การเมืองไทยในมุมมองของชนชั้นกลาง
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
มีความสงสัยเกิดขึ้นแก่บรรดาชาวต่างประเทศไม่น้อยที่สังเกตการเมืองไทย
พวกเขาแปลกประหลาดใจว่าทำไมชนชั้นกลางไทยจึงต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยเฉพาะรัฐบาลทักษิณช่วง
ค.ศ. 2001 – 2006
และรัฐบาลที่เป็นพวกพ้องและเครือญาติของทักษิณอีกหลายชุดหลังจากนั้น บทความนี้จะทำความเข้าใจและอธิบายความคิดทางการเมืองของชนชั้นกลางไทย
และเหตุผลที่พวกเขาต่อต้านระบอบทักษิณ
นับตั้งแต่
ค.ศ. 1932 ซึ่งเป็นปีที่ประเทศไทยได้สถาปนาระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาขึ้นมาสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลายครั้ง
แต่ละครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนในสังคมมีการผสมปนระหว่างความสับสนความรู้สึกไม่มั่นคงและความคาดหวัง การเปลี่ยนแปลงครั้งแรกใน ค.ศ. 1932
เป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของสังคมไทยจากการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชสู่ระบอบประชาธิปไตย
ผู้นำการเปลี่ยนแปลงเป็นข้าราชการระดับกลางทั้งพลเรือนและทหารซึ่งได้รับอิทธิพลทางความคิดจากระบอบประชาธิไตยของประเทศตะวันตก
หากกล่าวในเชิงชนชั้นกลุ่มผู้นำการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นจัดได้ว่าเป็นชนชั้นกลางรุ่นใหม่ในยุคนั้น
เมื่อได้อำนาจคณะผู้นำการเปลี่ยนแปลงต้องเผชิญทั้งศึกจากภายนอกกลุ่มซึ่งเป็นกลุ่มที่สูญเสียอำนาจและเกิดการแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจกันภายใน
กลุ่มผู้นำการเปลี่ยนแปลงสามารถเอาชนะปรปักษ์จากภายนอกซึ่งประกอบด้วยกลุ่มขุนนางเก่าได้ แต่ต้องเผชิญกับความขัดแย้งภายในระหว่างปีกผู้นำพลเรือนกับปีกผู้นำกองทัพ ประชาธิปไตยในช่วง 15 ปีแรกเป็นประชาธิปไตยภายใต้การกำกับและชี้นำของกลุ่มนำการเปลี่ยนแปลง
องค์ประกอบรัฐสภามีทั้งสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งและสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งโดยกลุ่มผู้นำการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามความขัดแย้งระหว่างปีกพลเรือนและปีกทหารในกลุ่มผู้นำการเปลี่ยนแปลงมีความแหลมคมมากขึ้นในช่วงค.ศ.1947
และจบลงด้วยการรัฐประหารด้วยกำลังทหาร หลังจากนั้นกองทัพได้เข้ามากุมสภาพการเมืองไทยโดยใช้การผสมผสานระหว่างกำลังทหารของกองทัพและกลไกการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือในการครองอำนาจต่อเนื่องยาวนานมาประมาณหนึ่งทศวรรษ
กระนั้นก็ตามผู้นำกองทัพก็ยังมีความรู้สึกว่าการยังคงให้มีสมาชิกรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งทำให้พวกเขาไม่อาจดำเนินการบริหารประเทศตามเป้าประสงค์ได้อย่างเต็มที่
เพราะว่าสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งมักมีแนวโน้มของการเรียกร้องและต่อรองผลประโยชน์อยู่เสมอจนทำให้การขับเคลื่อนนโยบายไม่ราบรื่นเท่าที่ควร ในท้ายที่สุดกลุ่มผู้นำทหารก็ตัดสินใจรัฐประหารครั้งสำคัญในค.ศ.1958
โดยกเลิกระบอบการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาด
และใช้อำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จควบคุมการเมืองระหว่าง ค.ศ.1958-1969
กล่าวได้ว่าข้าราชการพลเรือน
ทหาร และบรรดาสมาชิกรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งที่มีบทบาททางการเมืองในช่วง 20 กว่าปีแรกของการนำระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตยตะวันตกมาใช้ในสังคมไทยเป็นชนชั้นกลางทางสังคม
ชนชั้นกลางกลุ่มนี้โดยเฉพาะข้าราชการพลเรือนและทหารส่วนใหญ่มีภูมิหลังจากครอบครัวที่เป็นขุนนางระดับกลางและคหบดีในส่วนภูมิภาค
ส่วนบรรดาสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งส่วนใหญ่ก็เป็นข้าราชการครูและทนายความในส่วนภูมิภาคส่วนเดียวกัน ส่วนกลุ่มนายทุนยังไม่เข้ามาสู่วงจรของอำนาจทางการเมืองมากนัก
จึงกล่าวได้ว่าชนชั้นกลางทางสังคมของไทยมีบทบาททางการเมืองตั้งแต่ในยุคแรกของการทดลองใช้ประชาธิปไตยในสังคมไทย
ภายใต้การปกครองโดยอำนาจเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จของคณะทหารช่วง
ค.ศ. 1958-1969 ประเทศไทยได้ใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ
การส่งเสริมอุตสาหกรรมทั้งทดแทนการนำเข้าและสนับสนุนการส่งออกได้ดำเนินการอย่างเข้มข้น
พร้อมกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของการพัฒนาประเทศทั้งในแง่การสร้างสาธารณูปโภคและสาธารณูปการในขอบเขตทั่วประเทศ
ขณะเดียวกันก็มีการสร้างมหาวิทยาลัยทั้งภูมิภาคและส่วนกลางขึ้นอีกหลายแห่ง เช่น
มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นต้น
การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเข้มข้นในยุคนี้ได้สร้างกลุ่มพลังซึ่งต่อมาภายหลังมีบทบาททางการเมืองไทยเป็นอย่างมากสามกลุ่ม
คือกลุ่มนายทุนระดับชาติ กลุ่มนายทุนท้องถิ่นที่เติบโตจากธุรกิจก่อสร้างโครงการของรัฐ
และกลุ่มชนชั้นกลางทางสังคมที่มีการศึกษาอีนเป็นผลมาจากการขยายตัวของมหาวิทยาลัย
กลุ่มชนชั้นกลางที่มีการศึกษาซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาได้กลายเป็นพลังหลักในการขับเคลื่อนระบอบประชาธิปไตย
โดยในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1973 กลุ่มนี้ได้ชุมนุมเดินขบวนขับไล่กลุ่มทหารออกจากวงจรอำนาจทางการเมืองและทำให้สังคมไทยหันหลับไปใช้ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนอีกครั้ง
