ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การปฏิรูป หรือเป็นเพียงความฝันบนแผ่นกระดาษ

การปฏิรูป หรือเป็นเพียงความฝันบนแผ่นกระดาษ
เผยแพร่: 25 ส.ค. 2560 17:11:00
"ปัญญาพลวัตร"
"พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

เมื่อระบบสังคมเปลี่ยนแปลงไปจนอยู่ในสภาพที่เสื่อมลงอย่างรอบด้าน อันหมายถึงสถาบัน กฎเกณฑ์และกลไกต่างๆของสังคมมิอาจตอบสนองความปรารถนาในการธำรงคุณภาพชีวิตที่ดีของคนส่วนใหญ่ได้ ความคิดเชิงการปฏิรูปเพื่อปรับเปลี่ยนระบบสังคมก็เกิดขึ้น ทว่าปมปัญหาใหญ่ของการปฏิรูปในอดีตคือ มักจะเป็นเพียงความฝันที่ได้รับการจารึกลงในแผ่นกระดาษเท่านั้นเอง เพราะว่าเจตจำนง ภูมิปัญญา พลังและความยืนยาวของอำนาจและทรัพยากรในขับเคลื่อนมักจะมีอยู่จำกัด และที่สำคัญคือการมีพลังการต่อต้านอันเกิดจากความกังวลในการสูญเสียผลประโยชน์และอำนาจของกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากระบบเก่าดำรงอยู่อย่างเข้มข้น

โดยปกติการปฏิรูปมีแนวทางหลักสองแนวทางคือ การปฏิรูปที่นำและกระทำโดยกลุ่มชนชั้นนำในสังคม กับการปฏิรูปที่เกิดจากการผลักดันและดำเนินการโดยกลุ่มประชาสังคม 

การปฏิรูปแบบแรกปรากฎขึ้นจากสองสาเหตุหลัก สาเหตุแรก มาจากสมาชิกชนชั้นนำในสังคมบางกลุ่มเกิดความตระหนักในปัญหา และเห็นถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงระบบเก่า และด้วยการที่พวกเขาเป็นกลุ่มที่ทรงพลังอำนาจจึงสามารถผลักดันให้เกิดกระบวนการปฏิรูปขึ้นมาในกรอบหรือขอบเขตที่พวกเขาคิดว่าเหมาะสม แต่ด้วยความผูกพันธ์กับอำนาจและผลประโยชน์ที่เคยได้รับจากระบบเก่า ทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแต่เพียงในขอบเขตจำกัด

สาเหตุที่สอง มาจากการที่ชนชั้นนำบางกลุ่มซึ่งได้อำนาจรัฐด้วยความบังเอิญ บนความเสื่อมสลายของระบบอำนาจเก่าซึ่งเกิดจากการต่อสู้ของประชาชน ประชาชนที่ต่อสู้กับระบบเก่าปรารถนาให้เกิดการปฏิรูป แต่ว่าพวกเขาไร้อำนาจในการดำเนินการปฏิรูป ชนชั้นนำทางอำนาจใหม่จึงพยายามเอาใจประชาชนด้วยการชูธงการปฏิรูป ทั้งที่ในจิตใจอันแท้จริงของพวกเขาไร้เจตจำนงทางการเมือง และปราศจากความยินดียินร้ายในการปฏิรูป และในสมองก็ปราศจากความคิดในการปฏิรูปแต่อย่างใด สิ่งที่พวกเขาทำคือการสร้างรูปแบบให้ดูเสมือนมีการปฏิรูป แต่ไร้การปฏิรูปที่แท้จริง เป็นเพียงมายาภาพเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนเองดำรงอยู่ในอำนาจเท่านั้นเอง
กระบวนการที่ชนชั้นนำทางอำนาจกระทำคือ การสร้างองค์การแบบเสือกระดาษซึ่งปราศจากอำนาจในการสร้างการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ในการปฏิรูป องค์การทั้งหลายถูกสร้างขึ้นมาในรูปแบบสภาที่มีป้าย ปฏิรูปปรากฎในชื่อ ชนชั้นนำทางอำนาจใช้ทรัพยากรของสังคมจำนวนมหาศาล เพื่อให้บรรดานักปฏิรูปมีเวทีในการแสดงความคิดและข้อเสนอแนะนานัปประการ อันเป็นข้อเสนอแนะที่ว่างเปล่าและจารึกลงในแผ่นกระดาษห่อหุ้มด้วยปกที่สวยงาม แต่ปราศจากการนำไปสู่การปฏิบัติในโลกแห่งความเป็นจริงแต่อย่างใด สภาปฏิรูปจึงเป็นดั่งโรงละครขนาดใหญ่ที่เอาไว้สร้างความบันเทิงและประกอบพิธีกรรมแห่งการปฏิรูปเท่านั้นเอง

