ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ประชาธิปไตยที่ล้มละลายของสังคมไทยช่วงต้นศตวรรษที่ 21

ประชาธิปไตยที่ล้มละลายของสังคมไทยช่วงต้นศตวรรษที่ 21

พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต


                    สถานการณ์การเมืองของสังคมไทยช่วงต้นศตวรรษที่ 21 เคลื่อนตัวไปสู่สภาวะการล้มละลายของระบอบประชาธิปไตย สิ่งบ่งชี้สำคัญคือ หลักการพื้นฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตยทุกทำลาย บิดเบือน และแปรรูปเปลี่ยนสภาพโดยนักการเมืองและเครือข่ายบริวารของพวกเขา   หากสังคมไทยประสงค์จะสร้างประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่จำเป็นจะต้องกวาดล้างพิษร้ายและตะกอนของเสียทางการเมืองภายในกระบวนการได้มาซึ่งอำนาจ จนไปถึงกระบวนการใช้และตรวจสอบอำนาจ ที่ถูกผลิตมาอย่างต่อเนื่องในอดีตจนท่วมท้นปริมณฑลทางการเมืองในปัจจุบัน   
                    กระบวนการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2540 ใช้การเลือกตั้งสองแบบ คือ การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตพื้นที่ตามจำนวนประชาชน และการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อซึ่งใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง   แม้รูปแบบของการเลือกตั้งทั้งสองแบบนี้เป็นกลไกที่บางประเทศใช้ได้อย่างมีประสิทธิผลคือ สามารถทำให้ได้มาซึ่งผู้แทนปวงชนส่วนใหญ่ที่มีสำนึกต่อผลระโยชน์ของบ้านเมืองมีคุณธรรมและจริยธรรมทางการเมืองสูง   แต่สำหรับประเทศไทยหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
                    กรณีประเทศไทย การเลือกตั้งทั้งสองแบบกลับผลิต “ผู้อุปถัมภ์ประจำเขตและแคว้นเลือกตั้ง”  ที่มีสำนึกทางการเมืองแบบคับแคบ ไร้คุณธรรมและจริยธรรมทางการเมือง มุ่งแสวงหาผลประโยชน์จากประเทศชาติ  มุ่งสร้างและขยายอาณาจักรแห่งอำนาจของตนเอง    รวมทั้งประพฤติปฏิบัติเป็นนักฉวยโอกาสทางการเมือง นักค้าอำนาจ นักค้าเงิน และนักสร้างภาพ เป็นด้านหลัก 
                    หลักคิดของการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตพื้นที่แบบไทยๆคือ การทำให้ได้ตัวแทนประชาชนจากพื้นที่หนึ่งๆเพื่อเป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชนในการสะท้อนปัญหาและความต้องการของประชาชนให้รัฐบาลและฝ่ายบริหารทราบ   และการให้ได้มาซึ่งผู้อุปถัมภ์ที่คอยช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบปัญหาและความเดือดร้อนต่างๆ
                    เราจึงเห็น ส.ส.จำนวนไม่น้อยที่นำเรื่องปัญหาความต้องการของประชาชนในพื้นที่ตนเองไปพูดในการประชุมสภา หรือนำไปบอกพรรคพวกที่เป็นฝ่ายบริหารเพื่อให้จัดสรรงบประมาณไปสนองความต้องการของหัวคะแนนในพื้นที่ของตนเอง  ปัญหาและความต้องการที่ปรากฏให้สาธารณะรับทราบบ่อยๆในพื้นที่ของ ส.ส. คือ ปัญหาการไม่มีถนน ไม่มีสะพาน ไม่มีศาลาที่พักริมทาง  น้ำท่วม ภัยแล้ง  เป็นต้น
                    และเราก็จะได้ยินวาทกรรมที่บรรดานักเลือกตั้งผลิตขึ้นมาอย่างซ้ำซากว่า  ส.ส. เป็นผู้ใกล้ชิดประชาชนและรู้ปัญหาของประชาชนในพื้นที่ของตนเองดีที่สุด และต้องคอยช่วยเหลือดูแลความเดือดร้อนของประชาชน
