“กับดัก” ของประชาธิปไตยไทย
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
บางครั้งการเมืองไทยได้รับการอธิบายในฐานะวิถีอันโศกสลดของชีวิต เพราะว่ามันเผชิญกับปมปัญหาที่มิอาจแก้ไขได้จำนวนมากและมีแนวโน้มที่จะเกิดความล้มเหลวขึ้นในระยะยาว ดูเหมือนว่าไม่มีตอนจบแบบสุขนาฏกรรมดังบทนิยาย มุมมองแบบนี้ดูเหมือนทำให้เราไร้ความหวัง แต่การเมืองไทยมิได้เป็นโศกนาฏกรรม เพราะนั่นดูน่าขบขันจนเกินไป การเมืองไทยมิได้ประสบกับความหายนะ เพียงว่ามันตกอยู่ในกับดักบางอย่างที่จักต้องใช้ความพยายามในการปีนออกมา
เส้นทางเดินของการเมืองไทยและวิกฤติที่เกิดขึ้นหลายครั้งมีแบบแผนที่น่าสนใจ การทดลองนำระบอบประชาธิปไตยมาใช้เกิดขึ้นภายใต้ความเชื่อที่ว่าประเทศแถบยุโรปที่มีความเจริญก้าวหน้าเพราะพวกเขาใช้การเมืองแบบประชาธิปไตย
เราได้ลอกเลียนรูปแบบและโครงสร้างสถาบันทางการเมืองแบบประชาธิปไตยเข้ามาใช้โดยยกเลิกระบอบการเมืองเดิมไปเสีย
ระยะแรกของการใช้การเมืองแบบประชาธิปไตยในบ้านเรา
ความเข้าใจผิดและความสับสนทั้งในเรื่องของเนื้อหาและวิถีปฏิบัติเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้กระทั่งในกลุ่มผู้ที่ได้ชื่อว่ามีความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยดีที่สุดของสังคมในยุคนั้นก็ยังมีความเข้าใจแตกต่างกันในหลายเรื่องหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิทธิ
เสรีภาพ และความเสมอภาค
ความเข้าใจผิดและความสับสนมิได้จำกัดอยู่แต่ในเฉพาะชนชั้นนำทางการเมือง
หากแต่กระจายไปสู่ผู้คนในสังคมในหลายเรื่องหลายประเด็นแม้แต่เรื่องง่ายๆเชิงโครงสร้างที่เป็นรูปธรรมอย่างความหมายของรัฐธรรมนูญและความหมายของการเลือกตั้งก็ยากที่ผู้คนในสังคมไทยยุคนั้นจะเข้าใจได้ ฉะนั้นเราคงคาดหวังว่าผู้คนส่วนมากของยุคนั้นสามารถเข้าใจเรื่องยากๆซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับอุดมการณ์และความเชื่อเชิงนามธรรมของระบอบประชาธิปไตย อย่างเรื่องสิทธิ เสรีภาพ
และความเสมอภาคได้
ผู้สนับสนุนประชาธิปไตยในยุคนั้นคงสาละวนกับการจัดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารประเทศและรักษาสถานะอำนาจทางการเมืองของพวกเขาเป็นหลัก
ด้วยเหตุนี้การปลูกฝังและบ่มเพาะผู้คนให้เข้าใจและมีจิตสำนึกแห่งความเป็นพลเมืองของระบอบประชาธิปไตยจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้
ดังนั้นเพียงไม่กี่ปีประชาธิปไตยไทยซึ่งมีสถานภาพง่อนแง่นอยู่แล้วก็เผชิญหน้ากับการท้าทายและนำไปสู่วิกฤติการณ์
ชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับประชาธิปไตยดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
อันที่จริงก็เป็นชะตากรรมเดียวกันกับหลายประเทศที่เริ่มทดลองนำระบอบประชาธิปไตยมาใช้โดยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งภายในสังคมนั้นเอง
ส่วนบางประเทศที่มีการนำระบอบประชาธิปไตยมาใช้ภายใต้การกำกับดูแลและชี้นำของประเทศที่เคยเป็นเจ้าอาณานิคมมาก่อนอาจมีเส้นทางที่หลีกเลี่ยงวิกฤติการณ์ได้
มีข้อสังเกตประการหนึ่งเกี่ยวกับการสร้างและการยกเลิกระบอบประชาธิปไตยอันเป็นแบบแผน
ของการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือสังคมไทยใช้กำลังทหารเป็นกลไกในการสร้างประชาธิปไตยเมื่อ
พ.ศ. 2475 และใช้กำลังทหารเช่นเดียวกันปกป้องประชาธิปไตยเมื่อ
พ.ศ. 2476 แต่ในท้ายที่สุดก็มีผู้ใช้กำลังทหารยกเลิกประชาธิปไตยใน
พ.ศ. 2490 และ พ.ศ. 2501
หากถามว่ากำลังทหารในช่วงแรกมีสำนึกแห่งประชาธิปไตยสูงกว่าทหารในช่วงหลังหรือไม่
ผมคิดว่าความคิดของทหารส่วนในยุคนั้นไม่แตกต่างกัน
ขึ้นอยู่กับว่าผู้บังคับบัญชาสั่งให้สนับสนุนฝ่ายใดมากกว่า
ส่วนผู้บังคับบัญชาของทหารสองยุคต่างกันหรือไม่
ผมคิดว่าก็คงไม่ต่างกันนั่นคือมีเป้าหมายในการครอบครองและรักษาอำนาจการเมือง
ส่วนความเข้าใจและความเชื่อเกี่ยวกับประชาธิปไตยนั้นคงเป็นเรื่องที่ลานเลือนอยู่ค่อนข้างมาก
ประชาชนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อสถาปนาระบอบประชาธิปไตยอย่างเป็นรูปธรรมและมีผลกระทบต่อความคิดของผู้คนในสังคมเป็นครั้งแรกในช่วงพ.ศ.
