ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ว่าด้วย คุณภาพนักการเมือง ตำรวจ และรัฐบาล:

คุณภาพนักการเมือง ตำรวจ และรัฐบาล: ภาพสะท้อนจากผลการวิจัยระดับนานาชาติ  
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

            ระยะนี้มีการเปิดเผยรายงานวิจัยเชิงสำรวจระดับนานาชาติชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสมรรถภาพการแข่งขันของประเทศต่างๆ   คณะผู้วิจัยศึกษาใน 144 ประเทศทั่วโลก และนำผลการศึกษาของแต่ละประเทศมาเปรียบเทียบกันเพื่อจัดลำดับสมรรถภาพการแข่งขันระดับโลก    รายงานวิจัยฉบับนี้ใช้ชื่อว่า “รายงานสมรรถภาพการแข่งขันระดับโลก 2012-2013”  บรรณาธิการในการจัดทำรายงานคือ ศาสตราจารย์ Klaus Schwab   องค์กรที่จัดพิมพ์รายงานชื่อ เวทีเศรษฐกิจโลก” (World  Economics Forum-WEF)
           ผมเลือกผลการวิจัยบางประเด็นด้านการเมืองและการบริหารที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยมาวิเคราะห์ ตีความ และตั้งข้อสังเกตบางประการในบทความชิ้นนี้ 
            ก่อนอื่น เราเริ่มจากการดูผลการศึกษาในภาพรวม  ซึ่งระบุว่า “ดัชนีสมรรถภาพการแข่งขันระดับโลก” (GCI) ของประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 38 จาก 144 ประเทศ โดยได้คะแนน 4.5 จากคะแนนเต็ม 7 คะแนน  เมื่อเทียบกับคะแนนจากการสำรวจสองครั้งก่อน ปรากฏว่ามีคะแนนเท่ากัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คือได้ 4.5 คะแนนตลอดมา   ในส่วนของลำดับการแข่งขันก็เช่นเดียวกันกับเมื่อสองปีที่แล้ว (2011-2012) คืออยู่ที่ลำดับ 38  จาก 142 ประเทศ  และปีก่อนหน้านั้น (2010-2011) อยู่ลำดับที่ 39  จาก 139 ประเทศ  
          WEF กำหนดองค์ประกอบของการประเมินสมรรถภาพการแข่งขันเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ 3 มิติคือ มิติที่ 1 ความจำเป็นพื้นฐานมี 4 ด้านได้แก่  ด้านสถาบัน  ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านสิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจระดับมหาภาค และด้านสาธารณสุขและการศึกษาระดับพื้นฐาน    มิติที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพมี 6 ด้าน ได้แก่ การศึกษาระดับสูงและการอบรม   ประสิทธิภาพของตลาดสินค้า  ประสิทธิภาพของตลาดแรงงาน  การพัฒนาตลาดการเงิน ความพร้อมทางเทคโนโลยี และขนาดของตลาด   และมิติที่ 3 นวัตกรรมและปัจจัยที่ซับซ้อนมี 2 ด้าน ได้แก่ ความเชี่ยวชาญทางธุรกิจ  และ นวัตกรรม
          เมื่อเปรียบเทียบลำดับของด้านต่างๆ ปรากฎว่า ด้านขนาดของตลาดได้ลำดับดีที่สุดคือ  ลำดับที่ 22   รองลงมาคือ ด้านสิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจอยู่ลำดับที่  27    ส่วนด้านที่แย่ที่สุดคือความพร้อมทางเทคโนโลยี ได้ลำดับที่ 84  แย่รองลงมาคือ ด้านสาธารณสุขและการศึกษาระดับพื้นฐาน ได้ลำดับที่ 78    ด้านที่แย่ตามมาอย่างใกล้ชิดคือด้านสถาบันภายในสังคม ได้ลำดับที่ 77  และด้านประสิทธิภาพของตลาดแรงงานได้ลำดับที่ 76
          ด้านที่ผมให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ ด้านสถาบันภายในสังคมซึ่งมีอยู่ 22 ตัวชี้วัด  มีตัวชี้วัดสำคัญ 3 ตัวที่ได้ลำดับแย่มากๆหรือ ลำดับร้อยกว่าขึ้นไปซึ่งถือว่าเป็นลำดับโหล่ก็ว่าได้    ตัวแรกคือ ต้นทุนทางธุรกิจเกี่ยวกับการก่อการร้าย ได้ลำดับที่ 115  ตัวที่สองคือ ความไว้วางใจของสาธารณะต่อนักการเมือง ได้ลำดับที่ 107   และตัวที่สามคือ ความเชื่อถือได้ในการทำหน้าที่ของตำรวจ ได้ลำดับที่ 101     
