สำนึกทางการเมืองแบบพลเมือง แบบขี้ข้า และแบบเฉยเมย
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
การพัฒนาการเมืองในสังคมไทยยังมีปัญหาอยู่มาก
ภาพสะท้อนปัญหาปรากฏให้เห็นได้ทั่วไปทั้งในเชิงสถาบันทางการเมือง จิตใจ และพฤติกรรมของนักการเมืองและประชาชน ในทางสถาบันทางการเมืองเราเห็น
รัฐบาลแบบหุ่นเชิดที่ฉ้อฉล
ระบอบรัฐสภาที่ล้มเหลว พรรคการเมืองที่เป็นเผด็จการผูกขาด
และองค์กรอิสระที่ไร้ประสิทธิภาพ
ในทางจิตใจและพฤติกรรมนักการเมือง
เราพบเห็นถึงการไร้คุณธรรมของนักการเมือง เห็นจิตใจที่หยาบกระด้าง
อำมหิตเลือดเย็น มีวาจาที่หยาบคาย สกปรก
โสมม มีพฤติกรรมที่ฉ้อฉล ป่าเถื่อนไร้กฎระเบียบ ไม่เคารพกฎหมาย และรุนแรง
ด้านประชาชนเราพบเห็นการเติบโตของประชาชนที่มี
“สำนึกแบบพลเมือง” เพียงน้อยนิด แต่กลับเห็นการเติบโตอย่างมหาศาลของ
“สำนึกไพร่แบบขี้ข้า” และ
“สำนึกหุ่นที่เฉยเมย” การแสดงออกทางการเมืองของภาคประชาชนที่จะขับเคลื่อนสังคมให้มีเนื้อหาประชาธิปไตยอย่างแท้จริงจึงมีเพียงส่วนน้อย
ขณะที่การแสดงออกของประชาชนที่ต้องการ
“ประชาธิปไตยเพียงเปลือกกระพี้นั้นมีมากกว่า”
และที่มากที่สุดคือ ประชาชนที่ไม่สนใจไยดีเรื่องราวของบ้านเมือง
แต่ละวันทำงานหาเลี้ยงชีพ พักผ่อนด้วยการดูละครน้ำเน่า
และรอวันร่ำรวยจากการซื้อหวยหรือเล่นหุ้น
รากเหง้าสำคัญอันเป็นต้นเหตุแห่งปัญหาที่ผ่านมาทั้งปวงคือ
การพัฒนาการเมืองของเราตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งกับสังคมและตัวตนของเราเอง เราพัฒนาการเมืองโดยการเลียนแบบและเป็นการเลียนแบบที่ไม่สมประกอบ
ทั้งในระดับเป้าหมายของการพัฒนาและระดับแนวทางการพัฒนา
เมื่อเราเดินทางไปต่างประเทศ
พบเห็นสิ่งใดที่เราประทับใจว่าเป็นสิ่งดี
เราก็เกิดความคิดว่าน่าจะนำสิ่งนั้นมาใช้ภายในประเทศบ้าง ทั้งที่เรารับรู้เพียงเสี่ยงเสี้ยว ตื้นเขิน
และผิวเผินจากภาพที่เห็นอันเป็นผลลัพธ์
วิธีคิดของเราจึงเป็นวิธีคิดเพียงด้านเดียว และบังเอิญว่า “เรา” ที่ว่านั้นเป็นคนมีศักยภาพและมีอำนาจ “เรา” จึงนำเป้าหมายและแนวทางการพัฒนาการเมืองจากต่างชาติเข้ามาใช้ในสังคมไทย
และหวังอย่างลมๆแล้งๆว่า เมื่อใช้แล้วจะก่อให้เกิดผลลัพธ์เช่นเดียวกับที่เกิดในต่างประเทศ
เราเห็นประเทศตะวันตกมีการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม มีระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เราก็เห็นว่าดี เราจึงนำมาใช้ในประเทศไทยโดยมิได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าพัฒนาการของการเมืองและเศรษฐกิจในแต่ละประเทศนั้นเป็นอย่างไร
และเราก็ไม่สนใจศึกษาหาความรู้อย่างลึกซึ้งว่าสภาพสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ
โครงสร้างอำนาจ
และบุคลิกภาพของปัจเจกบุคคลแบบใดที่เป็นเงื่อนไขของการเกิดและการพัฒนาประชาธิปไตย
