ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ว่าด้วย การเมืองเรื่องการปฏิรูปและปรองดองกับคำถามเรื่องชีวิตและสังคมที่ดี

การเมืองเรื่องการปฏิรูปและปรองดองกับคำถามเรื่องชีวิตและสังคมที่ดี
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ทุกวันนี้การถกเถียงทางการเมืองของสังคมไทยหมุนวนอยู่ในเรื่องของการปฏิรูปและการปรองดอง บุคลากรและงบประมาณจำนวนมหาศาลของประเทศถูกใช้ไปเพื่อทำงานในเรื่องเหล่านี้ คณะกรรมการหลากหลายชุดถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อศึกษาแสวงหาแนวทาง ยุทธศาสตร์และมาตรการสำหรับการปฏิรูปและปรองดอง แต่ละชุดก็มีผลผลิตที่ได้มีการจัดพิมพ์และเผยแพร่ออกไปสู่สาธารณะ  แต่ทว่าการยอมรับและการนำไปปฏิบัติกลับมีน้อยยิ่งนัก
การปฏิรูปเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาวะเดิมที่เราคิดว่าเป็นปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง ไปสู่สภาวะใหม่ที่เราคาดหวังว่าจะทำให้ปัญหาเดิมคลี่คลายลง  แต่การทำเช่นนี้อาจทำให้มีปัญหาเพิ่มขึ้นก็ได้ เพราะว่าในสังคมมีกลุ่มคนหลากหลายกลุ่มซึ่งได้รับประโยชน์และพึงพอใจอยู่กับสภาวะหรือปัญหาเดิม  หากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นย่อมทำให้คนกลุ่มนี้สูญเสียผลประโยชน์บางส่วนไป และนั่นจะนำไปสู่การต่อต้านการเปลี่ยนแปลงได้
สภาวะเดิมอะไรบ้างของสังคมที่ได้รับการมองว่าเป็นปัญหาขึ้นอยู่กับความคิดร่วมของคนในสังคมว่าอะไรคือสังคมที่ดีและอะไรคือชีวิตที่ดี  คำถามคือความคิดร่วมของคนในสังคมมาจากไหน และหากมีความคิดร่วมอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น จะมีหลักประกันอะไรว่าความคิดดังกล่าวจะได้รับการยอมรับจากคนทั้งหมดของสังคม  อันที่จริงคำถามในลักษณะนี้มีมาอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ และมีความแตกต่างกันในแต่ละสังคม  และแม้กระทั่งในสังคมเดียวกันความคิดเกี่ยวกับชีวิตที่ดีและสังคมที่ดีก็ยังแตกต่างกันตามกาลเวลาอีกด้วย
 ในอดีตของหลายประเทศ กลุ่มคนที่เป็นผู้กำหนดว่าชีวิตที่ดีคืออะไรมักจะเป็นกลุ่มนักบวช ส่วนผู้ที่เสนอสังคมที่ดีในเชิงอุดมคติคืออะไรมักจะเป็นนักปราชญ์  แต่สำหรับการกำหนดคุณลักษณะของชีวิตที่ดีและสังคมที่ดี ซึ่งถูกนำไปเชิงปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันของผู้คนมักจะเป็นดำเนินการโดยนักปกครองของประเทศเหล่านั้น   ซึ่งพวกเขามักจะกำหนดว่า ลักษณะของชีวิตที่ดีคือ การที่สามารถเสพสุขจากกามสัมผัสทั้งห้า และการครอบครองทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาล ทั้งยั้งสามารถสืบทอดไปยังลูกหลานของตนเองได้ แต่ก็เป็นที่แน่นอนว่าลักษณะชีวิตที่ดีเช่นนี้จำกัดแต่เฉพาะในกลุ่มของนักปกครองเท่านั้น  ส่วนชีวิตที่ดีของประชาชนที่อยู่ภายในสังคมแบบนั้นถูกนิยามอีกแบบหนึ่งนั่นคือ ต้องใช้ชีวิตอย่างสมถะ มีความซื่อสัตย์ภักดีต่อนักปกครอง และพร้อมที่จะเสียสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องให้นักปกครองและเครือญาติให้มีความสุขและอำนาจสืบต่อไป   ส่วนสังคมที่ดีได้ถูกนิยามว่า ต้องเป็นสังคมที่เอื้อประโยชน์เปิดโอกาสต่อการดำรงอำนาจ และสืบทอดอำนาจของนักปกครองและลูกหลานของพวกเขา 
หลายประเทศได้ปฏิบัติตามนิยามของชีวิตที่ดีและสังคมที่ดีดังกล่าวเป็นเวลานับศตวรรษ แต่ต่อมาได้มีการถกเถียงทางปรัชญาและการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงคำนิยามของชีวิตที่ดีและสังคมที่ดีทั้งในระดับความคิดเชิงอุดมคติและการปฏิบัติทางการเมืองสังคมที่เป็นจริง  ในโลกยุคสมัยใหม่นักปรัชญาหลายคนได้เสนอว่าชีวิตที่ดีต้องมีขอบเขตที่ครอบคลุมประชาชนส่วนใหญ่ของสังคม มิใช่จำกัดแต่นักปกครองส่วนน้อยดังในอดีตอีกต่อไป
  แต่สำหรับเนื้อหาของการมีชีวิตที่ดีนั้นกลับมีการเปลี่ยนแปลงจากอดีตไม่มากนักนั่นคือ การสามารถเสพสุขจากกามสัมผัสทั้งห้าอันได้แก่ ได้กินอาหารอร่อยอิ่มท้องอย่างต่อเนื่อง ได้สัมผัสและมีความสุขทางเพศ ได้ยินเสียงดนตรีอันไพเราะตามรสนิยมที่ชอบ ได้ดูหนังดูละคร อ่านหนังสือนวนิยาย และท่องเที่ยวตามที่ต้องการ และการได้รับกลิ่นที่ชวนอภิรมย์จากน้ำหอมและมวลดอกไม้     