          การที่ประเทศไทยถูกมองว่ามีต้นทุนทางธุรกิจเกี่ยวกับการก่อการร้ายสูง อาจมีสาเหตุสำคัญจากสองเรื่อง  เรื่องแรกคือ การที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ยกระดับการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้จากภายในประเทศไปสู่สากล  โดยให้ประเทศมาเลเซียเป็นตัวกลางในการจัดเวทีเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับตัวแทนของฝ่ายก่อความไม่สงบ   เมื่อรัฐบาลไทยดึงต่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ภายในประเทศ  จึงทำให้ข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องนี้กระจายและขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางในระดับสากล  ผู้ตอบแบบสำรวจจึงรับรู้ข่าวเรื่องนี้กันทั่วหน้า จึงประเมินว่าหากจะมาลงทุนในประเทศไทยคงต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงสูง และทำให้ต้นทุนทางธุรกิจเพิ่มขึ้น    
          สำหรับเรื่องที่สองนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นการตีความเกี่ยวกับภาพเหตุการณ์การเผาบ้านทำลายเมืองในกรุงเทพมหานครซึ่งสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงแก่บริษัทเอกชนหลายแห่ง  ข่าวสารเรื่องนี้ยังคงประทับอยู่ในความทรงจำของผู้คนโดยยังไม่เลือนหายไป    และที่สำคัญคือแกนนำกลุ่มผู้ก่อการร้ายหลายคนกลายเป็นผู้มีตำแหน่งในฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติของประเทศไทย  จึงอาจทำให้เกิดความระแวงได้ว่าบุคคลเหล่านั้นอาจจะกระทำพฤติกรรมเดิมซ้ำอีก และส่งผลให้เกิดความกังวลต่อการประกอบธุรกิจที่มีความเสี่ยงมากขึ้น          
                ประเด็นต่อมาคือ “ความไว้วางใจของสาธารณะต่อการนักการเมือง” ผลการสำรวจเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์  บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงคุณภาพอันย่ำแย่ของนักการเมืองไทย     เราลองมาทบทวนดูซิว่านักการเมืองไทยมีคุณลักษณะเด่นอะไรบ้างที่ทำให้สาธารณะไม่ไว้วางใจ   ลักษณะแรกน่าจะเป็น การแสดงความผิดพลาดในการพูดและการเขียนเรื่องง่ายๆหลายครั้งหลายคราว  ทั้งในเวทีระดับประเทศและระดับนานาชาติ    ที่สำคัญคือผู้แสดงความผิดพลาดนี้เป็นนักการเมืองที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี   การกระทำผิดซ้ำซากในเรื่องง่ายๆแบบซ้ำซากย่อมสะท้อนถึงความจำกัดทางปัญญาของผู้กระทำอย่างชัดเจน จนกระทั่งได้รับสมญานามประจำตัวที่คนในสังคมรับรู้กันโดยทั่วไป
          ลักษณะที่สองคือ การขาดความรับผิดชอบต่อสาธารณะ   เมื่อทำผิดพลาดแล้ว นักการเมืองไม่เคยยอมรับผิด  ไม่เคยแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกหรือขอโทษประชาชน   สิ่งที่สาธารณะรับรู้คือการแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แบบโกหก” ทั้งสีขาว สีเทา และสีดำ ผสมปนเปกันไป 
          ลักษณะที่สามคือ การเป็นผู้รับใช้ หรือขี้ข้าแก่นักโทษหนีคุกซึ่งเป็นนายทุนของพรรคการเมืองที่ตนเองสังกัดอยู่เพื่อแลกเปลี่ยนกับการมีตำแหน่งรัฐมนตรีหรือตำแหน่งทางการเมืองอื่นๆ  พฤติกรรมที่นักการเมืองเหล่านี้แสดงออกมาจึงเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและเจ้านายเท่านั้น     และลักษณะที่สี่  คือ การไม่ซื่อสัตย์ ไร้สัจจะ ปราศจากจริยธรรม กระทำทุจริตประพฤติมิชอบจนเป็นปกติวิสัย    ด้วยคุณลักษณะเหล่านี้เองจึงทำให้สาธารณะไม่ไว้วางใจนักการเมืองไทย
