ตรรกะของความเหมาะสม
พิชาย
รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
โดยปกติตรรกะหลักที่มนุษย์ใช้ในการปฏิบัติมีสองประเภทคือตรรกะของความเหมาะสม
กับตรรกของผลสืบเนื่อง
ตรรกะของความเหมาะสมเป็นเรื่องที่มนุษย์นำมาพิจารณาเพื่อตัดสินใจกระทำหรือไม่กระทำโดยอ้างอิงกับบทบาทหน้าที่และบริบทของสังคม ส่วนตรรกะของผลสืบเนื่องนั้นมีสาระหลักว่า
มนุษย์ตัดสินใจกระทำโดยพิจารณาว่าผลสืบเนื่องที่ตนเองได้รับคืออะไร
หากมนุษย์ประเมินว่าผลสืบเนื่องเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ก็จะกระทำ แต่หากประเมินแล้วว่า
การทำสิ่งใดทำให้ตัวเองเสียประโยชน์ ก็จะไม่ทำ
ตรรกะของความเหมาะสมเป็นกฎเกณฑ์หรือปทัสถานทางสังคมซึ่งมีอยู่สองประเภทใหญ่ๆคือ
ตรรกะของความเหมาะสมแบบทั่วไปที่สมาชิกทุกคนในสังคมอ้างอิงร่วมกันในการกระทำทางสังคมอย่างใดอย่างหนึ่ง
กับตรรกะของความเหมาะสมแบบเฉพาะเจาะจง
ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์หรือปทัสถานทางสังคมของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ
ตรรกะของความเหมาะสมแบบทั่วไปที่พลเมืองในแต่ละสังคมกำหนดขึ้นมาอาจมีความแตกต่างกัน
บางสังคมกำหนดให้สมาชิกแต่ละคนปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมและเคารพซึ่งกันและกัน
ไม่ว่าจะมีสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมแตกต่างกันเพียงใดก็ตาม ขณะที่บางสังคมกลับมีกฎเกณฑ์แตกต่างออกไป
กลับใช้ตรรกะอีกชุดหนึ่งที่มองว่าการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันของสมาชิกในสังคมเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม
เป็นการตีตนเสมอท่านบ้าง ไม่รู้จักเด็ก
รู้จักผู้ใหญ่บ้าง ไม่เคารพผู้อาวุโสบ้าง
ไม่รู้จักกาละ เทศะบ้าง
หากสมาชิกผู้ใดในสังคมใดกระทำแตกต่างจากตรรกะของความเหมาะสม
ก็มักถูกแทรกแซงด้วยการลงโทษทางสังคม
ในสังคมที่ยึดการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมต่อกัน
ก็จะรังเกียจพฤติกรรมที่สร้างความไม่เท่าเทียม
และไม่ยอมรับพฤติกรรมการใช้อภิสิทธิ์
ในทางกลับกันในสังคมที่ยึดการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมเป็นตรรกะหลักที่ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ
ผู้คนในสังคมนั้นก็จะรู้สึกว่าการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมเป็นเรื่องปกติ
หากสมาชิกของสังคมคนใดปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเท่าเทียม
ก็มักจะถูกมองด้วยสายตาที่แปลกประหลาด
และบางคนที่อยู่ในฐานะที่สามารถใช้อภิสิทธิ์ได้ แต่ไม่ยอมใช้
ก็มักจะถูกมองว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยฉลาด
ตรรกะของความเหมาะสมแบบทั่วไปจะคาดหวังถึงพฤติกรรมทางสังคมที่เหมาะสมของสมาชิกในการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างกว้างๆ แต่ตรรกะของความเหมาะสมแบบเฉพาะเจาะจง
ซึ่งเป็นการแสดงบทบาทของบุคคล ตามตำแหน่งหน้าที่และสถานภาพในสังคม มีพลังในการกำหนดและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์อย่างนึกไม่ถึง หลายครั้งหลายโอกาสที่บุคคลถึงกับยินยอมสูญเสียผลประโยชน์ของตนเองเพื่อปฏิบัติตามตรรกะของความเหมาะสม
ดังในสังคมไทย ความกตัญญูต่อบิดามารดา
และดูแลท่านเมื่อยามชราภาพ เป็นบทบาทสำคัญของบุตรและธิดา เพราะท่านเป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่