เราคิดเอาเองอย่างง่ายๆ ว่า “สิ่งใดเมื่อใช้ได้ดีในที่ใดที่หนึ่งแล้ว ก็ย่อมใช้ได้ดีในที่อื่นด้วย” แนวความคิดเช่นนี้อาจจะใช้ได้สำหรับสิ่งของที่เป็นวัตถุบางอย่างที่ไม่มีชีวิตและความสัมพันธ์ทางสังคมเข้ามาเกี่ยวข้อง
แต่เมื่อไรก็ตามสิ่งที่เราลอกเลียนนำมาใช้เป็นเรื่องของแนวความคิดและมีการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อนั้นประโยคที่ว่า
“สิ่งใดเมื่อใช้ได้ดีในที่หนึ่งแล้ว ก็ย่อมใช้ได้ดีในที่อื่นด้วย”
ความถูกต้องและความเป็นจริงของประโยคนี้จะลดลงอย่างมหาศาล และหากเรายังยึดติดอยู่กับตรรกะของประโยคนี้
เราจะมีแนวโน้มประสบกับปัญหาที่เราจินตนาการไปไม่ถึงมากมายตามมา
ดังระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมของตะวันตกที่เรานำมาใช้เมื่อ
80
ปี ที่แล้ว
ภายใต้บริบทสังคมไทยที่ความคิดและความสำนึกแบบปัจเจกบุคคลเป็นสิ่งที่ยังแทบไม่ดำรงอยู่
คนเกือบทั้งหมดของสังคมไม่รู้จักภาวะแห่งความปัจเจกบุคล
ในทางตรงกันข้ามความคิดของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยเป็นความคิดที่เชื่อมโยงตัวตนเข้ากับครอบครัว
เครือญาติ และชุมชน การเคารพผู้อาวุโสกว่าเป็นหลักการปฏิบัติทั่วไป
คุณธรรมส่วนบุคคลและระหว่างบุคคลอันอยู่บนฐานของศาสนาพุทธ
ไม่ว่าจะเป็นหลักเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
ความเชื่อเรื่องบุญ และบาป เป็นสิ่งที่ได้รับการนำไปปฏิบัติเป็นวิถีชีวิตทั่วไปของผู้คน
ส่วนความสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจภายนอกชุมชนเป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจแนวตั้ง
ยึดสถานภาพทางสังคมตามลำดับชั้นสูงต่ำของอำนาจ หรือ
ที่เรียกว่าระบบขุนนางอุปถัมภ์
และในส่วนของผู้ปกครองสังคม แม้จะมีอำนาจเด็ดขาดแต่ก็ถูกควบคุมโดยหลักธรรมทางศาสนาเช่นเดียวกันที่รู้จักกันในนาม
“ทศพิธราชธรรม”
ขณะระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมซึ่งได้รับการนำมาทดแทนระบอบราชาธิปไตยนั้น
มีหลักคิดและวิถีที่แตกต่างกับบริบทความสัมพันธ์พื้นฐานของสังคมไทยเป็นอย่างมาก
ดังนั้นเมื่อให้มีการกำหนดผู้บริหารประเทศและการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งในเชิงหลักคิดและวิถีปฏิบัติก็แตกต่างจากประเทศอันเป็นต้นแบบของประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง ผู้ที่มาเป็นผู้บริหารประเทศและผู้ได้รับเลือกก็มิได้มีจิตสำนึกของ
“ความเป็นตัวแทนปวงชน” แต่อย่างใด ตรงกันข้าม จิตสำนึกของพวกเขาคือ
“การเป็นชนชั้นปกครองใหม่” และ
“การเป็นตัวแทนของตระกูลและพวกพ้อง”
สำนึกแบบนี้ย่อมมีรากฐานจากสำนึกดั้งเดิม
เพียงแต่เปลี่ยนกลุ่มบุคคลที่มาบริหารประเทศ และที่ร้ายยิ่งกว่าคือ
กลไกทางคุณธรรมแบบเดิมที่อยู่บนพื้นฐานของศาสนาพุทธซึ่งใช้ในการควบคุมการบริหารประเทศถูกละทิ้งไป
ขณะที่กลไกคุณธรรมแบบใหม่ตามระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมก็ไม่ถูกนำมาใช้