            สำหรับประเด็นถัดมาคือ  “ความไม่ไว้วางใจของสาธารณะต่อการทำหน้าที่ของตำรวจ”  อันเกิดจากการที่  ผู้คนจำนวนมากรับรู้จากประสบการณ์ทางตรงและทางอ้อมว่าตำรวจไทยส่วนใหญ่ใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม รับใช้นักการเมืองอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่แยกแยะสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด เลือกปฏิบัติ ใช้กฎหมายหลายมาตรฐาน  กลั้นแกล้งฝ่ายที่ไม่สนับสนุนรัฐบาล  มีข่าวเกี่ยวการรีดไถประชาชนปรากฎในสื่อมวลชนเป็นประจำ  ร้ายกว่านั้นคือบางคนเป็นผู้ก่ออาชญากรรมเสียเอง  กระทำกิจการที่ผิดกฎหมาย ค้ายาเสพติด เป็นมือปืน และใช้ความรุนแรงกับประชาชน   จนประชาชนเกิดความรู้สึกว่า “เมื่อใดมีตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อนั้นความทุกข์ยากจะตามมา”  เหตุการณ์ล่าสุดคือการใช้ความรุนแรงในการปราบปรามและทำร้ายประชาชนชาวสวนยางในจังหวัดนครศรีธรรมราชที่กำลังชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำ       
          ส่วนตัวชี้วัดที่ได้ลำดับแย่รองๆลงมาเป็นตัวชี้วัดที่เกี่ยวกับเรื่องนโยบายและการบริหารงานของรัฐบาลใน 4 ประเด็น  คือ ความโปร่งใสในการกำหนดนโยบายของรัฐบาล ได้ลำดับที่ 89  การเล่นพรรคเล่นพวกของเจ้าหน้าที่รัฐ ได้ลำดับที่ 86   ความเบี่ยงเบนในการใช้งบประมาณแผ่นดิน ได้ลำดับที่ 82   และการกินสินบาทคาดสินบนได้ลำดับที่ 80    
          ลำดับของประเด็นเหล่านี้บ่งบอกถึงอาการป่วยหนักของรัฐบาลไทย ซึ่งมีคุณลักษณะสำคัญคือขาดความโปร่งใสในการกำหนดนโยบาย ดังจะเห็นได้จากการกำหนดและการบริหารนโยบายจำนำข้าวที่เต็มไปด้วยความมืดดำ ไม่อาจตอบคำถามสังคมได้โดยเฉพาะการขายข้าว   แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือพระราชกำหนดกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาทเพื่อจัดทำโครงการป้องกันน้ำท่วมแบบอัปลักษณ์  และการเสนอร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาทเพื่อทำโครงการด้านคมนาคม ซึ่งเป็นนโยบายที่กำหนดขึ้นมาโดยมีเจตนาหลีกเลี่ยงการตรวจสอบการใช้เงินจากรัฐสภาและประชาชน  อันจะนำไปสู่การใช้เงินแผ่นดินอย่างเบี่ยงเบนจากหลักการงบประมาณที่ถูกต้อง และเปิดช่องทางสร้างโอกาสให้เกิดการทุจริตอย่างบูรณาการในทุกระดับอย่างขนานใหญ่
           การวิจัยเชิงสำรวจของ WEF ครั้งนี้เป็นการดำเนินการโดยคณะนักวิชาการชาวต่างชาติและพวกเขาสำรวจถึง 144 ประเทศ   มีการอธิบายถึงระเบียบวิธีในการวิจัยอย่างชัดเจนมีความน่าเชื่อถือและถูกต้องตามหลักวิชาการ   ผลการวิจัยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยจึงเป็นหลักฐานอย่างหนักแน่นว่า ประเทศไทยมีนักการเมืองและตำรวจที่คุณภาพต่ำมากๆ   รวมทั้งมีรัฐบาลที่ขาดความโปร่งใสในการกำหนดและบริหารนโยบาย เต็มไปด้วยพฤติกรรมเบี่ยงเบน เล่นพรรคเล่นพวก และทุจริตในการใช้งบประมาณแผ่นดิน ดังนั้นหากไม่เร่งรีบปฏิรูปประเทศจัดระเบียบรัฐบาล นักการเมือง และตำรวจเสียใหม่   ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าสมรรถภาพการแข่งขันของประเทศไทยคงตกต่ำต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด  จนยากที่จะเยียวยาได้