จึงเป็นการที่สมควรและเหมาะสมที่บุตรและธิดาจะต้องดูแลบิดาและมารดาของตน เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณ หากบุตรและธิดาคนใดไม่ปฏิบัติตามตรรกะชุดนี้
ก็จะถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นคนอกตัญญูและเป็นคนไม่ดี
กระนั้นผู้หญิงมักจะถูกคาดหวังให้ดูแลบิดามารดายิ่งกว่าผู้ชาย เพื่อแสดงความเป็นลูกที่ดี
ผู้หญิงจำนวนมากจึงยอมเสียสละผลประโยชน์ส่วนตนเพื่อทำหน้าที่ของความเป็นลูกที่ดี
มีตัวอย่างอีกมากที่แสดงให้เห็นถึงพลังของตรรกะของความเหมาะสมในการกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์
และในหลายกรณีมีพลังมากกว่าตรรกะของความสืบเนื่อง อย่างเช่น
การที่ทหารจำนวนมากยอมเสียสละชีวิตของตนเอง
เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทที่สังคมคาดหวัง
หรือพนักงานดับเพลิงที่ยอมเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต
เพื่อทำหน้าที่ของตนเอง กรณีเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าปทัสฐานของสังคมเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของผู้สวมตำแหน่งเหล่านั้น มีพลังเหนือกว่าตรรกะของความสืบเนื่อง
ซึ่งเน้นการกระทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
ผู้คนในสังคมแต่ละอาชีพ แต่ละตำแหน่ง
แต่ละสถานภาพได้รับการปลูกฝังปทัสถานแห่งการปฏิบัติภายใต้ตรรกะของเหมาะสมอย่างยาวนาน
และทำให้ปทัสฐานเหล่านั้นผนึกอยู่ในจิตสำนึกของบุคคลที่อยู่ภายในหน่วยทางสังคมนั้นๆ
แต่หากสังคมไม่มีการปลูกฝังและหล่อหลอมตรรกะของความเหมาะสมภายในอาชีพหรือตำแหน่งใดอย่างเข้มข้นแล้ว
ก็จะทำให้ตรรกะของความสืบเนื่องเป็นพลังหลักในการชี้นำการปฏิบัติของบุคคลในอาชีพนั้น
อย่างอาชีพนักการเมืองในสังคมไทย ซึ่งไม่มีการปลูกฝังปทัสฐานและกฎเกณฑ์การปฏิบัติที่เหมาะสม
ทำให้การกระทำของนักการเมืองส่วนใหญ่อยู่ภายใต้ตรรกะของความสืบเนื่อง
โดยตัดสินใจทำหรือไม่ทำเรื่องใดมักจะยึดโยงกับผลประโยชน์หรือโทษที่ประเมินว่าจะเกิดขึ้นเป็นหลัก สำหรับอาชีพตำรวจ แม้ว่าจะได้รับการอบรมกล่อมเกลาและปลูกฝังปทัสถานที่เหมาะสมจากสถาบันการผลิตตำรวจที่เป็นทางการ แต่ปทัสถานที่ได้รับอย่างไม่เป็นทางการผ่านรุ่นต่อรุ่น
กลับขัดแย้งกับปทัสถานที่เป็นทางการ
และการปฏิบัติจริงตำรวจก็มักใช้ตรรกะของความเหมาะสม
โดยใช้ฐานอิงจากปทัสถานที่ไม่เป็นทางการเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการปฏิบัติของตนเอง
ตำรวจไม่น้อยมีวิธีคิดว่า
เป็นความเหมาะสมแล้วที่จะรับเงินจากผู้ทำผิดกฎหมายจราจร หรือผู้ทำผิดกฎหมายอื่นๆ
เช่น เกี่ยวกับการเปิดสถานบริการ การเปิดบ่อนพนัน เพราะจะทำให้ทั้งตำรวจผู้ตรวจจับและผู้กระทำผิดได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่ โดยผู้ทำผิดก็เสียเงินน้อยกว่าอัตราการปรับสูงสุดตามกฎหมาย
และไม่ต้องเสียเวลาไปเสียค่าปรับ หรือในบางกรณีก็ไม่ต้องโทษทางอาญา ส่วนตำรวจก็ได้ประโยชน์ โดยรับเงินเข้ากระเป๋าตนเอง และส่งให้ผู้บังคับบัญชาระดับด้วย
ในหลายกรณีตรรกะของความเหมาะสมระหว่างกลุ่มในสังคมก็แตกต่างกัน
และนำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมได้ ดังความขัดแย้งระหว่างตำรวจกับผู้ใช้รถกระบะ กลุ่มตำรวจมีตรรกะของความเหมาะสมชุดหนึ่งเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้ถนน และได้ขับเคลื่อนจนกระทั่งมีกฎหมายที่ขยายชนิดความผิดเพิ่มขึ้นมามากมาย รวมทั้งการห้ามคนนั่งในกระบะหลังของรถกระบะ
และการกำหนดให้ผู้โดยสารรถยนต์ต้องคาดเข็มขัดทุกที่นั่ง
รวมทั้งที่นั่งในรถกระบะตอนครึ่งด้วย