ส่วนอำนาจในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงอยู่ในมือชนชั้นนำทางอำนาจ แต่เรื่องเศร้าคือ เราหาร่องรอยของเจตจำนงและความคิดปฏิรูปของพวกเขาได้ไม่ง่ายนัก เมื่อถามถึงการปฏิรูปพวกเขาก็บอกว่าเป็นหน้าที่ของบรรดาสภาปฏิรูปและคณะกรรมการปฏิรูปทั้งหลาย ไม่ใช่หน้าที่ของเขา ทำให้เราต้องมองอย่างปลง ๆ ว่า อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง คนมีอำนาจและทรัพยากรเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงกลับไร้ความคิดและเจตจำนงในการปฏิรูป ขณะที่กลุ่มคนที่ถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่ในการปฏิรูปกลับไร้อำนาจและทรัพยากรในการขับเคลื่อนการปฏิรูป

สำหรับบางสังคมหรือบางช่วงประวัติศาสตร์ของสังคมใดสังคมหนึ่งที่การปฏิรูปถูกขับเคลื่อนโดยพลังของประชาชน การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของระบบก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ สถาบันทางสังคม การเมือง กลไกและกฎเกณฑ์แบบใหม่ได้รับการรังสรรค์ขึ้นมา เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาและกำหนดลงในรัฐธรรมนูญบ้างและกฎหมายบ้าง ซึ่งหากสิ่งเหล่านี้ถูกนำไปใช้ตามหลักการและเจตนารมย์ย่อมจะมีโอกาสสร้างการเปลี่ยนแปลงและสร้างระบบสังคมการเมืองที่ดีขึ้นได้ แต่ในความเป็นจริง ความยืนยาวของการปฏิรูปตามแนวทางนี้ถูกกำหนดด้วยเงื่อนไขสองประการ

เงื่อนไขแรก หากสังคมใด กลุ่มประชาชนผู้ขับเคลื่อนการปฏิรูปมีอำนาจอย่างต่อเนื่อง เมื่อโครงสร้างระบบเปลี่ยนแปลงแล้ว โอกาสการวางรากฐานและพัฒนาสังคมตามแนวทางการปฏิรูปก็เกิดขึ้นได้ กฏเกณฑ์ใหม่จะถูกนำไปใช้อย่างทั่วถึงและรอบด้าน และในระหว่างกระบวนการปฏิรูปก็จะมีการสร้างบรรทัดฐานการปฏิบัติ และค่านิยมแบบใหม่ขึ้นมา หากดำเนินการต่อเนื่อง เมื่อผ่านช่วงเวลาหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของสังคมก็จะเกิดขึ้น จากวัฒนธรรมเก่ากลายเป็นวัฒนธรรมใหม่แห่งการปฏิรูป ซึ่งจะสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
แต่หากสังคมใดที่กลุ่มประชาชนผู้เป็นแกนหลักการปฏิรูปไม่มีอำนาจรองรับเพื่อดำเนินการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ไม่ช้าไม่นาน กลุ่มอำนาจนำของสังคมก็จะเข้ามาฉวยโอกาส ช่วงชิง บิดเบือนการปฏิรูปเพื่อประโยชน์ของพวกตนเอง กระแสการปฏิรูปก็จะจางหายไป วัฒนธรรมอำนาจนิยมแบบเดิมก็จะเข้ามาทำลายโครงสร้าง สถาบัน และกลไกการปฏิรูปอย่างแนบเนียน จนทำให้การปฏิรูปเหลือเพียงแต่เปลือกอันว่างเปล่า