                    หลักคิดแบบนี้จึงทำให้การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตพื้นที่กลายเป็น “การเลือกผู้อุปถัมภ์ประจำเขต”  มากกว่าการเลือก “ผู้แทนปวงชนชาวไทย” เข้าไปทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติเพื่อสร้างกฎหมายที่เป็นธรรมและยังผลประโยชน์แก่ปวงชนทั้งมวล  และตรวจสอบประสิทธิภาพ ประสิทธิผล การทุจริตในการดำเนินงานของฝ่ายบริหาร
                    ใครที่จะเป็นผู้อุปถัมภ์ประจำเขตเลือกตั้งได้   ก็ต้องเป็นคนที่มีเงินทุนจำนวนมาก  ทุนจำนวนมากมาจากไหน ส่วนหนึ่งก็อาจมาจากสมบัติดั้งเดิมของตระกูล  ส่วนหนึ่งก็มาจากการสนับสนุนของหัวหน้าก๊วนการเมือง   ส่วนหนึ่งก็มาจากการสนับสนุนของนายทุนพรรค  และส่วนที่น้อยมากๆมาจากการสนับสนุนที่ถูกต้องตามกฎหมายของพรรค     
                    นอกจากมีเงินทุนแน่นหนาแล้ว ผู้อุปถัมภ์ก็ต้องเป็นคนที่มีเครือข่ายหัวคะแนนกว้างขวาง และมีระบบการจัดตั้งเพื่อระดมการซื้อคะแนนเสียงอย่างมีประสิทธิภาพ    การสร้าง รักษา และขยายเครือข่ายก็ต้องอาศัยเงินทุน ประกอบกับมาตรการในการควบคุมกำกับและการให้รางวัลเพื่อให้หัวคะแนนมีความจงรักภักดีและไม่ทรยศหักหลัง   ผู้อุปถัมภ์ประจำเขตเลือกตั้งบางคนจึงอาจใช้วิธีการรุนแรงในการควบคุมเครือข่ายของตนเอง และทำลายเครือข่ายของคู่แข่ง 
                    เมื่อสร้างอาณาจักรแห่งอำนาจภายในเขตเลือกตั้งตนเองแล้ว  ผู้อุปถัมภ์ประจำเขตบางคนก็แผ่ขยายอำนาจอิทธิพลของตนเองไปยังเขตเลือกตั้งอื่นๆ   ดึงเอาผู้อุปถัมภ์ประจำเขตเลือกตั้งอื่นเข้ามาอยู่ในเครือข่ายอำนาจของตนเอง  เปรียบเสมือนหัวเมืองใหญ่ผนวกเอาหัวเมืองเล็กๆเข้ามาอยู่ในอาณัติของตนเอง  เราจะเรียกผู้อุปถัมภ์ประจำเขตที่สามารถขยายอาณาจักรแห่งอำนาจของตนเองได้ว่า “ผู้อุปถัมภ์ประจำแคว้น”
                    เมื่อเป็นผู้อุปภัมภ์ประจำแคว้น พวกเขาก็มีคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี อันเป็นตำแหน่งที่สามารถใช้อำนาจและอิทธิพลในการเรียกเก็บส่วยและค่าหัวคิวจากบรรดาข้าราชการผู้มีความทะเยอทะยานและหวังความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่  และยังได้ค่าหัวคิว เงินใต้โต๊ะ เงินสินบน ส่วนแบ่งจากหุ้นลมจากนักธุรกิจผู้ต้องการได้โครงการ สัมปทาน  การเช่าทรัพย์สินของรัฐ การอนุมัติหรือสิทธิพิเศษในการประกอบธุรกิจ   ด้วยกลไกเช่นนี้ผู้อุปถัมภ์ประจำแคว้นจึงสามารถสะสมทุนและขยายทุนออกไปได้มากขึ้น   เงินทองและทรัพย์สินของบุคคลเหล่านี้จึงมีนับพันนับหมื่นล้านบาท
                    เมื่อผู้อุปถัมภ์เหล่านี้มีอายุมากขึ้นพวกเขาก็ดำเนินการสร้างทายาทสืบต่ออำนาจของตนเอง โดยเป็นการสืบทอดอำนาจ “แบบสืบสายเลือด”   บรรดาบุตรหลานญาติพี่น้องของพวกเขาได้เข้ามารับมรดกแห่งอำนาจต่อไป   อนึ่งระบบการสืบทอดอำนาจแบบสายเลือดเป็นรูปแบบการสืบทอดอำนาจแบบสังคมดั้งเดิมตั้งแต่สังคมชนเผ่า และสังคมศักดินา 
                     เมื่อระบอบประชาธิปไตยได้รับการสถาปนาขึ้นมาในช่วงแรกๆ   บรรดานักวิชาการจำนวนมากต่างวิเคราะห์ว่า การสืบทอดอำนาจแบบสืบสายเลือดคงจะสิ้นสุดลงในการเข้าสู่อำนาจทางการเมือง เพราะระบอบประชาธิปไตยก่อให้เกิดความหลากหลาย  ผู้คนมีความเท่าเทียมกันในเรื่องสิทธิและเสรีภาพ  พลเมืองทุกคนมีความเท่าเทียมกันในโอกาสของการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองเพราะพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยเป็นพลเมืองที่มีเหตุมีผล มีความเป็นอิสระในการตัดสินใจเลือกว่าใครควรจะเข้าไปมีอำนาจ     