                

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คำถามประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการทำแท้งคือ เมื่อไรที่จะนับว่าชีวิตมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และ ณ จุดไหนที่สังคมควรจะเข้าไปดำเนินการปกป้องชีวิตที่กำลังก่อกำเนิด       ส่วนข้อถกเถียงเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับการทำแท้งมี ๒ ประเด็นหลักคือ  ประเด็นแรกคือ “คุณค่าของพื้นฐานแห่งชีวิต” ซึ่งมีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ยังไม่ได้กำเนิดมาดูโลก กับชีวิตของมารดา   ประเด็นที่สองคือ “พื้นฐานของเสรีภาพส่วนบุคคคล” ซึ่งเป็นสิทธิของมารดาเหนือร่างกายของตนเองในการให้กำเนิดและกำหนดชีวิต และประเด็นที่เป็นความขัดแย้งอีกประการคือแนวคิดเกี่ยวกับ “สิทธิสัมบูรณ์”  ระหว่างสิทธิของทารกในครรภ์ที่จะก่อตัวพัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษย์ กับสิทธิของมารดาในการควบคุมชีวิตและร่างกายของตนเอง ชีวิตมนุษย์เริ่มจากไหนและพัฒนาอย่างไร   ในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายขั้นตอนของการพัฒนาตัวอ่อนในครรภ์ในเป็นมนุษย์ ดังนี้ ๑.       ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นจากไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์จากอสุจิ หนึ่งเซลล์ของมนุษย์ผู้หนึ่งผสมกับเซลล์ของมนุษย์อีกผู้หนึ่ง กลายเป็นสองเซลล์และขยายเป็นสี่ และจากนั้นภายในหกวั

วิจารณ์หนังสือ การสร้างทฤษฎีฐานราก: แนวทางเชิงปฏิบัติผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ของ Kathy Charmaz. พิมพ์ในวารสารพัฒนาสังคม V 14. No. 2

บทวิจารณ์หนังสือ  พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต Kathy Charmaz  2006. Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis. London: SAGE   จำนวน  208  หน้า ความเป็นมาของทฤษฎีฐานราก ระเบียบวิธีทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) อุบัติขึ้นจากนักสังคมวิทยาสองคนคือ Barney G. Glaser และ Anselm L. Strauss ช่วงกลางทศวรรษ 1960s    ทั้งสองไปทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสภาวะกำลังตายและการตาย ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล    พวกเขาได้พัฒนายุทธศาสตร์เชิงระเบียบวิธีอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งทำให้นักสังคมศาสตร์สามารถนำไปประยุกต์ในการศึกษาเรื่องอื่นๆได้จำนวนมาก   ในปี 1967 Glaser และ Strauss  ได้เสนอระเบียบวิธีนี้เข้ามาสู่แวดวงวิชาการในหนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขา คือ The Discovery of Grounded Theory   ซึ่งทำให้การวิจัยเชิงคุณภาพรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ของระเบียบวิธี        ช่วงเวลาก่อนที่ Glaser และ Strauss เสนอระเบียบวิธีการวิจัยทฤษฎีฐานรากเป็นช่วงที่การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในสาขาสังคมวิทยากำลังประสบกับปัญหาทางระเบียบวิธีวิทยาอย่างหนักหน่วง   การวิจัยเชิงคุณ

พหุวัฒนธรรมนิยม สิทธิชนกลุ่มน้อยและความสมานฉันท์

พหุวัฒนธรรมนิยม สิทธิชนกลุ่มน้อยและความสมานฉันท์          พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต จากความขัดแย้งของสังคมไทยที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องอุดมการณ์ เรื่องเชื้อชาติและศาสนาในสามจังหวัดภาคใต้  และปัญหาแรงงานอพยพที่นับวันจะมีมากขึ้น ทำให้ผู้เขียนเห็นถึงความจำเป็นที่ต้องนำเสนอความคิดทางสังคมการเมืองซึ่งอาจนำไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายและการปฏิบัติเพื่อทำให้สังคมลดความขัดแย้ง  สร้างการบูรณาการ และความสมานฉันท์อย่างเป็นระบบขึ้นมา   เนื่องจากแนวความคิดนี้มีความยาวและต้องทำความเข้าใจในหลายมิติ ผู้เขียนพยามยามนำเสนอให้ง่ายต่อการอ่านและการเข้าใจ          พหุวัฒนธรรมนิยม ( multiculturalism) เป็นแนวคิดคู่แข่งทางวิชาการและนโยบายของลัทธิชาตินิยม ( nationalism)      นักวิชาการเริ่มใช้คำนี้ประมาณทศวรรษ 1960  เพื่ออธิบายนโยบายสาธารณะใหม่ ในประเทศแคนาดา ต่อมาขยายไปสู่ประเทศออสเตรเลีย  การพัฒนาการของแนวคิดนี้เป็นการเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยของรัฐบาลเพื่อเปลี่ยนแปลงนโยบายการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม ( assimilation) ไปสู่นโยบายสังคมพหุวัฒนธรรม นโยบายผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมทำให้วัฒ