การมีชีวิตที่ดีในยุคสมัยใหม่ยังรวมไปถึงการได้ทำงานในอาชีพที่ตนเองชอบ การครอบครองทรัพย์สินเงินทอง มีบ้านเป็นของตนเอง เป็นเจ้าของเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลายในชีวิตประจำวัน รวมทั้งการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คนรอบข้าง
มิติการนิยามชีวิตที่ดีนอกเหนือจากองค์ประกอบพื้นฐานข้างต้นแล้ว นักปรัชญาจำนวนหนึ่งยังได้นำเสนอว่า การมีชีวิตที่ดีคือ การที่คนมีเสรีภาพในการทำสิ่งใดตามที่ปรารถนา โดยที่ไม่ไปละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น บางคนก็เสนอว่าชีวิตที่ดีคือการมีเสรีภาพและสามารถใช้เสรีภาพอย่างเป็นอิสระอย่างแท้จริง ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ตนเองตั้งขึ้นด้วยสำนึกแห่งหน้าที่ต่อมนุษยชาติ   การมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่าและศักดิ์ศรีของความแป็นมนุษย์  หรือหากอิงทางศาสนาหน่อย การมีชีวิตที่ดีก็คือ  การปฏิบัติตัวอย่างมีคุณธรรมตามหลักศาสนา หรือ การมีกายที่ไม่เจ็บป่วย และการมีความสงบสุขสันติภายในจิตใจนั่นเอง
 ด้านสังคมที่ดีก็มีนักปรัชญาจำนวนมากเสนอออกมาให้เราได้รับรู้กัน   ข้อเสนอหลักๆก็มีอย่างเช่น เป็นสังคมที่คนส่วนใหญ่มีความสุขและได้ประโยชน์มากที่สุด ได้ครอบครองสิ่งอำนวยความสะดวกสบายอย่างทั่วหน้า ได้รับผลประโยชน์ทางวัตถุหรือความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง มีชนชั้นกลางมาก มีคนจนน้อยหรือไม่มีเลย  ปราศจากความเหลื่อมล้ำ  ผู้คนดำรงชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยมั่นคงโดยปราศจากความกลัวและมีหลักประกันหรือมีสวัสดิการในการดำรงชีวิต รวมทั้งเป็นสังคมที่มีความยุติธรรม ประชาชนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันทางกฎหมาย มีเสรีภาพในการแสดงความคิดและการกระทำตามข้อกำหนดของกฎหมาย   เป็นสังคมเปิดที่ให้ทุกคนมีโอกาสในการแสวงหาความก้าวหน้า และมีการกระจายอำนาจไปยังกลุ่มต่าง ๆ ในสังคมอย่างเหมาะสม
อย่าไรก็ตาม คุณลักษณะของชีวิตที่ดีและสังคมที่ดีในยุคสมัยใหม่มิใช่เป็นเรื่องที่ใครหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในสังคมจะมากำหนดเอาตามใจชอบ แล้วบังคับให้ผู้อื่นต้องยอมรับและปฏิบัติตาม  หากแต่ต้องกระทำโดยการมีส่วนร่วมจากทุกกลุ่มอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมในการอภิปรายและสนทนากันอย่างละเอียดลึกซึ้ง โดยใช้สติ ปัญญา เหตุผล ความเห็นอกเห็นใจ การคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เป็นหลักการสำคัญของการสนทนา เพื่อแสวงหาเป้าหมายและแนวทางที่เป็นฉันทามติหรือได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย
การปฏิรูปและการปรองดองของประเทศไทยจึงควรเป็นสิ่งที่ประชาชนทุกฝ่ายในสังคมมาร่วมกันสนทนาและพิจารณาว่า มีคุณลักษณะใดบ้างที่เป็นเป้าประสงค์ของการมีชีวิตที่ดีและสังคมที่ดีสำหรับคนไทยและสังคมไทย  มีสภาวะใดบ้างในปัจจุบันที่ไม่เป็นไปตามเป้าประสงค์เหล่านั้น และมีสิ่งใดบ้างที่บั่นทอนหรือทำลายเป้าหมายเหล่านั้น  เมื่อได้ประเด็นต่าง ๆ มาแล้วก็ต้อง พิจารณาและตัดสินใจว่า เรื่องอะไรบ้างที่ควรเปลี่ยนแปลง และมีแนวทางในการเปลี่ยนแปลงอย่างไรที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าประสงค์ร่วมของสังคม
ปัจจัยสำคัญที่การทำให้การปฏิรูปและการปรองดองมีความเป็นไปได้ก็คือ คณะผู้มีอำนาจในสังคมปัจจุบันที่ดำเนินการเรื่องนี้อยู่จะต้องไม่ใช้ความคิดและจุดยืนตนเองและพวกพ้องเป็นศูนย์กลางของจักรวาล แล้วใช้อำนาจบีบบังคับให้กลุ่มอื่น ๆ ในสังคมยอมรับและยอมปฏิบัติตามความหมายหรือความปรารถนาของตนเอง  การใช้อำนาจบีบบังคับทั้งทางตรงและทางอ้อมย่อมมิใช่หนทางที่จะทำให้เกิดการปฏิรูปและการปรองดองได้ รังแต่จะทำให้สถานการณ์พัฒนาไปสู่ความเลวร้ายและความขัดแย้งยิ่งขึ้น
แต่สิ่งที่กำลังทำในเวลานี้ และที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผมยังไม่เห็นหนทางว่าจะนำไปสู่การปฏิรูปและความปรองดองในความหมายของการมีชีวิตที่ดีและสังคมที่ดี ที่เสนอโดยนักปรัชญายุคสมัยใหม่ได้แม้แต่น้อย   แต่กำลังจะกลายเป็นชีวิตที่ดีและสังคมที่ดีตามนิยามของนักปกครองในอดีตที่ยาวไกลเสียมากกว่า