แต่ทว่าในสนามการเลือกตั้งกลุ่มนักศึกษาและชนชั้นกลางกลับไม่มีพลังอำนาจในการกำหนดทิศทางแต่อย่างใด กลับกลายเป็นว่ากลุ่มที่สามารถยึดกุมสนามเลือกตั้งได้คือกลุ่มทุนระดับชาติและทุนท้องถิ่น ทั้งนี้เป็นเพราะว่ากลุ่มทุนได้อาศัยเงิน
ระบบอุปถัมภ์
และการซื้อเสียงเป็นเครื่องอันทรงประสิทธิภาพในการได้มาซึ่งชัยชนะการเลือกตั้ง ส่วนกลุ่มทหารก็ได้ถอยออกจากการเล่นบทบาทหน้าเวทีไปอยู่หลังเวทีชั่วคราว
การช่วงชิงอำนาจระหว่างกลุ่มพลังต่างๆในสังคมไทยช่วง
1973-1976 เป็นไปอย่างเข้มข้น
กลุ่มทุนเมื่อได้อำนาจการเมืองก็มุ่งแสวงหาผลประโยชน์เป็นหลักมากกว่าที่จะตอบสนองความต้องการของประชาชน
ประกอบกับในช่วงเวลาดังกล่าวสังคมไทยมีการต่อสู้ในเชิงอุดมการณ์อย่างรุนแรงระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยและรัฐไทย กลุ่มนักการเมืองที่มีอำนาจบริหารไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้
การลอบสังหารทางการเมืองเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากผู้นำนักศึกษา นักวิชาการ
และชาวนาหลายคนถูกลอบสังหาร การวางระเบิดเพื่อหวังผลทางการเมืองขึ้นบ่อยครั้ง
ความรุนแรงพัฒนาไปในทุกมิติของสังคมและจบลงด้วยการสังหารหมู่นักศึกษากลางเมืองและคณะทหารก็ได้เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนอีกครั้งหนึ่งในเดือนตุลาคม
1973
กลุ่มทหารได้ร่วมมือกับกลุ่มทุนระดับชาติและทุนท้องถิ่นในการสถาปนาระบอบที่เรียกกันว่า
ระบอบประชาธิปไตยแบบครึ่งใบขึ้นมา
ภายใต้ระบอบนี้คณะทหารได้อนุญาตให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
แต่ขณะเดียวกันก็สงวนอำนาจในการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาซึ่งมีอำนาจใกล้เคียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
การเมืองไทยเข้าสู่สภาวะการมีเสถียรภาพชั่วคราวระหว่าง ค.ศ. 1978 – 1988 ภายใต้รัฐบาลที่การผสมผสานระหว่างตัวแทนจากกองทัพ
กลุ่มทุนระดับชาติ และทุนท้องถิ่น ในทศวรรษนี้ภาพลักษณ์ที่ปรากฎต่อสาธารณะคือตัวแทนจากกองทัพ
พลเอกปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีและนายทหารคนอื่นๆ ที่เป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล
เช่น พลเอกสิทธิ จิรโรจน์ พลอากาศเอกสิทธิ
เศวตศิลา ล้วนแล้วแต่มีภาพลักษณ์ของความซื่อสัตย์และมีความสามารถในการทำหน้าที่ ตรงกันข้ามกับรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งโดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นนายทุนท้องถิ่นซึ่งมีภาพลักษณ์และเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตเกิดขึ้นอยู่เสมอ
สำหรับชนชั้นกลางกลุ่มอันประกอบด้วย
นักวิชาการ นักศึกษา นักพัฒนาเอกชน(NGOs) พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานบริษัทธุรกิจเอกชน
และข้าราชการระดับกลางมีบทบาททางการเมืองแบบจำกัดวง
กลุ่มเหล่านี้แสดงออกทางการเมืองโดยการเคลื่อนไหวเพื่อคัดค้านหรือสนับสนุนนโยบายบางประการของรัฐบาล
การชุมนุมทางการเมืองเกิดขึ้นบ้างแต่ขนาดไม่ใหญ่นักและไม่มีพลังในการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมากนัก
อย่างไรก็ตามชนชั้นกลางกลุ่มนี้เฝ้ามองการพัฒนาการทางการเมืองอย่างใกล้ชิด
ด้านหนึ่งชนชั้นกลางไม่ชอบกลุ่มทุนท้องถิ่นเพราะว่ากลุ่มทุนเหล่านี้ใช้การซื้อเสียงเป็นวิธีการหลักในการเอาชนะการเลือกตั้ง
และเมื่อกลุ่มทุนท้องถิ่นเข้าไปมีอำนาจรัฐก็มักมีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตเกิดขึ้นเสมอ
แต่ว่าอีกด้านหนึ่งชนชั้นกลางก็ไม่ชอบกับการที่กลุ่มทหารมีอิทธิพลทางการเมือง
ในบางครั้งเมื่อมีความขัดแย้งระหว่างกลุ่มทหารกับกลุ่มนักการเมือง
ชนชั้นกลางในยุคนั้นก็มักจะเผชิญกับปมปัญหาว่าจะสนับสนุนกลุ่มทหารหรือกลุ่มทุนดี แต่การตัดสินใจก็มักจบลงที่ว่าสนับสนุนกลุ่มทุนไปก่อนเพราะว่าอย่างน้อยกลุ่มทุนก็มากจากการเลือกตั้ง
แม้ว่าจะชนะการเลือกตั้งด้วยการซื้อเสียงก็ตาม และชนชั้นกลางมักคิดว่าการขับไล่กลุ่มทุนออกจากอำนาจง่ายกว่าการขับไล่กลุ่มทหาร
(ประการนี้ในสองทศวรรษต่อมา พิสูจน์ได้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของชนชั้นกลาง)
ช่วง 1988 – 1991 เป็นช่วงเวลาที่นักการเมืองที่เป็นกลุ่มทุนอุตสากรรมระกับชาติและกลุ่มทุนท้องถิ่นได้เข้าไปมีอำนาจเต็มในการเมืองไทย
เหตุผลสำคัญคือตัวแทนกองทัพผู้มากบารมีอย่างพลเอกเปรม
ติณสูลานนท์ได้ประกาศวางมือทางการเมือง ทันทีที่กลุ่มทุนมีอำนาจพวกเขาก็แสดงพฤติกรรมลุแก่อำนาจและการใช้อำนาจในทางที่ผิดอย่างมากมาย
เรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับทุจริตของรัฐบาลปรากฏขึ้นเป็นข่าวตามหน้าสื่อมวลชนไม่เว้นวัน
จนกระทั่งรัฐบาลในยุคนั้นถูกตั้งฉายาว่าเป็น “บั๊ฟเฟ่ต์ แค้บบินนิท” (buffet
cabinet) หรือ ทุจริตกันอย่างเสรี นั่นเอง
ชนชั้นกลางก็ได้พิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมอย่างรุนแรง
จนมีการจัดนิทรรศการโกงบ้านกินเมืองขึ้นมาเพื่อเปิดโปงการทุจริตของรัฐบาล แต่ดูเหมือนว่ามิได้ทำให้รัฐบาลเกิดความกังวลแต่ประการใด
ส่งผลให้ชนชั้นกลางมีความรู้สึกรังเกียจรัฐบาลพลเมืองนักการเมืองที่เป็นกลุ่มทุนมากยิ่งขึ้น
และในที่สุดกลุ่มทหารซึ่งหลบฉากไปจากเวทีการเมืองชั่วคราวก็ฉวยโอกาสก่อการรัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์
1991
แม้ว่าชนชั้นกลางจะรังเกียจกลุ่มทุน