2516
แต่ความเข้าใจก็จำกัดอยู่ในกรอบเชิงโครงสร้างนั่นคือเรื่องรัฐธรรมนูญ การเรียกร้องในช่วงนั้นเรื่องเลือกตั้งดูเหมือนยังไม่ใช่ประเด็นใหญ่อะไรมากนัก
ขณะเดียวกันก็เริ่มมีการให้การศึกษาประชาชนเกี่ยวกับเรื่องสิทธิ เสรีภาพ
และความเสมอภาค
แน่นอนว่าเป็นการกระทำของกลุ่มผู้สนับสนุนประชาธิปไตยที่ประกอบด้วยนักศึกษาและนักวิชาการ
ส่วนนักการเมืองก็เป็นเพียงผู้ฉวยโอกาสอาศัยกลไกการเลือกตั้งเข้าสู่อำนาจเท่านั้น
นักศึกษาและประชาชนเป็นผู้ทำให้เกิดประชาธิปไตยในยุคใหม่
แต่พวกเขาไม่มีปัญญาในการรักษาและขยายประชาธิปไตย
เพราะไม่มีกลไกและทรัพยากรอะไรที่เข้ามารองรับและขับเคลื่อน อำนาจหน้าที่ในระบบราชการก็ไม่มี
ทักษะและทรัพยากรที่จะเอาชนะในการเลือกตั้งก็ไม่มี
ท้ายที่สุดจึงไม่มีพื้นที่ในอาณาเขตของอำนาจทางการเมืองและถูกทำลายลงไปภายใน
3 ปี อันนี้ก็ดูเหมือนเป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ของประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยถูกยกเลิกไปโดยกำลังของกองทัพ
แต่ขณะเดียวกันผู้นำกองทัพในยุคนั้นร่วมมือกับนักการเมืองในการประคับประคองรูปแบบของประชาธิปไตย
โดยเฉพาะการรักษารัฐธรรมนูญและการจัดให้มีการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง กล่าวได้ว่าในยุคนั้นผู้คนจำนวนมากในสังคมเริ่มที่จะเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างประชาธิปไตยกับการเลือกตั้งขึ้นมาก
และความหมายของประชาธิปไตยเท่ากับการเลือกตั้งจึงค่อยๆก่อตัวและขยายออกไปสู่สังคมมากขึ้น
ถึงปี 2534 ผู้นำกองทัพบางคนใช้กำลังกองทัพล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและยกเลิกรัฐธรรมนูญด้วยเหตุผลส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งในกองทัพ และในปี 2535
ผู้นำกองทัพยุคนั้นพยายามสืบทอดอำนาจทางการเมืองของพวกตนเองต่อไป แต่ต้องเผชิญหน้ากับการต่อต้านจากนักศึกษา
ประชาชน และพรรคการเมืองจนต้องยุติบทบาทลงไป
ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งจึงดำเนินต่อไป
และที่น่าสนใจสำหรับการมีส่วนร่วมในการรักษาประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งเมื่อปี 2535
คือ การมีพรรคการเมืองเข้ามามีส่วนร่วมกับประชาชนด้วย
หลังปี 2535
ประชาธิปไตยได้รับการขยายความหมายจากนักวิชาการและนักเคลื่อนไหวทางสังคมโดยมีการเน้นเรื่องสิทธิ
เสรีภาพ และการมีส่วนร่วมออกไปสู่สาธารณะมากขึ้น
แต่ขณะเดียวกันความเข้าใจว่าประชาธิปไตยเท่ากับการเลือกตั้งก็ได้รับการตอกย้ำและผลิตซ้ำจากนักการเมืองอย่างต่อเนื่อง
นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวทางสังคมประสบความสำเร็จในการผลักดันเนื้อหาและแนวปฏิบัติของระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ไว้ในรัฐธรรมนูญ
พ.ศ. 2540
แต่ทว่าล้มเหลวในการขับเคลื่อนให้เกิดผลแห่งการปฏิบัติการจริงทางสังคม ขณะที่นักการเมืองประสบความสำเร็จในการสร้างความหมายของประชาธิปไตยให้เท่ากับการเลือกตั้ง โดยไม่สนใจในเรื่องสิทธิ เสรีภาพ การมีส่วนร่วม