ยิ่งกว่านั้น หากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เราพบว่า เมื่อไรที่มีการปฏิรูปก็มักจะมีแรงต่อต้านการปฏิรูปอยู่เสมอ ซึ่งมาจากกลุ่มที่เชื่อว่าการปฏิรูปจะทำให้ผลประโยชน์และอำนาจของพวกเขาลดลง กลุ่มต่อต้านการปฏิรูปมีวิธีการต่อต้านหลากหลายรูปแบบ ทั้งการทำลายความน่าเชื่อของการปฏิรูปโดยตรง การแทรกซึมเข้าไปในกระบวนการปฏิรูปเพื่อก่อกวนและบิดเบือนการปฏิรูป เปลี่ยนการปฏิรูปให้เป็นการปรับปรุงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ทำให้กลุ่มตนเองเสียประโยชน์ และในท้ายที่สุดเมื่อแผนการปฏิรูปถูกผลักดันให้นำไปสู่การปฏิบัติก็จะต่อต้านโดยการวางเฉยไม่ดำเนินการใด ๆ หรือเลือกทำเพียงบางส่วนที่เห็นว่าไม่สร้างผลกระทบแก่ตนเอง หรือดื้อดึงกระทำแบบเดิม ๆ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงใด ๆ และที่ร้ายกว่านั้นคือการทำตรงข้ามกับกฎเกณฑ์และแนวทางของการปฏิรูป

กลุ่มที่กำหนดกรอบ แนวทาง และขับเคลื่อนการปฏิรูปมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำให้การปฏิรูปเป็นไปในทิศทางใด เราพบเห็นอยู่เสมอว่าการปฏิรูปประเทศในอดีต กลุ่มผู้ขับเคลื่อนการปฏิรูปมิอาจสร้างโลกใหม่ที่ตอบสนองความปรารถนาของคนส่วนใหญ่ในสังคมได้ ตรงกันข้ามความฉ้อฉล ไร้ประสิทธิภาพ และเอาเปรียบซึ่งกันและกันยังคงดำรงอยู่ทั้งในรูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะหากกลุ่มขับเคลื่อนประเมินความสำเร็จของการปฏิรูปเพียงในแง่ของการสร้างสถาบันและกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ ขึ้นมา โดยมิได้ใช้การเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ที่แท้จริงเป็นการประเมิน

ภูมิปัญญาของกลุ่มขับเคลื่อนการปฏิรูปอีกประเด็นหนึ่งที่กำหนดว่า การปฏิรูปจะสร้างผลลัพ์ที่ดีให้เกิดขึ้นแก่สังคมได้มากน้อยเพียงใด หากนักปฏิรูปที่ดูเหมือนทรงภูมิปัญญา แต่ความจริงแล้วมีการรับรู้ปัญหาสังคมแบบคับแคบและเสี่ยงเสี้ยว โดยยึดประสบการณ์ของตนเองเป็นที่ตั้ง หรือยึดติดกับความคิดและความเชื่อบางอย่างแบบแข็งตัว หรือยังใช้เหตุผลแบบจินตนาการที่ปราศจากความสมเหตุสมผล หรือละเลยการตรวจสอบข้อมูลเชิงประจักษ์ หรือใช้อารมณ์นำการตัดสินใจ เราย่อมคาดหวังอะไรได้ไม่มากนักกับนักปฏิรูปที่มีลักษณะเช่นนี้ และน่าจะเป็นโศกนาฏกรรมแห่งการปฏิรูปในหลายสังคม รวมทั้งสังคมไทยด้วย