                    สภาพประชาธิปไตยแบบนั้นอาจเกิดขึ้นในบางประเทศ   แต่สำหรับประชาธิปไตยของประเทศไทยนับตั้งแต่พ.ศ. 2517 เป็นต้นมา   ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกลับเป็นอีกแบบหนึ่งคือ   กระบวนการสืบทอดอำนาจทางการเมืองกลับย้อนยุคไปสู่รูปแบบของสังคมโบราณคือ เป็นการสืบทอดอำนาจภายในครอบครัววงศ์ตระกูลนักการเมือง  และเมื่อมีการขยายอำนาจสู่ท้องถิ่น ปรากฎการณ์ของการสืบทอดและการขยายอำนาจภายในวงศ์ตระกูลก็ปรากฎขึ้นอย่างชัดเจนและแพร่ระบาดไปแทบทุกว่านแคว้นในประเทศไทย  เช่น ตนเองเป็นนักการเมืองระดับชาติ ส่วน ภรรยา พี่ น้อง   หรือญาติ เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นนายกเทศมนตรี หรือ เป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล  เป็นต้น
                    ระบบการสืบอำนาจแบบวงศ์ตระกูลในยุคปัจจุบัน อาจมีวิธีการในรายละเอียดแตกต่างจากสังคมโบราณบ้าง กล่าวคือในยุคอดีต       การสืบทอดอำนาจในวงศ์ตระกูลอาศัยรากฐานจากประเพณีดั้งเดิมและอำนาจของเทวสิทธิ์เป็นแหล่งของความชอบธรรมในการสืบทอดอำนาจ โดยการยินยอมและยอมรับของเหล่าขุนนาง 
 แต่สำหรับการสืบทอดอำนาจในวงศ์ตระกูลปัจจุบันอาศัย การสร้างภาพลักษณ์ของการเป็นผู้อุปถัมภ์  ระบบการจัดตั้งเครือข่ายหัวคะแนนและการซื้อสิทธิในการเลือกตั้งของประชาชนเป็นกลไกหลัก  โดยแหล่งของความชอบธรรมคือจำนวนของคะแนนเสียงที่หาซื้อหรือหลอกลวงมาได้  ยิ่งซื้อคะแนนเสียงได้มากเท่าไร พวกเขาก็อ้างว่ามีความชอบธรรมมากเท่านั้น
                    การเลือกตั้งแบบเขตพื้นที่ในบริบทสังคมไทยจึงไม่ทำให้ได้มาซึ่ง “ผู้แทนปวงชนชาวไทย” เพื่อทำหน้าที่และใช้อำนาจอธิปไตยในนามของประชาชนอีกต่อไป   แต่ทำให้ได้มาซื่ง “ผู้อุปถั้มภ์ประจำเขตและประจำแคว้น” หรือ เป็น “เจ้าเมืองยุคใหม่”    ซึ่งได้อำนาจมาโดยการซื้อสิทธิหรือซื้ออำนาจอธิปไตยของประชาชนอันเป็นวิธีที่ไม่เป็นประชาธิปไตย  ยิ่งกว่านั้นบรรดาบุคลเหล่านี้ยังสร้างระบบการสืบทอดอำนาจภายในวงศ์ตระกูล  ซึ่งเป็นระบบที่ขัดแย้งกับหลักเสมอภาคในระบอบประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง
                    ระบบการเลือกตั้งแบบเขตพื้นที่ในสังคมไทยเท่าที่ผ่านมาจึงเป็นการสร้างสภาวะการผลักไสหรือกีดกันทางการเมือง(political exclusion) ขึ้นมา    ประชาชนผู้ไม่อยู่ในแวดวงของตระกูลนักการเมืองถูกจะกีดกันออกจากการเข้าถึงอำนาจทางการเมือง    ระบบการเลือกตั้งแบบเขตเลือกตั้งจึงตอบสนองและสร้างโอกาสในการเข้าสู่อำนาจเฉพาะกลุ่มนักเลือกตั้งที่เป็นนายทุนท้องถิ่นผู้สามารถสถาปนาตนเองขึ้นมาเป็นผู้อุปถัมป์ประจำเขตและประจำแคว้นเลือกตั้ง  รวมทั้งวงศ์ตระกูลของพวกเขาดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น   ด้วยสภาพเช่นนี้อำนาจอธิปไตยเชิงปฏิบัติในปัจจุบันของสังคมไทยจึงหาได้อยู่กับประชาชนอีกต่อไป  และเท่ากับว่าการเมืองแบบประชาธิปไตยล้มละลายไปแล้วในสังคมไทย
                   