แต่ก็มิได้นิยมชมชอบกลุ่มทหารยุคนั้นแต่อย่างใด
หลังรัฐประหาร กลุ่มทหารได้แต่งตั้งนายอานันท์ ปัรยารชุน พลเรือนที่เป็นอดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศและนักธุรกิจขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี นายอานันท์
ได้บริหารประเทศโดยประกาศใช้นโยบายบริหารอย่างโปรงใสและมีประสิทธิภาพ
ผลงานการบริหารประเทศของนายอานันท์ได้สร้างความประทับใจแก่ชนชั้นกลางเป็นอย่างมาก
เพราะรัฐบาลนายอานันท์บริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใสอย่างที่รัฐบาลซึ่งมาจากนักการเมืองทุนท้องถิ่นไม่สามารถทำได้ เมื่อรัฐบาลอานันนท์หมดวาระใน ค.ศ. 1992 และมีการเลือกตั้งขึ้นมาในปีเดียวกัน หลังการเลือกตั้งปรากฏว่าคณะทหารที่ทำรัฐประหารเมื่อปี
1991 ได้ร่วมมือกับกลุ่มทุนท้องถิ่นจัดตั้งรัฐบาลโดยมีพลเอกสุจินดา
คราประยูรตัวแทนจากกองทัพดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
การทำเช่นนั้นของกองทัพได้สร้างความขุ่นเคืองแก่ชนชั้นกลางเป็นอย่างมากเพราะคณะรัฐประหารได้จับมือกับนักการเมืองกลุ่มทุนท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงอื้อฉาวเรื่องทุจริตมากที่สุดเพื่อตั้งรัฐบาล ต้นเดือนพฤษภาคม 1992 ชนชั้นกลางนับแสนคนในกรุงเทพและอีกหลายหมื่นในภูมิภาคจึงได้ออกมาชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลทันที ชนชั้นกลางที่แสดงบทบาททางการเมืองยุคนั้นรู้จักกันในนาม
“ม๊อบมือถือ”
การต่อสู้ทางการเมืองเป็นไปด้วยความรุนแรง
มีผู้ชุมนุมถูกกองกำลังของรัฐบาลยิงทำร้ายเสียชีวิตหลายสิบคน
และในที่สุดพลเอกสุจินดา คราประยูรได้ลาออกตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายอานันท์ ปันยารชุนได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีแทนอีกครั้งหนึ่ง
และต่อมาไม่นานนายอานันท์ก็ได้ยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกตั้งใหม่อีกครั้งหนึ่งในเดือนกันยายนปีเดียวกัน
หลังการเลือกตั้งเดือนกันยายน
1992 นายชวน หลีกภัย
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นนักการเมืองที่มีภาพลักษณ์ซื่อสัตย์สุจริตได้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แต่เนื่องจากรัฐบาลเป็นรัฐบาลผสมรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลหลายคนกลับมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีนัก ชนชั้นกลางยอมรับรัฐบาลชุดนี้ได้ในระดับหนึ่ง
แต่ก็ไม่ไว้วางใจนักจึงมีขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิรูปการเมืองอย่างต่อเนื่อง
กระแสการปฏิรูปการเมืองได้เพิ่มระดับอย่างเข้มข้นจนทำให้นักการเมืองต้องจำใจยอมตามกระแสและหันมาสนับการปฏิรูปการเมือง
ประเด็นหลักที่ชนชั้นกลางต้องการปฏิรูปคือ
การเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างสุจริตและเที่ยงธรรม ปลอกจากการซื้อขายเสียง การมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีประสิทธิภา
และมีความซื่อสัตย์ในการบริหารประเทศ
และการเพิ่มระดับมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจทางการเมือง การผลักดันเพื่อให้เกิดการปฏิรูปการเมืองนำไปสู่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี
1997 ขึ้นมา โดยมีเนื้อหาสอดคล้องกับเจตนารมย์ของการปฏิรูปการเมือง
ดูเหมือนว่า รัฐธรรมนูญปี 1997 จะเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงชัยชนะของชนชั้นกลาง
ความหวังที่จะเห็นยุคแห่งธรรมาภิบาลทางการเมืองเกิดขึ้นคงจะบรรลุผลในไม่ช้า แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปีความหวังของชนชั้นกลางก็เลือนหายไป
เมื่อมีการก่อตัวของสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบทักษิณ” ขึ้นมา ระบอบนี้อาศัย
“รูปแบบและกลไก”ของประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือในการทำลาย “เนื้อหาและคุณค่า”
ของประชาธิปไตยสิ่งที่ระบอบทักษิณสร้างขึ้นมาในช่วงที่ครองอำนาจคือ
ระบอบเผด็จการรัฐสภาอย่างเต็มรูปแบบ การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นกระบวนการ การสร้างความขัดแย้งอย่างรุนแรงทางการเมือง
และการทุจริตคอรัปชั่นอย่างมหาศาลชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี
2001 ผลการเลือกตั้งพรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตรได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
อดีตนายตำรวจที่เป็นนายทุนระดับชาติด้านโทรคมนาคมได้รับการชักจูงให้เข้าสู่วงการการเมืองโดยพลตรีจำลอง
ศรีเมือง
อดีตหัวหน้าพรรคพลังธรรมผู้เป็นนักการเมืองที่มีภาพลักษณ์ความซื่อสัตย์มากที่สุดคนหนึ่งของแวดวงการเมืองไทย
จึงทำให้สังคมเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจพ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร ไปด้วย ประกอบกับการกล่าวในที่สาธารณะของ พ.ต.ท.ทักษิณ หลายครั้งว่า
ตนเองเป็นคนร่ำรวยแล้วจะไม่โกงเด็ดขาด
แต่เข้ามาเพื่อกระทำพันธกิจเพื่อบ้านเมืองอย่างเต็มที่ สถานภาพทางเศรษฐกิจ
สังคมและบุคลิกของพ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตรได้สร้างความประทับใจแต่ชนชั้นกลางเป็นจำนวนมาก เพราะว่าเป็นคุณสมบัติที่ดูเหมือนจะตรงกันข้ามกับสิ่งที่ชนชั้นกลางรังเกียจมาก่อน กล่าวคือในยุคนั้นพ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตรมีภาพลักษณ์ของความซื่อสัตย์ที่ได้รับการประกันจากพลตรีจำลอง ศรีเมือง และภาพลักษณ์ของความมีประสิทธิภาพที่ได้มาจากการประสบวามสำเร็จในการประกอบธุรกิจ ยิ่งกว่านั้นการเข้ามาอยู่ในพรรคพลังธรรมทำให้