                

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิจารณ์หนังสือ การสร้างทฤษฎีฐานราก: แนวทางเชิงปฏิบัติผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ของ Kathy Charmaz. พิมพ์ในวารสารพัฒนาสังคม V 14. No. 2

บทวิจารณ์หนังสือ  พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต Kathy Charmaz  2006. Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis. London: SAGE   จำนวน  208  หน้า ความเป็นมาของทฤษฎีฐานราก ระเบียบวิธีทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) อุบัติขึ้นจากนักสังคมวิทยาสองคนคือ Barney G. Glaser และ Anselm L. Strauss ช่วงกลางทศวรรษ 1960s    ทั้งสองไปทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสภาวะกำลังตายและการตาย ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล    พวกเขาได้พัฒนายุทธศาสตร์เชิงระเบียบวิธีอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งทำให้นักสังคมศาสตร์สามารถนำไปประยุกต์ในการศึกษาเรื่องอื่นๆได้จำนวนมาก   ในปี 1967 Glaser และ Strauss  ได้เสนอระเบียบวิธีนี้เข้ามาสู่แวดวงวิชาการในหนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขา คือ The Discovery of Grounded Theory   ซึ่งทำให้การวิจัยเชิงคุณภาพรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ของระเบียบวิธี        ช่วงเวลาก่อนที่ Glaser และ Strauss เสนอระเบียบวิธีการวิจัยทฤษฎีฐานรากเป็นช่วงที่การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในสาขาสังคมวิทยากำลังประสบกับปัญหาทางระเบียบวิธีวิทยาอย่างหนักหน่วง   การวิจัยเชิงคุณ