ผู้ปกครองในระบอบใหม่ของสังคมไทยจึงเป็นกลุ่มผู้ปกครองที่ขาดกลไกทางคุณธรรมใดๆมาควบคุมการบริหารปกครองประเทศอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นทิศทางการบริหารประเทศจะเป็นอย่างไรจึงขึ้นอยู่กับ
“คุณธรรมส่วนบุคคล” ของผู้ปกครองเป็นหลัก
หากช่วงระยะเวลาใดที่ผู้ปกครองเป็นบุคคลที่มีคุณธรรม
ช่วงเวลานั้นสังคมไทยก็ดูเหมือนจะเกิดความสงบสุขร่มเย็นอยู่ขณะหนึ่ง
แต่ทว่าในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของสังคมไทย ช่วงเวลาเช่นที่ว่านี้มีน้อยยิ่งนัก ปัญหาต่างๆในสังคมไทยจึงสะสมพอกพูน แผ่ขยาย
ออกไปในหลายด้านทั้งในระดับกว้างและลึกตามวันเวลาที่ผ่านไป
ด้านประชาชน “สำนึกแห่งความเป็นพลเมือง”
ซึ่งหมายถึง การเป็นปัจเจกชนที่มีความตื่นตัวทางการเมือง มีการรวมกลุ่มภายใต้ความสัมพันธ์ทางสังคมแบบแนวระนาบซึ่งเน้นความเป็นหุ้นส่วนที่เท่าเทียมกัน
มีความเป็นอิสระในการคิดและการกระทำที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานการผสานผลประโยชน์ส่วนตน
ครอบครัว และสังคมเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน ก็ปรากฏให้เห็นเพียงประปราย มีจำนวนไม่มาก
เสมือนหนึ่งเป็นสิ่งยกเว้นมากกว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป ทั้งๆที่ “สำนึกพลเมือง”
ควรเป็นปรากฏการณ์หลักในภาคประชาชนสำหรับประเทศที่ใช้การปกครองในระบอบแบบประชาธิปไตย
ประชาชนผู้มีสำนึกพลเมือง
มุ่งหวังจะขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิรูปสังคมไทยในระดับรากฐาน
มุ่งหวังการเมืองเป็นประชาธิปไตยที่มีเนื้อหาสาระที่สร้างประโยชน์โดยรวมแก่สังคมไทยในทุกมิติ
ทุกด้าน
มิใช่แต่เพียงตอบสนองผลประโยชน์ของกลุ่มชนชั้นปกครองใหม่ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
แต่ทว่าการขยายตัวของประชาชนส่วนนี้ยังมีไม่มากเพียงพอที่จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะอันใกล้นี้ได้ ยังคงต้องอาศัยระยะเวลาอีกช่วงหนึ่งในการขยายความคิดและจิตสำนึกออกไปให้มีปริมาณมากเพียงพอที่จะเกิดมวลวิกฤติเพื่อสร้างจุดพลิกผันในสังคมไทยขึ้นมา
ประชาชนชาวไทยอีกส่วนหนึ่งกลับพัฒนาสำนึกทางการเมืองในเชิงย้อนกลับ ยังคงดำเนินชีวิตตามวิถีดั้งเดิมคือ
การอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของกลุ่มชนชั้นปกครองใหม่ผู้มีสถานภาพทางสังคมและอำนาจสูงกว่า
แต่ละวันรอคอยว่าจะได้รับการแจกจ่ายสิ่งของผลประโยชน์จากกลุ่มผู้ปกครองใหม่ในรูปแบบใดบ้าง ซ้ำร้ายประชาชนบางส่วนยังได้รับการปลูกฝังและจัดตั้ง “สำนึกไพร่แบบขี้ข้า” ขึ้นมา
กลุ่มประชาชนที่มี “สำนึกไพร่แบบขี้ข้า”
จะเป็นกลุ่มที่เป็นกลไกทางการเมืองให้แก่กลุ่มชนชั้นปกครองใหม่ มีหน้าที่ในการสนับสนุน ปกป้อง พิทักษ์รักษา
กลุ่มชนชั้นปกครองใหม่อย่างแข็งขัน
ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ในการทำลายล้างด้วยวิธีการที่รุนแรงต่อ “ผู้ที่คิดจะเป็น”
หรือ “ผู้ที่เป็น” ปรปักษ์ทางการเมืองกับกลุ่มชนชั้นปกครองใหม่