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้สร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มนักยุทธศาสตร์การเมืองที่เป็นอดีตพรรคคอมมิวนิสต์หลายคน
ซึ่งต่อมาภายหลังกลุ่มเหล่านั้นได้เป็นกลไกหลักที่สร้างชัยชนะในการเลือกตั้งให้กับ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ในการดังนั้นการเลือกตั้งปี
2001 ชนชั้นกลางจำนวนมากที่เคยสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์มาก่อนก็หันไปสนับสนุนพรรคไทยรักไทย ขณะเดียวกันชาวบ้านซึ่งเคยอยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ของกลุ่มนักการเมืองที่เป็นนายทุนท้องถิ่นมาก่อนก็หันมาสนับสนุนพรรคไทยรักไทยเช่นเดียวกัน
เพราะว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ได้เสนอนโยบายประชานิยมหรือเสนอผลประโยชน์เชิงนโยบายที่เป็นรูปธรรมให้ชาวบ้านสัมผัสได้โดยตรง
นโยบายเหล่านี้ได้ถูกผลิตจากกลุ่มนักยุทธศาสตร์ของพรรค เช่น
นโยบายสามสิบบาทรักษาทุกโรค นโยบายกองทุนหมู่บ้าน เป็นต้น
นักวิชาการที่สนับสนุนพรรคไทยรักไทยบางคนถึงกับประกาศว่าพรรคไทยรักไทยทำให้ประชาธิปไตยเป็น
“ประชาธิปไตยที่กินได้”
กล่าวโดยสรุปชัยชนะการเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทยในปี 2001 และการเลือกตั้งหลังจากนั้นเกิดจากปัจจัยสำคัญ 3 ประการ
1) การใช้สื่อมวลชนและการโฆษณาชวนเชื่ออย่างเข้มข้นเพื่อสร้างภาพลักษณ์ว่าตนเองและพวกพ้องเป็นกลุ่มที่เป็นผู้บริหารมืออาชีพ
มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และสามารถนำพาประเทศแข่งขันในเวทีโลกได้
ภาพลักษณ์เช่นนี้สร้างเพื่อดึงคะแนนเสียงจากชนชั้นกลาง
และบังเกิดผลลัพธ์ตามเป้าประสงค์โดยมีชนชั้นกลางจำนวนมากให้การสนับสนุนพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้ง
พ.ศ. 2544 และ 2548
2) การใช้นโยบายประชานิยมที่ให้ผลประโยชน์เฉพาะหน้าระยะสั้นแก่ชนชั้นชาวบ้านอย่างเป็นรูปธรรมในการรณรงค์หาเสียง
เช่น นโยบายกองทุนหมู่บ้าน หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค
เป็นต้น ขณะเดียวกันเขาก็ผลิตนโยบายที่ตอบสนองความต้องการของชนชั้นกลางด้วย
โดยประกาศอย่างน่าเชื่อถือว่าจะทำสงครามกับยาเสพติดและการคอรัปชั่น การใช้นโยบายประชานิยมเป็นการแข่งขันการ
“ประมูลซื้อสิทธิ” หรือ
“ซื้ออำนาจอธิปไตย” ของประชาชนนั่นเอง
3) การใช้กลไกระบอบอุปถัมภ์อำนาจนิยม โดยได้กวาดต้อนบรรดานักการเมืองที่มีเครือข่ายระบบอุปถัมภ์ในท้องถิ่นเข้ามาอยู่ในพรรคของตนเองเป็นจำนวนมาก
ใช้นักการเมืองเหล่านี้เป็นเป็นฐานในการสร้างคะแนนนิยมในชนบทโดยสนับสนุนเงินทุนเพื่อใช้การหาเสียงและระดมคะแนนเสียง
ทำให้พวกเขาสามารถได้ที่นั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นจำนวนมาก
ในระยะแรกของการบริหารประเทศดูเหมือนว่าพ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตรและพรรคไทยรักไทยได้รับการชื่นชมจากแทบทุกชนชั้น ระหว่างการบริหารประเทศพวกเขาได้สร้างเครือข่ายและกลไกทางการเมืองเพื่อครอบงำการเมืองไทยซึ่งนักวิชการเรียกว่า
“ระบอบทักษิณ” ขึ้นมาอย่างช้าๆทีละขั้นทีละตอน เริ่มตั้งแต่ การแทรกแซงศาลรัฐธรรมนูญบางคนเพื่อเปลี่ยนผลการตัดสินใจจนทำให้เขาหลุดพ้นผิดจากข้อกล่าวหาในการฟ้องร้องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.)เรื่องการซุกหุ้น
ต่อมาได้มีการใช้อำนาจรัฐบาลสร้างรัฐตำรวจขึ้นมา
โดยมีการชี้นำทางนโยบายให้ตำรวจจัดการกับผู้ค้ายาเสพติดอย่างเด็ดขาด
มีการสั่งให้ตำรวจจัดทำรายชื่อผู้ค้ายาเสพติด
และเมื่อทำรายชื่อเสร็จสิ้นแล้วก็ได้สั่งการลงไปว่าผู้ที่อมีรายชื่อมีทางเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งใน
2 อย่างนี้คือ อยู่คุก (ถูกจับ) หรือ อยู่วัด (ตาย) เมื่อรัฐบาลสั่งการโดยให้มีทางเลือกเพียงสองทางดังกล่าวแล้ว
ตำรวจก็มีทางเลือกไม่มากนัก
เมื่อตำรวจไม่อาจหาหลักฐานยืนยันว่าผู้มีรายชื่อค้ายาเสพติดจริงเนื่องจากในขั้นตอนการจัดทำรายชื่อผู้ค้ายาเสพติดมีความหละหลวมมากสิ่งที่ตามมาคือเกิดการสังหารผู้ที่มีรายชื่อประมาณสามพันราย
ที่รู้จักกันในนาม “การฆ่าตัดตอน”
เรื่องนี้ทำให้นักสิทธิมนุษยชนในสังคมไทยวิจารณ์รัฐบาลทักษิณอย่างรุนแรง
และต่อมามีการนำเรื่องที่รัฐบาลทักษิณกระทำไปฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศข้อหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
นอกจากนั้นรัฐบาลยังใช้รัฐตำรวจในการจัดการกับผู้ที่เปิดโปงความชั่วร้ายของตนเอง
เช่น การอุ้มนายสมชาย นีละไพจิตร
ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนหายตัวไปจนกระทั่งปัจจุบันยังตามหาไม่เจอ ความหวาดกลัวกระจายไปทั่วทุกหัวระแหง
ชนชั้นกลางที่เคยสนับสนุนรัฐบาลทักษิณ ก็เริ่มเปลี่ยนถอนการสนับสนุนออกไป
ยิ่งกว่านั้นพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรยังได้ขยายอิทธิพลเข้าแทรกแซงเพื่อครอบงำสถาบันหลักทางการเมืองแทบทุกองค์กร
มีการกวาดต้อนสมาชิกวุฒิสภาจำนวนมากเข้ามาอยู่ในเครือข่ายอำนาจและกำหนดให้เลือกบุคคลที่เขาสั่งได้เป็นประธานวุฒิสภา
จากนั้นกำหนดให้บุคคลในเครือข่ายอำนาจของเขาเข้าไปดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการการเลือกตั้ง
(กกต.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ปปช.)