เพราะรถกระบะเป็นรถสำหรับบรรทุกสิ่งของไม่ใช่บรรทุกผู้คน ตำรวจผู้ผลักดันนโยบายมีความเชื่อว่า กฎหมายที่เข้มข้นจะทำให้คนกลัวไม่กล้ากระทำผิด และทำให้มีความปลอดภัยในการใช้รถ
อันจะนำไปสู่การลดอุบัติเหตุตามท้องถนนได้
ขณะที่ผู้ใช้รถกระบะมีชุดของตรรกะว่า รถกระบะเป็นรถอเนกประสงค์
ใช้ทั้งบรรทุกสิ่งของและบรรทุกผู้คน
เหมาะสมสำหรับสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของคนในสังคมไทย
โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ต่างจังหวัด
และเชื่อว่าการออกกฎหมายในลักษณะนี้ไม่ได้ทำเพื่อความปลอดภัยผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างแท้จริง
หากแต่มีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่
ความเชื่อเช่นนี้ของผู้ใช้รถยนต์สรุปจากประสบการณ์จริงที่พบได้ทั่วไปในสังคมไทย
สำหรับกรณีที่ตรรกะของความเหมาะสมมีพลังในการกำหนดพฤติกรรมน้อยกว่าตรรกะของความสืบเนื่องก็มีไม่น้อย
ที่เห็นชัดคือเหตุการณ์ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งรองอธิการบดีของมหาวิทยาลัยมหิดลแบบรวมหมู่
อันเป็นผลมาจากการที่มีกฎหมายกำหนดให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยระดับรองอธิการบดีต้องแสดงบัญชีต่อปปช. การกระทำของบรรดารองอธิการบดีเหล่านั้นอยู่ภายใต้อิทธิพลของตรรกะของความสืบเนื่อง
เพราะพวกเขาประเมินว่าการแสดงบัญชีทรัพย์จะสร้างผลกระทำทางลบต่อตนเองอย่างใดอย่างหนึ่งแต่ตนเอง
ดังนั้นเพื่อหลีกเลียงการแสดงบัญชีทรัพย์สินจึงลาออกจากตำแหน่งไป
เหตุการณ์นี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าตรรกะของความเหมาะสมหรือปทัสถานเกี่ยวกับการแสดงบัญชีทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งบริหาร
ยังไม่มีความเป็นสถาบันเพียงพอที่จะไปทำให้บุคคลยอมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้
การกำหนดและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของปัจเจกบุคคล
และกลุ่มทางสังคมได้นั้น
สังคมต้องสร้างตรรรกะของความเหมาะสมที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นขึ้นมา
และทำให้กลายเป็นค่านิยมและปทัสถานทางสังคมขึ้นมา
การใช้กฎหมายอย่างบุ่มบ่ามและขาดความรอบคอบ
เพื่อบังคับให้บุคคลเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างทันทีทันใด
ดดยยังมิได้มีปทัสถานที่ดีรองรับ ย่อมนำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมได้ง่าย
ดังเรื่องกฎหมายจราจร ที่รัฐบาลยังมิได้สร้างปทัสถานเรื่องความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนให้เป็นกลายเป็นสถาบันที่ชี้นำแบบแผนปฏิบัติในชีวิตประจำวันของประชาชน
รวมทั้งการไม่มีการสร้างมาตการทางเลือกในการบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้รถใช้ถนนอย่างเป็นรูปธรรม
อยู่ก็ใช้อำนาจหักด้ามพร้าด้วยเข่า
ความขัดแย้งก็ย่อมยากที่จะหลีกเลี่ยงได้
เช่นเดียวกันกับเรื่องการแสดงบัญชีทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งบริหารในหน่วยงานภาครัฐ มีกฎหมายบังคับอย่างเป็นทางการ
แต่ยังขาดการทำให้เรื่องนี้ให้เป็นปทัสถานของวิชาชีพ ก็ย่อมนำไปสู่การสร้างปัญหาตามมาได้
ดังนั้นจึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างปทัสถานเชิงสถาบันขึ้นมาเพื่อทำให้การแสดงบัญชีทรัพย์สิน
กลายเป็นตรรกะของความเหมาะสมสำหรับดำรงตำแหน่งผู้บริหารในหน่วยงานภาครัฐขึ้นมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น