ความผิดพลาดของมนุษย์ตามแนวคิดของ ฟรานซิส เบคอน

ความผิดพลาดของมนุษย์ : ชนเผ่า ถ้ำ ตลาด และโรงมหรสพ พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต เห็นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในระยะนี้  ยิ่งทำให้เห็นความจริงประการหนึ่งว่า ทะเลแห่งความมืดบอดของสังคมไทยนับวันจะขยายตัวออกไปมากขึ้น   และเกาะแห่งปัญญานับวันจะลดน้อยถอยลง  หากภาวะเช่นนี้ดำรงต่อไปนานเท่าไร  ก็ยิ่งทำให้ทะเลแห่งความมืดบอดมีโอกาสกลืนกินเกาะแห่งปัญญาจนหมดสิ้นในไม่ช้า  ผมไปอ่านงานของนักปรัชญาท่านหนึ่ง  เห็นว่ามีความน่าสนใจโดยเฉพาะการวิเคราะห์เกี่ยวกับความผิดพลาดทางปัญญาและการให้เหตุผลของมนุษย์   ซึ่งทำให้เราต้องนำมาทบทวน ระมัดระวัง จะได้ไม่ตกอยู่ในความผิดพลาดนั้น   เพื่อจะได้พัฒนาปัญญาของตนเองให้กระจ่างชัด และมีหนทางในการนำพาสังคมให้หลุดพ้นจากทะเลแห่งความมืดบอดต่อไป ฟรานซิส เบคอน นักปรัชญาชาวอังกฤษซึ่งมีชีวิตระหว่าง ค.ศ. 1561 ถึง 1626   วิเคราะห์จำแนกสาเหตุของความผิดพลาดในการใช้เหตุผลของมนุษย์ออกเป็นสี่แบบ  ได้แก่ ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของชนเผ่า ( Idols of the Tribe)    ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของถ้ำ ( Idols of the Cave)   ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของตลาด (Idols of the Market-place)   และความผิดพลาด

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คำถามประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการทำแท้งคือ เมื่อไรที่จะนับว่าชีวิตมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และ ณ จุดไหนที่สังคมควรจะเข้าไปดำเนินการปกป้องชีวิตที่กำลังก่อกำเนิด       ส่วนข้อถกเถียงเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับการทำแท้งมี ๒ ประเด็นหลักคือ  ประเด็นแรกคือ “คุณค่าของพื้นฐานแห่งชีวิต” ซึ่งมีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ยังไม่ได้กำเนิดมาดูโลก กับชีวิตของมารดา   ประเด็นที่สองคือ “พื้นฐานของเสรีภาพส่วนบุคคคล” ซึ่งเป็นสิทธิของมารดาเหนือร่างกายของตนเองในการให้กำเนิดและกำหนดชีวิต และประเด็นที่เป็นความขัดแย้งอีกประการคือแนวคิดเกี่ยวกับ “สิทธิสัมบูรณ์”  ระหว่างสิทธิของทารกในครรภ์ที่จะก่อตัวพัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษย์ กับสิทธิของมารดาในการควบคุมชีวิตและร่างกายของตนเอง ชีวิตมนุษย์เริ่มจากไหนและพัฒนาอย่างไร   ในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายขั้นตอนของการพัฒนาตัวอ่อนในครรภ์ในเป็นมนุษย์ ดังนี้ ๑.       ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นจากไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์จากอสุจิ หนึ่งเซลล์ของมนุษย์ผู้หนึ่งผสมกับเซลล์ของมนุษย์อีกผู้หนึ่ง กลายเป็นสองเซลล์และขยายเป็นสี่ และจากนั้นภายในหกวั