ทั้งยังเข้าไปควบคุมระบบราชการอย่างเบ็ดเสร็จโดยการผลิตวาทกรรมของปฏิรูประบบราชการขึ้นมาบังหน้าเพื่อใช้รูปแบบการบริหารงานบางอย่างของภาคเอกชนไปใช้แทน
โดยเฉพาะการใช้อำนาจแบบระบบเถ้าแก่ในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการแทนระบบคุณธรรม ผลที่ตามมาคือทำให้เกิดความโกลาหล
ความเครียดและความขัดแย้งในแวดวงข้าราชการอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ข้าราชการที่ดีจำนวนมากลาออกจากราชการเนื่องจากไม่อาจอดทนกับพฤติกรรมการบริหารแบบเจ้าของบริษัทได้ การทำให้หน่วยงานราชการเป็นเสมือนบริษัทและข้าราชการเป็นเสมือนลูกจ้างเป็นการบ่อนทำลายจิตวิญญาณแห่งการรับใช้แผ่นดินและรับใช้สาธารณะของบรรดาข้าราชการ
ผลสืบเนื่องที่ตามมาคือข้าราชการจำนวนมากทำงานเพียงเพื่อรับใช้และสนองผลประโยชน์ของบรรดาเหล่าทุนสามานย์แทนที่จะรับใช้ประชาชนและแผ่นดิน
คำเรียกที่ข้าราชจำนวนมากนิยมเรียกผู้บังคับบัญชาที่เป็นกลุ่มทุนสามานย์คือ
“นาย” หรือ “Boss”
รัฐบาลทักษิณยังควบคุมความคิดของมวลชนได้อย่างมีประสิทธิผลโดยใช้สื่อมวลชนโฆษณาชวนเชื่อ
จัดสภาพสร้างสถานการณ์และบริหารกระแสอารมณ์ความรู้สึกของสาธารณะอย่างเป็นระบบ
มีการสร้างข่าวลวงเพื่อกลบเกลื่อนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ รวมทั้งมีการสร้างข่าวใหม่ในเชิงจิตนิยายเพื่อสร้างความตื่นเต้นแก่สาธารณะอย่างสม่ำเสมอ
และเพื่อให้มีความแน่นอนในเรื่องคะแนนเสียงสนับสนุนรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร ใช้มาตรการทางธุรกิจเข้าไปควบรวมพรรคการเมืองอื่นให้มาสังกัดพรรคไทยรักไทย
เช่น พรรคความหวังใหม่ ส่วนพรรคการเมืองใดที่ไม่ยอมยุบมารวมกับพรรคไทยรักไทย ก็มีการยื่นข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้แก่พรรคการเมืองนั้น
เช่น การเสนอผลประโยชน์ให้เป็นจำนวนมาก หรือการใช้หลักฐานบางประการเกี่ยวกับการกระทำความผิดของผู้นำพรรคการเมืองบางพรรค
ซึ่งหากหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคนั้นไม่ยินยอมยุบพรรคก็จะถูกเล่นงานโดยกฎหมาย
กรณีสื่อมวลชน ได้มีการซื้อสื่อมวลชนเป็นพวกโยอาศัยงบประชาสัมพันธ์ของรัฐ
ดังนั้นในยุครัฐบาลทักษิณและรัฐบาลที่อยู่ในเครือข่ายของทักษิณในระยะหลังจึงมีการจัดงบประมาณสำหรับประชาสัมพันผลงานเป็นจำนวนมาก
หากสื่อมวลชนใดวิจารณ์รัฐบาล หน่วยงานของรัฐก็จะถูกสั่งไม่ให้ลงโฆษณาในสื่อเหล่านั้น
และหากสื่อมวลชนกลุ่มใดยังแข็งข้อเป็นปรปักษ์ ก็มีการใช้อำนาจรัฐผ่านสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
(ปปง.) กลั่นแกล้งโดยเข้าตรวจสอบและอายัดทรัพย์สินของบุคคลเหล่านั้นไว้
เมื่อควบคุมกลไกต่างๆเหล่านี้ไว้ได้แล้ว การกระทำของพวกเขาก็มีความเหิมเกริมและลุแก่อำนาจมากขึ้น
มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ตนเองและพวกพ้องเป็นจำนวนมาก
รวมทั้งมีการเรียกรับผลประโยชน์เกิดการคอรัปชั่นขึ้นมากมายอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย
ดังจะเห็นได้จากเรื่องที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำผิดต่อรัฐ(คตส.)ที่เข้าไปตรวจสอบและไต่สวนจำนวนมีจำนวนทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องนับแสนล้าน
ในที่สุด คตส. ได้ประกาศอายัดทรัพย์สินของทักษิณประมาณห้าหมื่นล้านบาทในช่วงกลางปี
2550
แม้ว่ารัฐบาลทักษิณและเครือข่ายสามารถควบคุมกลไกทางสังคมและการเมืองได้แทบทั้งหมด แต่กลับไม่อาจควบคุมปัญญาชนชนชั้นกลางได้ การกระทำในลักษณะลุแก่อำนาจ ละเมิดกฎหมาย ละเมิดสิทธิมนุษยชนและฉ้อฉลคอรัปชั่นของรัฐบาลทำให้ชนชั้นกลางที่มีการรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้ลุกขึ้นมาต่อต้านระบอบทักษิณอย่างเปิดเผย
อันที่จริงในยุคแรกของรัฐบาลทักษิณได้มีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งผลิตหนังสือชื่อ
“รู้ทันทักษิณ” ขึ้นมาแต่ยังไม่อาจสร้างความกระทบกระเทือนต่อระบอบทักษิณได้
จุดเปลี่ยนสำคัญที่สร้างความสั่นคลอนแก่ระบอบทักษิณคือการเกิดขึ้นของ “ปรากฏการณ์สนธิ”
นายสนธิ ลิ้มทองกุล เจ้าของหนังสือพิมพ์ เว็ปไซด์ผู้จัดการและโทรทัศน์ผ่านระบบดาวเทียม
เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ระบอบทักษิณใน “รายการเมืองไทยรายสัปดาห์” โดยจัดที่สถานีโทรทัศน์ช่อง
9 ต่อมารัฐบาลทักษิณสั่งให้สถานีโทรทัศน์ดังกล่าวถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ออกไปออกไป
หลังจากนั้นนายสนธิ ลิ้มทองกุลก็ได้เคลื่อนไหวจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรขึ้นมาโดยใช้สวนลุมพินีเป็นสถานที่จัดรายการและถ่ายทอดผ่าน
ASTV ชนชั้นกลางที่กำลังสงสัยและตั้งคำถามกับรัฐบาลทักษิณได้ให้สนใจและติดตามข่าวสารจากรายการของนายสนธิมากขึ้น
ในรายการมีการเปิดโปงการทุจริตของระบอบทักษิณหลายเรื่องอย่างเป็นระบบ
ในที่สุดนายสนธิ ลิ้มทองกุล นักวิชาการ ผู้นำแรงงานรัฐวิชาหกิจ
และนักเคลื่อนไหวทางสังคมได้ร่วมกันจัดตั้ง“กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขับไล่ระบอบทักษิณออกจากการเมืองไทย การเคลื่อนไหวเกิดขึ้นกลายครั้งหลายคราตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์
2549 เป็นต้นมา ยิ่งจำนวนครั้งของการเคลื่อนไหวมีมากเท่าไร
คลื่นของประชาชนที่ร่วมการประท้วงก็มีมากขึ้นเท่านั้น บุคคลที่เข้าร่วมการประท้วงส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางที่อยู่ในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด
จนในที่สุดกระแสการขับไล่ทักษิณได้แผ่ขยายออกไปทั่วทุกปริมณฑลของสังคม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมืองของภูมิภาคต่างๆซึ่งเป็นฐานของชนชั้นกลาง
แรงกดดันเพื่อขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีมากขึ้น
จนกระทั่งทำเขาต้องประกาศยุบสภาในปี 2006 แต่สิ่งที่ไม่คาดหมายก็เกิดขึ้นโดยพรรคการเมืองหลักๆ เช่น
พรรคประชาธิปัตย์ ประกาศบอยคอตไม่ส่งผู้สมัครเข้าร่วมการเลือกตั้ง ผู้บริหารพรรคไทยรักไทยต้องลงมือแก้ปัญหาโดยจ้างพรรคการเมืองเล็กๆให้สมัครลงแข่งขัน
โดยเฉพาะในเขตที่เป็นฐานคะแนนนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ การกระทำในครั้งนั้นของพรรคไทยรักไทยเป็นเหตุให้ตุลาการรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรคไทยรักไทยและตัดสิทธิการเลือกตั้งของคณะกรรมการพรรคไทยรักไทยทั้งหมดจำนวน
111 คน ในภายหลัง
การเลือกตั้ง 2 เมษายน 2006 เป็นการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์โดยเกิดปรากฏการณ์ที่ผู้มีสิทธิในการเลือกตั้งออกมาลงคะแนนเสียง
“ไม่เลือกผู้สมัครคนใด”
เป็นจำนวนนับสิบล้านคน ซึ่งกลุ่มบุคคลเหล่านี้คือ กลุ่มชนชั้นกลางที่ “ไม่เอาระบอบทักษิณ” นั่นเอง และเป็นจุดเริ่มต้นของการบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า
สังคมไทยได้แบ่งออกเป็น 2 ขั้วการเมืองคือขั้วที่ไม่เอาระบอบทักษิณ กับขั้วที่เอาระบอบทักษิณ โดยขั้วแรกมีองค์ประกอบหลักเป็นชนชั้นกลางที่เป็นข้าราชการระดับกลาง
พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานบริษัทธุรกิจนักธุรกิจ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ แพทย์
พยาบาล อาจารย์มหาวิทยาลัย เป็นต้น ขณะที่ขั้วที่เอาระบอบทักษิณส่วนใหญ่เป็นชนชั้นชาวบ้านในเขตชนบทภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้มีอาชีพขับรถจักรยานยนต์ แท็กซี
และผู้ใช้แรงงานไร้ฝีมือในเขตเมือง
หลังการเลือกตั้งจอมปลอมครั้งนั้น การต่อสู้ระหว่าง 2 ขั้ว
ยิ่งทวีความหนักหน่วงและแหลมคมยิ่งขึ้น จนมีแนวโน้มว่าอาจมีการปะทะกัน
แต่ก่อนที่เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นมาอีกครั้งในสังคมไทย
ทุกอย่างก็จบลงโดยไม่มีการสูญเสียเลือดเนื้อ เมื่อทหารเข้ามายึดอำนาจในวันที่ 19
กันยายน 2006 ส่งผลให้ระบอบทักษิณต้องล่มสลายลงชั่วคราว
และทำให้ทักษิณ ชินวัตรต้องไปอยู่ในต่างประเทศ
แต่กระนั้นสภาพกลุ่มพลัง 2
ขั้วการเมืองหาได้หายไปพร้อมกับการหลุดจากอำนาจของทักษิณ ชินวัตรไม่ ขั้วจุดยืนที่สนับสนุนทักษิณยังดำรงอยู่โดยมีการเคลื่อนไหวเพื่อกระชับรักษาฐานมวลชนของตนเองอยู่ตลอดเวลา
องค์กรหลักของระบอบทักษิณที่ใช้ในการรักษาอำนาจคือเครือข่ายของอดีตส.ส.