หลายครั้งเราพบว่า การตัดสินใจเลือกกฎเกณฑ์และมาตรการของบรรดานักปฏิรูป นอกจากจะขาดความสมเหตุสมผลแล้ว ยังเป็นเพียงจินตนาการที่ล่องลอยจากฐานของความเป็นจริงที่มิอาจสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นได้

นักปฏิรูปบางคนอาจโต้แย้งว่า ทางเลือกบางเรื่องไม่มีหลักฐานเพียงพอที่บ่งบอกถึงพลังอำนาจในการรังสรรค์ให้บรรลุผลตามที่ต้องการ ดังนั้นไม่รู้จะหาหลักฐานได้จากที่ใด จึงต้องใช้ดุลยพินิจในการเลือกจากจินตนาการและความเชื่อเป็นหลัก ทว่าข้อโต้แย้งแบบนี้ย่อมฟังไม่ขึ้น เพราะแนวทางการตัดสินใจที่ดีในกรณีที่ข้อมูลเชิงประจักษ์ไม่เพียงพอคือ การใช้หลักการทางจริยธรรม ความยุติธรรม และสอดคล้องกับสิทธิมนุษยชน หาใช่การใช้ความคิดและความเชื่อที่เกิดจากความเข้าใจผิดพลาดหรือจินตนาการเอาของนักปฏิรูปแต่อย่างใด

กล่าวโดยสรุป การปฏิรูปสังคมให้ประสบความสำเร็จต้องประกอบด้วย กลุ่มผู้ปฏิรูปต้องมีเจตจำนงแห่งการปฏิรูปอย่างเข้มข้น มีภูมิปัญญาเพียงพอที่จะสร้างวิสัยทัศน์ กรอบ แนวทาง และยุทธศาสตร์ของการปฏิบัติอย่างเป็นระบบรอบด้าน มีการวางระบบเพื่อจัดการกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นอันเป็นผลกระทบจากการปฏิรูป มีอำนาจและทรัพยากรเพียงพอในสร้างการยอมรับ การสร้างสรรสิ่งใหม่ และการจัดการกับการต่อต้าน และมีความอดทนอดกลั้นในการขับเคลื่อนเพื่อสร้างบรรทัดฐานการปฏิบัติ และวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมา

แต่หากขาดเรื่องใดเรื่องหนึ่งไป หนทางของการปฏิรูปนั้นก็เป็นเพียงความฝันที่ถูกเขียนลงบนกระดาษเท่านั้นเอง


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คำถามประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการทำแท้งคือ เมื่อไรที่จะนับว่าชีวิตมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และ ณ จุดไหนที่สังคมควรจะเข้าไปดำเนินการปกป้องชีวิตที่กำลังก่อกำเนิด       ส่วนข้อถกเถียงเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับการทำแท้งมี ๒ ประเด็นหลักคือ  ประเด็นแรกคือ “คุณค่าของพื้นฐานแห่งชีวิต” ซึ่งมีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ยังไม่ได้กำเนิดมาดูโลก กับชีวิตของมารดา   ประเด็นที่สองคือ “พื้นฐานของเสรีภาพส่วนบุคคคล” ซึ่งเป็นสิทธิของมารดาเหนือร่างกายของตนเองในการให้กำเนิดและกำหนดชีวิต และประเด็นที่เป็นความขัดแย้งอีกประการคือแนวคิดเกี่ยวกับ “สิทธิสัมบูรณ์”  ระหว่างสิทธิของทารกในครรภ์ที่จะก่อตัวพัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษย์ กับสิทธิของมารดาในการควบคุมชีวิตและร่างกายของตนเอง ชีวิตมนุษย์เริ่มจากไหนและพัฒนาอย่างไร   ในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายขั้นตอนของการพัฒนาตัวอ่อนในครรภ์ในเป็นมนุษย์ ดังนี้ ๑.       ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นจากไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์จากอสุจิ หนึ่งเซลล์ของมนุษย์ผู้หนึ่งผสมกับเซลล์ของมนุษย์อีกผู้หนึ่ง กลายเป็นสองเซลล์และขยายเป็นสี่ และจากนั้นภายในหกวั