                    การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อถูกผลิตขึ้นมาและบรรจุในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540  โดยมีเป้าประสงค์เพื่อชดเชยข้อบกพร่องของการเลือกตั้งแบบเขตพื้นที่  ลักษณะสำคัญของการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อคือการใช้เขตเลือกตั้งขนาดใหญ่โดยใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้งส่งผลให้การซื้อสิทธิขายเสียงกระทำได้ยาก และทำให้  ประชาชนสามารถแสดงเจตจำนงทางการเมืองได้โดยปลอดจากอิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ของนักการเมืองระดับหนึ่ง  
                    บางประเทศการนำระบบการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อมาใช้สามารถแก้ปัญหาระบบอุปถัมภ์อำนาจนิยมและการซื้อสิทธิขายเสียงได้อย่างค่อนข้างมีประสิทธิภาพ   แต่ในสังคมไทยดูเหมือนระบบนี้กลับมีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาการเมืองไทยไม่มากนัก
                    ภายใต้ระบบการเลือกตั้งแบบนี้พรรคการเมืองจะบรรจุรายชื่อผู้สมัครของตนเองเรียงลำดับจนครบตามจำนวนที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 กำหนดไว้ 100 คน  ขณะที่ยังคง ส.ส.แบบเขตพื้นที่ไว้ 400 คน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจึงเท่ากับหนึ่งในห้าของจำนวนส.ส.ทั้งหมด  ต่อมารัฐธรรมนูญปี 2550 ได้ลดจำนวนลงเหลือ 80 คน ขณะที่ ส.ส.แบบเขตพื้นที่มีจำนวน 400 คน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจึงมีเท่ากับหนึ่งในหก ของส.ส.ทั้งหมด   และเมื่อมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในพ.ศ. 2554 ก็ได้เพิ่มเป็นจำนวน 125 คน และลด ส.ส.บัญชีรายชื่อเหลือ 375 คน   ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจึงมีหนึ่งในสี่ของ ส.ส.ทั้งหมด
                    ปมปัญหาที่ทำให้ระบบการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อไม่สามารถแก้ปัญหาการเมืองไทยประการหนึ่งคือ สัดส่วนของส.ส.บัญชีรายชื่อเมื่อเทียบกับจำนวน ส.ส.ทั้งหมดมีน้อยเกินไป  จึงทำให้สถานการณ์การเลือกตั้งถูกครอบงำด้วย ส.ส.แบบเขตพื้นที่ การซื้อสิทธิขายเสียงและการควบคุมเขตเลือกตั้งโดยใช้ระบบอุปถัมภ์อำนาจนิยมจึงยังดำรงต่อไป
                    แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ พรรคการเมืองไทย ได้พัฒนากลยุทธ์ในการซื้อขายเสียงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง  จากเดิมซึ่งซื้อในเขตเลือกตั้งได้กลายมาเป็นซื้อทั้งประเทศ โดยใช้นโยบายประชานิยมเป็นเครื่องมือหลักในการซื้อสิทธิประชาชน   นับตั้งแต่การเลือกตั้งในปี 2544 พรรคการเมืองแต่ละพรรคได้แข่งขันผลิตนโยบายประชานิยมเพื่อใช้ในการซื้อสิทธิประชาชนอย่างเข้มข้น  และก็มีประชาชนจำนวนมากที่ตกอยู่ในมนตราของนโยบายประชานิยมอย่างถอนตัวไม่ขึ้น 
                    คนจำนวนมากหารู้ไม่ว่านโยบายประชานิยมคือยาพิษที่กัดกร่อนจิตวิญญาณของผู้คน ทำให้ผู้คนอ่อนแอลดการพึ่งตนเอง  เกิดการพึ่งพาและตกอยู่ในสภาพอาณานิคมทางจิตแก่พรรคการเมือง 
                    ผู้เลือกตั้งจำนวนมากเมื่อถูกครอบงำด้วยผลประโยชน์ของนโยบายประชานิยมจึงทำให้การแสดงเจตจำนงทางการเมืองอย่างเป็นอิสระและมีเหตุมีผลถูกบิดเบือนเบี่ยงเบนไป  ระบบการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อของไทยจึงกลายสภาพเป็นกลไกที่ง่อยเปลี้ย ไม่สามารถสำแดงจุดเด่นของมันออกมาได้