ที่เคยสังกัดพรรคไทยรักไทย ขณะเดียวกันขั้วที่ต่อต้านระบอบทักษิณอันได้แก่เครือข่ายของกลุ่มพันธมิตรฯก็ยังคงดำเนินงานเปิดโปงระบอบทักษิณต่อไป
นอกจากนั้นผลจากการรัฐประหารที่มีทหารเป็นแกนนำทำให้ระบบราชการหลุดพ้นจากการครอบงำของระบอบทักษิณและฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ระบอบทักษิณได้สร้างการเลือกตั้งเทียมและประชาธิปไตยเทียมขึ้นมาอย่างเป็นระบบการเลือกตั้งเทียมเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ทำให้ได้มาซึ่ง
“ผู้แทนปวงชนชาวไทย” เพื่อทำหน้าที่และใช้อำนาจอธิปไตยในนามของประชาชน แต่ทำให้ได้มาซื่ง “ผู้อุปถัมภ์ประจำเขตและประจำแคว้น”
หรือ เป็น “เจ้าเมืองยุคใหม่”
ซึ่งได้อำนาจมาโดยการซื้อสิทธิหรือซื้ออำนาจอธิปไตยของประชาชนอันเป็นวิธีที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
และบรรดาบุคลเหล่านี้ยังสร้างระบบการสืบทอดอำนาจภายในวงศ์ตระกูลซึ่งเป็นระบบที่ขัดแย้งกับหลักเสมอภาคในระบอบประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง
การเลือกตั้งเทียมเป็นการผลักไสหรือกีดกันทางการเมือง
(political exclusion) ขึ้นมา
ประชาชนผู้ไม่อยู่ในแวดวงของตระกูลนักการเมืองถูกจะกีดกันออกจากการเข้าถึงอำนาจทางการเมือง การเลือกตั้งเทียมจึงตอบสนองและสร้างโอกาสในการเข้าสู่อำนาจเฉพาะกลุ่มนักเลือกตั้งที่เป็นนายทุนท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้อุปถัมป์ประจำเขตและประจำแคว้นเลือกตั้ง
รวมทั้งวงศ์ตระกูลของพวกเขาดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น
ด้วยสภาพเช่นนี้อำนาจอธิปไตยเชิงปฏิบัติในปัจจุบันของสังคมไทยจึงหาได้อยู่กับประชาชนอีกต่อไป
และเท่ากับว่าการเมืองแบบประชาธิปไตยล้มละลายไปแล้วในสังคมไทย
ระบบและกระบวนการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองของสังคมไทยถูกคุมสภาพไว้ด้วยบุคคลเพียงไม่กี่คนที่เป็นเจ้าของพรรคการเมืองหรือเป็นผู้มีอิทธิพลภายในพรรค พรรคการเมืองกลายเป็นองค์การที่ไร้ความเป็นประชาธิปไตยทั้งในเชิงเป้าหมายและกระบวนการดำเนินงาน สิ่งที่น่าหัวเราะแต่หัวเราะไม่ออกคือ พรรคการเมืองเหล่านั้นประกาศว่าเป็นองค์การสำคัญของระบอบประชาธิปไตยทำหน้าที่ในการรักษาและสร้างสรรค์ประชาธิปไตย
เพื่อให้เกิดความกระจ่างผู้เขียนจะเปรียบเทียบคุณลักษณะของสิ่งเหล่านี้ให้ชัดเจนดังแสดงในตารางด้านล่าง
ตารางที่ 1 เปรียบเทียบคุณลักษณะการเลือกตั้งเทียมและการเลือกตั้งแท้
ประเด็น
|
การเลือกตั้งเทียมภายใต้ระบอบทักษิณ
|
การเลือกตั้งแท้
|
การคัดเลือกผู้สมัครลงเลือกตั้ง
ส.ส.
