวงการต่างๆของสังคมต้องรู้จักระงับและควบคุมอารมณ์โกรธ
อย่าได้แสดงต่อสาธารณะ อย่างนายกรัฐมนตรี ไม่ว่านักข่าวถามคำถามแบบใด ก็ควรตอบไปตามเนื้อหาด้วยอารมณ์ที่สงบเยือกเย็น
โดยมีฐานคิดว่าธรรมชาติของนักข่าวคือ ความสงสัยและการตั้งคำถาม
หากคิดว่านักข่าวมีธรรมชาติแบบนี้ ก็จะสามารถควบคุมอารมณ์โกรธเอาไว้ได้ แม้ว่าคำถามบางข้อจะดูเหมือนเป็นการท้าทาย
ไม่เชื่อใจ หรือไม่ไว้วางใจ ก็ตาม
และเมื่อใดที่มีอารมณ์โกรธขึ้นมา ก็ให้รู้ว่ากำลังโกรธ
และพิจารณาดูความเป็นอนิจจังของอารมณ์ดังกล่าวให้ชัดเจน อารมณ์โกรธก็จะหายไปเอง
ผู้มีสถานภาพทางสังคม ทั้งดารา ศิลปิน
หรือผู้มีชื่อเสียง อื่นๆก็เช่นเดียวกัน พึงระวังอย่างยิ่ง
ในการพูดหรือเขียนข้อความใดลงไปในสื่อของตน
ระวังอย่าให้อารมณ์โกรธเป็นสิ่งขับเคลื่อนและส่งเสริมการใช้ความรุนแรง
นอกจากการจัดการความโกรธแล้ว การใช้สติระงับความโลภก็เป็นเรื่องสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ผู้นำของบางประเทศแสดงให้สาธารณะเห็นถึงการใช้สติระงับความโลภได้เป็นอย่างดี โดยมีการเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย สมถะ
และประหยัด ในสังคมไทยหากผู้นำประเทศ
ผู้นำราชการ ผู้นำทางธุรกิจ และผู้นำทางสังคม ดำเนินชีวิตโดยใช้สตินำความโลภ
และแสดงให้สังคมเห็นเป็นประจักษ์ว่า การดำรงชีวิตและการปฏิบัติงานดำเนินตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแท้จริง ก็อาจทำให้อารมณ์โลภของคนในสังคมบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง
การพัฒนาความเข้มแข็งของสติและอารมณ์เชิงบวกของผู้คนเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้สังคมมีความสงบสุขและเกิดความปรองดอง แต่สิ่งเหล่านี้จะดำเนินการได้อย่างมีพลังขับเคลื่อนสูง บรรดาผู้นำทั้งหลายในทุกวงการและทุกระดับของสังคมต้องทำตัวเป็นแบบอย่างครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น