                    นโยบายประชานิยมไม่ใช่นโยบายที่มีรากฐานจากอุดมการณ์ทางการเมือง แต่เป็นนโยบายที่นักการเมืองผลิตขึ้นมาเพื่อมุ่งตอบสนองความต้องการเฉพาะหน้าระยะสั้นของประชน โดยการหยิบยื่นผลประโยชน์ในรูปของเงินทอง สิ่งของ และการบริการสาธารณะ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่ประชาชนเลือกพรรคที่ตนเองเป็นเจ้าของ
                    นโยบายประชาชนนิยมจึงเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของการซื้อขายเสียง  โดยอาศัยงบประมาณแผ่นดินของคนทั้งประเทศ   นับว่าเป็นการพัฒนาการของการซื้อขายเสียงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง  เพราะการซื้อเสียงแบบเดิมจะใช้เงินส่วนตัวของนักเลือกตั้งและกลุ่มทุนที่สนับสนุนพวกเขา
                    พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคการเมืองแรกที่นำนโยบายประชานิยมมาใช้เป็นเครื่องมือสร้างคะแนนนิยม ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2544   ต่อมาในการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นพรรคการเมืองแทบทุกพรรคของประเทศไทยก็แข่งกันเสนอนโยบายประชานิยมอย่างกว้างขวาง   
                    ปรากฏการเช่นนี้จึงเป็นการแข่งขันการ ประมูลซื้อสิทธิหรือ  ซื้ออำนาจอธิปไตยของประชาชนนั่นเอง   เช่น พรรคการเมืองหนึ่งเสนอว่าจะให้เบี้ยยังชีพคนชรา 500 บาท ส่วนอีกพรรคหนึ่งก็เสนอว่าจะให้ 1,000 บาท   พรรคการเมืองหนึ่งเสนอว่ามีเงิน 30 บาทสามารถรักษาได้ทุกโรค  อีกพรรคหนึ่งก็เสนอให้การรักษาพยาบาลฟรีขึ้นมาแข่ง เป็นต้น     
                    ยิ่งกว่านั้นในการคัดเลือกบุคคลบรรจุลงในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองขึ้นอยู่กับกลุ่มคนเพียงกลุ่มหนึ่งที่คุมอำนาจในพรรค มิใช่มาจากการคัดเลือกของสมาชิกแต่อย่างใด  เกณฑ์ที่ใช้สำหรับการบรรจุบุคคลในบัญชีรายชื่อลำดับต้นๆคือการเป็นนายทุนของพรรคหรือการเป็นผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของผู้คนในสังคม  ส่วนจะมีจิตใจสาธารณะ เสียสละต่อส่วนรวม หรือมีความสามารถในการบริหารหรือไม่มิใช่ประเด็นหลักที่พรรคการเมืองใช้ในการคัดเลือกบุคคลลงสมัครในนามพรรค  รวมทั้งจะเป็นตัวแทนของอาชีพใดกลุ่มทางสังคมใดหรือ ก็มิใช่เรื่องสำคัญสำหรับพรรคการเมืองเช่นเดียวกัน
ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคจึงมีลักษณะไม่แตกต่างจาก ส.ส.ที่มาจากเขตเลือกตั้ง กล่าวคือต่างมุ่งรับใช้นายทุนพรรคหรือผู้บริหารพรรคเป็นหลัก  การบอกว่าส.ส.เป็นตัวแทนปวงชนชาวไทยจึงกลายเป็นเรื่องที่เขียนเอาไว้ให้ดูสวยหรู แต่หาได้มีนัยเชิงปฏิบัติดังที่เขียนไว้ไม่
                    ระบบและกระบวนการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองของสังคมไทยจึงถูกคุมสภาพไว้ด้วยบุคคลเพียงไม่กี่คนที่เป็นเจ้าของพรรคการเมืองหรือเป็นผู้มีอิทธิพลภายในพรรค  พรรคการเมืองจึงกลายเป็นองค์การที่ไร้ความเป็นประชาธิปไตยทั้งในเชิงเป้าหมายและกระบวนการดำเนินงาน   สิ่งที่น่าหัวเราะแต่หัวเราะไม่ออกคือ  พรรคการเมืองเหล่านั้นประกาศว่าเป็นองค์การสำคัญของระบอบประชาธิปไตย ทำหน้าที่ในการรักษาและสร้างสรรค์ประชาธิปไตย 