สิ่งที่ยากสำหรับการพัฒนาการเมืองไทยคือ
การเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกไพร่แบบขี้ข้านี้
ให้กลายมาเป็นปัจเจกชนที่เป็นอิสระและพร้อมที่จะพัฒนาตนเองไปสู่การเป็นพลเมืองที่มีจิตสำนึก
เพราะว่ากลุ่มคนเหล่านี้ถูกหลอกลวงด้วยมายาภาพของกลุ่มชนชั้นปกครองใหม่ จนคิดว่ามายาภาพดังกล่าวเป็นความจริง และพวกเขาไม่อาจยอมรับความจริงได้ด้วยเกรงว่ามายาภาพที่กลายมาเป็นตัวตนของพวกเขาแล้วนั้นจะถูกทำลายไป
ส่วนประชาชนที่มีสำนึกแห่งความเป็นกลไกเสมือนหุ่นยนต์ที่เฉยเมยต่อสภาพบริบทของบ้านเมือง
เป็นกลุ่มที่หมกมุ่นวุ่นวายอยู่กับชีวิตประจำวัน
ทำมาหากินเลี้ยงชีพ เลี้ยงครอบครัว แสวงหาความสุขส่วนตัว ดูการบันเทิงการละเล่น สิ้นช่วงเวลาทำงานก็นั่งรอดูละครน้ำเน่า บางส่วนก็ฝากชะตากรรมไว้กับหวยใต้ดินบ้าง
บนดินบ้าง และต่อไปก็คงมีละครเรื่องใหม่มาเป็นเครื่องปลอบประโลมชีวิตต่อไปเรื่อยๆ
จวบจนจิตสำนึกเกิดเปลี่ยนแปลงหรือไม่ก็จวบจนชีวิตสิ้นไป
กลุ่มเฉยเมยนี้มีทั้งคนร่ำรวย ชนชั้นกลาง และชาวบ้านทั่วไป เป็นกลุ่มไม่สนใจไยดีกับการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง
บางครั้งหากมีเหตุการณ์ทางการเมืองกลุ่มพวกนี้ก็จะบ่นพึมพำว่า “ทำให้รถติดบ้าง
ทำให้วุ่นวายบ้าง เสียเวลาทำมาหากินบ้าง”
วันเวลาส่วนใหญ่ของคนกลุ่มนี้หากเป็นชนชั้นร่ำรวย ก็หมดไปกับการท่องเที่ยว
จับจ่ายซื้อของ ไปเที่ยวต่างประเทศ หรือเล่นกีฬาแพงๆ หากเป็นชนชั้นกลางก็หมดไปกับการทำงานหาเงินเพื่อยกสถานภาพและจะได้เสพสุขแบบคนร่ำรวย หากมีเวลาบ้างก็ดูหนังดูละคร ดูฟุตบอล
ไปตามเรื่องตามราว
ส่วนชาวบ้านก็หมดเวลาไปกับการหาเงินมายังชีพ บ้างก็ฝากชีวิตไว้กับหวย เล่นการพนัน ดูมวย ดูละคร เป็นต้น
การพัฒนาการเมืองไทยจึงเดินหน้าไปได้ไม่มากเพราะว่ามีกลุ่มผู้เฉยเมยจำนวนมหาศาลที่นั่งอยู่เฉยๆ
ไม่เข้าร่วมหากมีการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่สำเร็จ พวกตนเองก็ไม่รู้สึกสูญเสียอะไร แต่หากได้พวกตนเองก็ได้ด้วย
การปฏิรูปการเมืองไทยจึงเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความพยายามเป็นอย่างมาก
ทั้งจะต้องกระทำอย่างไตร่ตรองรอบคอบ
ไม่ลอกเลียนแบบสำเร็จรูปซึ่งสร้างปัญหามามากแล้วในอดีต อีกทั้งยังต้องทำให้กลุ่มผู้มีสำนึกแบบเฉยเมยเกิดการตื่นตัวขึ้นมาเพื่อให้มีพลังเพียงพอในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
รวมทั้งยังต้องต่อสู้กับกลุ่มผู้มีสำนึกแบบขี้ข้าที่ต้องการนำพาสังคมไทยให้เป็นทาสของนักการเมืองสามานย์อันเป็นชนชั้นปกครองใหม่อีกด้วย
แต่กระนั้นก็ตามการเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้น ไม่ช้าก็เร็ว
เพราะพลังของประชาชนผู้สำนึกพลเมืองเริ่มขยายตัวออกไปมากขึ้น และจะชักนำให้ประชาชนผู้เฉยเมยลุกขึ้นตาม
และนั่นจะเป็นพลังที่จะกวาดล้างการเมืองแบบสามานย์และประชาธิปไตยแบบขี้ข้าให้หมดไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น