วิจารณ์หนังสือ การสร้างทฤษฎีฐานราก: แนวทางเชิงปฏิบัติผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ของ Kathy Charmaz. พิมพ์ในวารสารพัฒนาสังคม V 14. No. 2

บทวิจารณ์หนังสือ  พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต Kathy Charmaz  2006. Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis. London: SAGE   จำนวน  208  หน้า ความเป็นมาของทฤษฎีฐานราก ระเบียบวิธีทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) อุบัติขึ้นจากนักสังคมวิทยาสองคนคือ Barney G. Glaser และ Anselm L. Strauss ช่วงกลางทศวรรษ 1960s    ทั้งสองไปทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสภาวะกำลังตายและการตาย ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล    พวกเขาได้พัฒนายุทธศาสตร์เชิงระเบียบวิธีอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งทำให้นักสังคมศาสตร์สามารถนำไปประยุกต์ในการศึกษาเรื่องอื่นๆได้จำนวนมาก   ในปี 1967 Glaser และ Strauss  ได้เสนอระเบียบวิธีนี้เข้ามาสู่แวดวงวิชาการในหนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขา คือ The Discovery of Grounded Theory   ซึ่งทำให้การวิจัยเชิงคุณภาพรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ของระเบียบวิธี        ช่วงเวลาก่อนที่ Glaser และ Strauss เสนอระเบียบวิธีการวิจัยทฤษฎีฐานรากเป็นช่วงที่การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในสาขาสังคมวิทยากำลังประสบกับปัญหาทางระเบียบวิธีวิทยาอย่างหนักหน่วง   การวิจัยเชิงคุณ

พหุวัฒนธรรมนิยม สิทธิชนกลุ่มน้อยและความสมานฉันท์

พหุวัฒนธรรมนิยม สิทธิชนกลุ่มน้อยและความสมานฉันท์          พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต จากความขัดแย้งของสังคมไทยที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องอุดมการณ์ เรื่องเชื้อชาติและศาสนาในสามจังหวัดภาคใต้  และปัญหาแรงงานอพยพที่นับวันจะมีมากขึ้น ทำให้ผู้เขียนเห็นถึงความจำเป็นที่ต้องนำเสนอความคิดทางสังคมการเมืองซึ่งอาจนำไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายและการปฏิบัติเพื่อทำให้สังคมลดความขัดแย้ง  สร้างการบูรณาการ และความสมานฉันท์อย่างเป็นระบบขึ้นมา   เนื่องจากแนวความคิดนี้มีความยาวและต้องทำความเข้าใจในหลายมิติ ผู้เขียนพยามยามนำเสนอให้ง่ายต่อการอ่านและการเข้าใจ          พหุวัฒนธรรมนิยม ( multiculturalism) เป็นแนวคิดคู่แข่งทางวิชาการและนโยบายของลัทธิชาตินิยม ( nationalism)      นักวิชาการเริ่มใช้คำนี้ประมาณทศวรรษ 1960  เพื่ออธิบายนโยบายสาธารณะใหม่ ในประเทศแคนาดา ต่อมาขยายไปสู่ประเทศออสเตรเลีย  การพัฒนาการของแนวคิดนี้เป็นการเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยของรัฐบาลเพื่อเปลี่ยนแปลงนโยบายการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม ( assimilation) ไปสู่นโยบายสังคมพหุวัฒนธรรม นโยบายผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมทำให้วัฒ