                     มันจะเป็นได้อย่างไรในเมื่อการบริหารและการตัดสินใจเรื่องต่างๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบาย เรื่องการคัดเลือกผู้ลงสมัครในนามพรรค  เรื่องการคัดเลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งบริหารประเทศในกรณีที่ได้เป็นรัฐบาล ถูกกำหนดจากกลุ่มคนแค่หยิบมือหนึ่งที่เป็นผู้นำของพรรคหรือเจ้าของพรรค  รูปแบบนี้แท้จริงแล้วคือเผด็จการดีๆนี่เอง
                    จะให้พรรคการเมืองที่มีการบริหารจัดการแบบเผด็จการ ทำหน้าที่ในการรักษาและสร้างสรรค์ประชาธิปไตย  ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันในระดับรากฐานทีเดียว
                    ผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์อาจจะแย้งว่า พรรคของเขาเป็นประชาธิปไตยเพราะไม่มีใครเป็นเจ้าของ   ซึ่งเป็นความจริงที่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ปรากฏเจ้าของพรรคที่เด่นชัดเหมือนพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคการเมืองอีกหลายพรรค  แต่ในพรรคประชาธิปัตย์ก็มีกลุ่มบุคคลที่เป็นชนชั้นนำของพรรคผู้ซึ่งมีอิทธิพลและคุมสภาพภายในพรรคไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเช่นกัน  
                    การเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งแบบเขตพื้นที่และแบบบัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์มิได้มาจากกระบวนการ จากล่างขึ้นบนหรือ จากการที่สมาชิกพรรคเสนอและรับรองขึ้นมา แต่มาจากการตกลงกันของกลุ่มผู้นำพรรคทั้งนั้น หรือ แบบสั่งการจากบนลงล่าง”   ดังเช่นการเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ. 2550 ว่าที่ผู้สมัครพรรคคนหนึ่งในกรุงเทพมหานครดำเนินการสร้างฐานเสียงไว้ในเขตเลือกตั้งหนึ่งจนเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายของประชาชนในเขตเลือกตั้งนั้น  แต่ปรากฎว่ากลับถูกกำหนดให้ไปลงสมัครรับเลือกตั้งในอีกเขตหนึ่งซึ่งไม่เขาไม่เคยไปลงพื้นที่เลย   ท้ายที่สุดว่าที่ผู้สมัครคนนี้ต้องลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ในสภาพที่น้ำตานองหน้า  การกระทำเช่นนี้ของผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ คงจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นวิถีประชาธิปไตยหรอกนะ
                    เมื่อมาถึงจุดนี้ ณ เวลา นี้  เราก็ได้กระจ่างแล้วแล้วระบบการเลือกตั้งทั้งแบบเขตพื้นที่ และแบบบัญชีรายชื่อ รวมทั้งลักษณะที่เป็นเผด็จการของพรรคการเมือง  ต่างก็ผลิตนักการเมืองที่ฉ้อฉล ไร้ประสิทธิภาพในการบริหาร   ไร้สัจจะและคุณธรรม  ซึ่งเป็นการกัดกร่อนบ่อนทำลายแก่นสารจิตวิญญาณของประชาธิปไตยจนแทบมิหลงเหลืออยู่เลย
                    คำถามคือแล้วประชาชนจะทำอย่างไร สิ่งที่จะเป็นไปได้คือประชาชนต้องลงมือปฏิบัติการทางการเมืองในทุกมิติของอำนาจและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง  การรื้อฟื้นและสร้างประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่เป็นพันธกิจที่สำคัญของภาคประชาชน  เพื่อนำพาสังคมไทยให้ข้ามพ้นจากสภาวะล้มลายทางการเมืองต่อไป