|
·
เจ้าของพรรคการเมืองหรือหัวหน้าพรรคเป็นผู้ตัดสินใจกำหนดตัวผู้ลงสมัครได้
ส่วนสมาชิกพรรคไม่มีสิทธิกำหนด
|
·
สมาชิกพรรคการเมืองในแต่ละพื้นที่หรือแต่ละกลุ่มมีส่วนร่วมในการตัดสินใจคัดเลือกผู้สมัคร
|
นโยบายหาเสียง
|
·
ใช้นโยบายประชานิยมเพื่อหวังชนะการเลือกตั้งโดยไม่คำนึงถึงความเป็นไปได้ของการนำนโยบายไปปฏิบัติและผลกระทบทางลบที่เกิดจากนโยบาย
|
·
ใช้นโยบายจูงใจบนพื้นฐานของการบูรณาการระหว่างอุดมการณ์ทางการเมือง พื้นทางทางจริยธรรม
ความมีเหตุมีผลทางเศรษฐกิจ และความเป็นไปได้ในเชิงปฏิบัติ
|
ผู้สมัคร
|
·
เป็นนายทุนหรือสมุนนายทุนจึงรับผิดชอบต่อนายทุนเจ้าของพรรค
·
มีการสืบทอดตำแหน่งทางการเมืองภายในตระกูล
·
ใช้การซื้อเสียง การโกงเลือกตั้งและวิธีการผิดกฎหมายนานับประการเพื่อเอาชนะการเลือกตั้ง
|
·
เป็นตัวแทนของประชาชนในพื้นที่/หรือกลุ่มอาชีพ
จึงรับผิดชอบต่อประชาชน
·
ใช้การหาเสียงที่ถูกกฎหมาย
เพื่อสร้างความเข้าใจและการยอมรับจากประชาชน
|
ผู้เลือกตั้ง
|
·
ส่วนใหญ่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเงิน ระบบอุปถัมภ์ อำนาจรัฐ
และนโยบายประชานิยม
|
·
ส่วนใหญ่เป็นอิสระ ตัดสินใจอย่างมีเหตุมีผล
โดยอาศัยข้อมูลข่าวสาร และไม่กลัวอำนาจรัฐ
|
ผู้ดูแลการเลือกตั้ง
|
·
ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของนักการเมือง ทำให้ใช้อำนาจอย่างมีอคติ
ไม่เป็นธรรม และไร้ประสิทธิภาพ
|
·
เป็นอิสระ ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม
เพื่อสร้างความบริสุทธิ์และยุติธรรมในการเลือกตั้ง
|
ข้าราชการ
|
·
ใช้อำนาจและทรัพยากรของรัฐเพื่อรับใช้กลุ่มทุนหรือกลุ่มที่เป็นรัฐบาล
เพื่อก่อให้เกิดผลในการเปลี่ยนแปลงการเลือกตั้ง
|
·
วางตัวเป็นกลางในการเลือกตั้ง
ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
|
กลุ่มผู้สนับสนุนพรรคการเมือง
|
·
กดดัน ก่อกวน บ่อนทำลาย การหาเสียงของฝ่ายคู่แข่ง
|
·
รณรงค์หาเสียงให้ผู้สมัครที่ตนสนับสนุนอย่างสันติและสร้างสรรค์
|
ตารางที่ 2 เปรียบเทียบการบริหารแบบประชาธิปไตยเทียมและแบบประชาธิปไตยแท้
ประเด็น
|
การบริหารแบบประชาธิปไตยเทียมภายใต้ระบอบทักษิณ
|
การบริหารแบบประชาธิปไตยแท้
|
องค์ประกอบรัฐบาล
|
·
คัดเลือกจากกลุ่มเครือญาติ และบริวารใกล้ชิดผู้มีอำนาจในพรรค
โดยไม่ให้ความสำคัญกับความสามารถและความเชี่ยวชาญแต่อย่างใด
|
·
คัดเลือกจากผู้มีความสามารถ มีประสบการณ์ทำงานจนมีความเชี่ยวชาญเป็นที่ประจักษ์
และมีความรับผิดชอบต่อประชาชน
|
การกำหนดนโยบาย
|
·
เพื่อรักษาคะแนนนิยม เอื้อประโยชน์แต่กลุ่มคนบางกลุ่ม
และสร้างช่องทางในการทุจริต ซึ่งเป็น
“การคอรัปชั่นเชิงนโยบาย” โดยไม่สนใจกับความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น
นโยบายจำนำข้าว นโยบายรถคันแรก เป็นต้น
|
·
เพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองแก่ประเทศในภาพรวม มีการจัดลำดับความสำคัญโดยมีฐานทางวิชาการ
และความจำเป็นในการแก้ไขปัญหา
และเป็นนโยบายที่มีความรัดกุมไม่เปิดช่องทางของการทุจริต
|
การนำนโยบายไปปฏิบัติ
|
·
มีลักษณะสองมาตรฐาน เป็นไปอย่างมีอคติ ไม่มีความยุติธรรม ละเมิดสิทธิมนุษยชน
ใช้ความรุนแรง ขาดความโปร่งใส และเต็มไปด้วยการทุจริต เช่น ทำโครงการในพื้นที่ที่พรรครัฐบาลมีส.ส. เลือกช่วยเหลือเกษตรกรบางกลุ่มที่เป็นฐานเสียง
·
สร้างโอกาสและช่องทางการทุจริตให้แก่เครือข่ายการเมืองของกลุ่มตนเอง
|
·
มีการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม โปร่งใส มีความยุติธรรม
คำนึงถึงประโยชน์คนส่วนใหญ่ เคารพสิทธิมนุษยชน และเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน
|
การใช้อำนาจของรัฐสภา
|
·
สมาชิกรัฐสภาอยู่ภายใต้คำสั่งของรัฐบาลหรือเจ้าของพรรค
·
ใช้ระบบเสียงข้างมากลากไปหรือ “ทรราชของเสียงข้างมาก”
ไม่เคารพสิทธิของเสียงข้างน้อย ลิดรอนเสรีภาพในการพูดและการแสดงความเห็นในรัฐสภา
|
·
สมาชิกรัฐสภามีอิสระในการตัดสินใจตามวิจารณญาณที่ถูกต้องชอบธรรมของตนเอง
·
ใช้ระบอบเสียงข้างมากที่มีเหตุมีผล
พร้อมเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจหากเหตุผลของเสียงข้างน้อยสมเหตุสมผลกว่า
|
การบริหารระบบราชการ
|
·
ใช้ระบบอุปถัมภ์ มีขายซื้อขายตำแหน่ง รังแกคนที่คิดต่างและไม่ใช่พวกของตนเอง
|
·
ใช้ระบบคุณธรรม พิจารณาความสามารถ
รับฟังและให้ความเป็นธรรมแก่ข้าราชการที่มีความคิดเห็นต่างจากรัฐบาล
|
การใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรม
|
·
ใช้กลไกของกระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือทำลายและรังแกฝ่ายตรงข้าม
|
·
ใช้กลไกรัฐเพื่อสร้างความเป็นธรรมและอำนวยความยุติธรรมอย่างแท้จริง
|
การใช้อำนาจต่อประชาชน
|
·
ใช้อำนาจรัฐและอำนาจเถื่อนในการปราบปรามประชาชนที่คิดต่าง
·
บิดเบือนข้อมูลข่าวสารใส่ร้ายป้ายสีประชาชน
·
ปลุกระดมสร้างความเกลียดชังระหว่างประชาชนกลุ่มต่างๆ
|
·
ใช้อำนาจรัฐตามกฎหมายและเคารพสิทธิมนุษยชน
·
ให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริง
·
เน้นการสร้างความปรองดอง และสามัคคี
|
ความรับผิดชอบต่อความผิดพลาด
|
·
ไม่รับผิดชอบต่อความผิดพลาดใดๆ
พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจเอาไว้
·
ไม่ยอมรับกฎหมายและอำนาจศาล
·
ใช้ชีวิตของประชาชนเป็นบันไดเข้าสู่อำนาจและรักษาอำนาจของตนเอง
|
·
รับผิดชอบต่อความผิดพลาด โดยการลาออก
หรือการยอมรับโทษตามกฎหมาย
|
ระบอบทักษิณถดถอยจากอำนาจไปชั่วคราวหลังการรัฐประหารปี
2006 และได้อำนาจรัฐกลับมาอีกครั้งในปี
2008 แต่อยู่ได้ไม่นานเพราะถูกประชาชนที่เป็นชนชั้นกลางขับไล่ออกไปจากอำนาจรัฐอีกครั้ง
และเมื่อหลุดจากอำนาจรัฐระบอบทักษิณได้เริ่มต้นจัดตั้งขบวนการมวลชนที่เรียกว่า
“มวลชนเสื้อแดงขึ้นมา” โดยมีนักฉวยโอกาสทางการเมืองเป็นผู้นำมวลชน มวลชนเสื้อแดงได้รับการล้างสมองโดยกลุ่มผู้นำซึ่งได้การผลิตวาทกรรมเรื่องความไม่เท่าเทียมระหว่าง
“ไพร่” และ “อำมาตย์” ขึ้นมาในการปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังในสังคม
แกนนำของระบอบทักษิณได้จัดชุมนุมทางการเมืองโดยการระดมจัดตั้งและจัดจ้างมวลชนที่อยู่ภายใต้เครือข่ายนักการเมืองที่เคยสังกัดพรรคไทยรักไทย
จากพฤติกรรมทางการเมืองที่แสดงออกมาระหว่างการชุมนุม
ชนชั้นกลางจึงสรุปจากข้อมูลเชิงประจักษ์ว่ามวลชนเสื้อแดงเป็นมวลชนที่นิยมความรุนแรงและมีพฤติกรรมที่ค่อนข้างป่าเถื่อน
แกนนำของระบอบทักษิณมีการวางแผนเพื่อใช้มวลชนสร้างความรุนแรงเพื่อช่วงชิงอำนาจทางการเมืองกลับมา
และประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งปี 2011 แต่เมื่อพรรคการเมืองที่ตนเองเป็นเจ้าของได้อำนาจและเป็นรัฐบาล
ทักษิณ ชินวัตรกลับพยายามตัดความสัมพันธ์กับมวลชนเสื้อแดง
เพราะเขามองว่ามวลชนเสื้อแดงจะทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลที่น้องสาวของเขาเป็นนายกรัฐมนตรีเสียหาย จนทำให้มวลชนเสื้อแดงจำนวนมากที่เคยสนับสนุนทักษิณเกิดความกังขาในความจริงใจของทักษิณ
การสนับสนุนจากมวลชนเสื้อแดงต่อทักษิณและยิ่งลักษณ์
ชินวัตรน้องสาวของเขาซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีช่วงกลางปี. 2011 ถึงต้นปี
2014 จึงมีแนวโน้มลดลง เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ชินวัตรถูกประชาชนจำนวนนับล้านคนในนาม
คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ฯ
(กปปส.) เดินขบวนขับไล่
มวลชนเสื้อแดงจึงให้การสนับสนุนรัฐบาลไม่มากนัก
ในช่วงสองปีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ชินวัตร แบบแผนทางการเมืองของระบอบทักษิณยังคงมีลักษณะเฉกเช่นเดียวกับอดีต
จึงเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ถูกประชาชนลุกขึ้นมาขับไล่อีกครั้งหนึ่ง
ทิศทางที่ระบอบทักษิณใช้ในการดำเนินงานการเมืองมี 3 ทิศทางหลักคือ
1)
การขยายและกระชับอำนาจของตนเองให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็พยายามจำกัดอำนาจของประชาชนและองค์การตรวจสอบให้น้อยลง ทิศทางนี้กระทำโดยการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
หรือหากทำไม่ได้ก็เสนอร่างแก้ไขรายมาตรา
2)
การล้างความผิดแก่กลุ่มอาชญากร ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ผู้ต้องหาคดีความมั่นคง
และผู้ต้องหาคดีทุจริตคอรัปชั่น ที่สำคัญคือ นักโทษชายทักษิณ
ซึ่งเป็นนักโทษเด็ดขาดแล้วในคดีทุจริตประพฤติมิชอบ
และเป็นผู้ต้องหาหนีหมายจับคดีทุจริตอีกหลายคดี รวมทั้งคดีก่อการร้ายด้วย
และบรรดาสมุนของระบอบทักษิณทั้งกลุ่มที่เป็นแกนนำ กลุ่มก่ออาชญากร กลุ่มแนวร่วม
และกลุ่มมวลชนต่างๆ
3)
การสร้างและขยายช่องทางการทุจริตโกงกินให้มากยิ่งขึ้น
เพื่อเป็นการสะสมทรัพยากรและความมั่งคั่งให้แก่ตนเองและพวกพ้อง
และเป็นฐานทางเงินสำหรับการซื้อเสียงและรักษาอำนาจทางการเมืองให้ยาวนานที่สุด รูปธรรมของทิศทางนี้คือ การผลักดัน พ.ร.บ.
กู้เงินจำนวน 2.2 ล้านล้านบาทสำหรับโครงการปรับปรุงระบบคมนาคม
ซึ่งมีหลายโครงการที่จะทำโดยปราศจากความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและสังคม
โครงการเหล่านั้นจะเปิดช่องทางให้มีการนำเงินไปใช้อย่างสะดวกสบาย
โดยมีการตรวจสอบน้อยหรือไม่สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งนำไปสู่การทุจริตครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสังคมไทย
มูลค่าการทุจริตจะมากกว่าการทุจริตนับแสนล้านในโครงการจำนำข้าวที่ผ่านมา
กล่าวโดยสรุปชนชั้นกลางผู้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารและมีเหตุผลในการไตร่ตรองความถูกต้องของข้อมูลข่าวสารมีความเห็นร่วมกันว่าระบอบทักษิณได้อาศัยรูปแบบและกลไกของระบอบประชาธิปไตย
ทำลายเนื้อหาและคุณค่าของระบอบประชาธิปไตยอย่างหมดสิ้น เพราะว่าระบอบทักษิณเข้าสู่อำนาจโดยการซื้อเสียง การใช้นโยบายประชานิยม และการโฆษณาชวนเชื่อ ครั้นเมื่อได้อำนาจรัฐบาลภายใต้ระบอบทักษิณใช้อำนาจไปในทางที่มิชอบ
มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติกรณีการฆ่าตัดตอนเรื่องยาเสพติด
มีการสร้างระบอบเผด็จการรัฐสภาใช้วิธีการแบบทรราชเสียงข้างมากโดยไม่คำนึงถึงเหตุผลและความถูกต้อง มีการบริหารงานที่ไม่เป็นธรรมมุ่งตอบสนองเฉพาะฐานเสียงของพรรค
มีการทุจริตประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวางทุกระดับซึ่งสร้างความเสียหายแก่ประเทศอย่างเหลือคณานับ
เช่น โครงการจำนำข้าว มี
การสร้างขบวนการมวลชนเสื้อแดงที่ใช้ความรุนแรง
และได้สร้างความขัดแย้งแตกแยกทางสังคม
ยิ่งกว่านั้นระบอบทักษิณยังได้ทำลายกลไกการตรวจสอบโดยเข้าไปแทรกแซงเพื่อครอบงำองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
และแทรกแซงสื่อโดยใช้งบประมาณประชาสัมพันธ์เป็นเครื่องมือ
ขณะที่ชนชั้นกลางมีความคาดหวังที่ทำให้สังคมไทยเป็นประชาธิปไตยทั้งรูปแบบและเนื้อหา
มีการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม
มีการใช้อำนาจโดยยึดหลักธรรมาภิบาล
มีการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ
มีการกระจายอำนาจสู่ประชาชนอย่างแท้จริง
ดังนั้นชนชั้นกลางจึงต่อต้านระบอบทักษิณ
ชนชั้นกลางได้ใช้กลไกภายใต้ระบอบประชาธิปไตยหลายประการเพื่อหยุดยั้งระบอบทักษิณ
เช่น การชุมนุมเดินขบวนอย่างสันติเพื่อขับไล่รัฐบาลระบอบทักษิณหลายครั้ง
การเปิดโปงการทุจริตผ่านสื่อมวลชนนานาประเภทอย่างต่อเนื่อง
และการใช้กระบวนการยุติธรรมในการฟ้องร้องดำเนินคดีทุจริตประพฤติมิชอบต่อบุคคลในระบอบทักษิณหลายคน
แต่ระบอบทักษิณซึ่งเป็นการผนึกรวมของกลุ่มทุนชาติและทุนท้องถิ่นมีความเชี่ยวชาญการทุจริตเลือกตั้งและการโฆษณาชวนเชื่อหลอกลวงผู้เลือกตั้งในชนบทจึงทำให้พวกเขามีแนวโน้มกลับเข้าสู่อำนาจอยู่เสมอ
และยังสามารถใช้อำนาจเงินทำให้กระบวนการยุติธรรมเบี่ยงเบนไปจากหลักกฎหมาย
จึงทำให้ระบอบทักษิณยังคงดำรงอยู่และสร้างปัญหาแก่การเมืองไทยต่อไป
ดังนั้นการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างชนชั้นกลางกับระบอบทักษิณซึ่งนำโดยกลุ่มทุนระดับชาติและท้องถิ่นยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องอีกหลายปี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น