และความเสมอภาคแต่อย่างใด
แต่ความสำเร็จของนักการเมือง
ก็เป็นสิ่งที่มาทำลายพวกเขาเองในท้ายที่สุด การให้ความสำคัญเฉพาะการเลือกตั้งและการทำให้ตนเองมีอำนาจรัฐ
โดยละเลยการใช้อำนาจรัฐตามวิถีและแบบแผนของอุดมการณ์ประชาธิปไตย
ได้กลายเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ของนักการเมือง
และทำให้พวกเขาพบกับจุดจบแบบโศกนาฏกรรรม
ภาคประชาชนผู้เข้าใจประชาธิปไตยปฏิเสธวาทกรรมที่นักการเมืองสร้างขึ้นมา
ไม่ยอมรับการใช้อำนาจนอกเหนือวิถีประชาธิปไตย การชุมนุมต่อต้านและขับไล่นักการเมืองที่ครองอำนาจเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างต่อเนื่องกัน
แต่นักการเมืองอาศัยรูปแบบของประชาธิปไตยรักษาอำนาจไว้อย่างเหนียวแน่น
ภาคประชาชนจึงมิอาจโค่นล้มได้
แต่ก็ทำให้รัฐบาลของนักการเมืองขาดความชอบธรรมและผู้นำทหารบางคนจึงออกมาใช้กำลังกองทัพออกมายุติประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งลงชั่วคราวใน
เดือนกันยายน พ.ศ. 2549
แต่เมื่อเปิดให้มีประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งเกิดขึ้นอีก
นักการเมืองก็ใช้กลไกเลือกตั้งเข้าสู่อำนาจอีกและใช้อำนาจโดยไม่เป็นไปตามเนื้อหาและวิถีประชาธิปไตยอีก
ดังนั้นการต่อสู้ของภาคประชาชนกับระหว่างกลุ่มนักการเมืองที่ครองอำนาจก็เกิดขึ้นอีกเช่นเดียวกัน
ในปี 2556
เมื่อนักการเมืองผู้ครองอำนาจใช้อำนาจในทางที่มิชอบ ขัดกับหลักนิติธรรม
ประชาชนก็ออกมาต่อต้าน และต่อมาก็มีนักการเมืองบางคนสลัดความเป็นนักการเมืองออกไปเพื่อเข้าร่วมต่อสู้กับภาคประชาชน การต่อสู้ดำเนินอย่างต่อเนื่องหลายเดือนจนทำให้นักการเมืองผู้ครองอำนาจรัฐสูญเสียความชอบธรรม พวกเขาจึงพยายามหันไปใช้กลไกการเลือกตั้งเพื่อสร้างความชอบธรรมขึ้นมาใหม่และทำให้ได้อำนาจกลับมาอีก แต่ทว่า
“การเลือกตั้ง”ก็สูญเสียความชอบธรรมไปแล้วเช่นเดียวกัน
ภาคประชาชนปฏิเสธประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งอย่างแข็งขัน
จนในที่สุดนักการเมืองที่ครองอำนาจไม่สามารถใช้กลไกการเลือกตั้งให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองได้อีก การเมืองไทยเข้าสู่วิกฤติการณ์และไร้ทางออก ท้ายที่สุดกองทัพจึงได้เข้าไปควบคุมอำนาจ
และยกเลิกระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง
ปมปัญหาของการพัฒนาประชาธิปไตยไทยในเวลานี้คือ
การหาวิธีการและกลไกที่จะทำให้หลุดพ้นจาก “กับดัก” ของประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง
เพราะการลุ่มหลงในประชาธิปไตยแบบนี้นำไปสู่การละเลย และละเมิด สิทธิ
เสรีภาพ และการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแท้จริงของประชาชน รวมทั้งการใช้อำนาจรัฐอย่างฉ้อฉลและไร้นิติธรรม
จนนำไปสู่วิกฤติการณ์ทางการเมืองดังที่ผ่านมานั่นเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น