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คำถามประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการทำแท้งคือ เมื่อไรที่จะนับว่าชีวิตมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และ ณ จุดไหนที่สังคมควรจะเข้าไปดำเนินการปกป้องชีวิตที่กำลังก่อกำเนิด       ส่วนข้อถกเถียงเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับการทำแท้งมี ๒ ประเด็นหลักคือ  ประเด็นแรกคือ “คุณค่าของพื้นฐานแห่งชีวิต” ซึ่งมีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ยังไม่ได้กำเนิดมาดูโลก กับชีวิตของมารดา   ประเด็นที่สองคือ “พื้นฐานของเสรีภาพส่วนบุคคคล” ซึ่งเป็นสิทธิของมารดาเหนือร่างกายของตนเองในการให้กำเนิดและกำหนดชีวิต และประเด็นที่เป็นความขัดแย้งอีกประการคือแนวคิดเกี่ยวกับ “สิทธิสัมบูรณ์”  ระหว่างสิทธิของทารกในครรภ์ที่จะก่อตัวพัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษย์ กับสิทธิของมารดาในการควบคุมชีวิตและร่างกายของตนเอง ชีวิตมนุษย์เริ่มจากไหนและพัฒนาอย่างไร   ในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายขั้นตอนของการพัฒนาตัวอ่อนในครรภ์ในเป็นมนุษย์ ดังนี้ ๑.       ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นจากไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์จากอสุจิ หนึ่งเซลล์ของมนุษย์ผู้หนึ่งผสมกับเซลล์ของมนุษย์อีกผู้หนึ่ง กลายเป็นสองเซลล์และขยายเป็นสี่ และจากนั้นภายในหกวั

วิจารณ์หนังสือ การสร้างทฤษฎีฐานราก: แนวทางเชิงปฏิบัติผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ของ Kathy Charmaz. พิมพ์ในวารสารพัฒนาสังคม V 14. No. 2

บทวิจารณ์หนังสือ  พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต Kathy Charmaz  2006. Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis. London: SAGE   จำนวน  208  หน้า ความเป็นมาของทฤษฎีฐานราก ระเบียบวิธีทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) อุบัติขึ้นจากนักสังคมวิทยาสองคนคือ Barney G. Glaser และ Anselm L. Strauss ช่วงกลางทศวรรษ 1960s    ทั้งสองไปทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสภาวะกำลังตายและการตาย ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล    พวกเขาได้พัฒนายุทธศาสตร์เชิงระเบียบวิธีอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งทำให้นักสังคมศาสตร์สามารถนำไปประยุกต์ในการศึกษาเรื่องอื่นๆได้จำนวนมาก   ในปี 1967 Glaser และ Strauss  ได้เสนอระเบียบวิธีนี้เข้ามาสู่แวดวงวิชาการในหนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขา คือ The Discovery of Grounded Theory   ซึ่งทำให้การวิจัยเชิงคุณภาพรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ของระเบียบวิธี        ช่วงเวลาก่อนที่ Glaser และ Strauss เสนอระเบียบวิธีการวิจัยทฤษฎีฐานรากเป็นช่วงที่การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในสาขาสังคมวิทยากำลังประสบกับปัญหาทางระเบียบวิธีวิทยาอย่างหนักหน่วง   การวิจัยเชิงคุณ

พหุวัฒนธรรมนิยม สิทธิชนกลุ่มน้อยและความสมานฉันท์

พหุวัฒนธรรมนิยม สิทธิชนกลุ่มน้อยและความสมานฉันท์          พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต จากความขัดแย้งของสังคมไทยที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องอุดมการณ์ เรื่องเชื้อชาติและศาสนาในสามจังหวัดภาคใต้  และปัญหาแรงงานอพยพที่นับวันจะมีมากขึ้น ทำให้ผู้เขียนเห็นถึงความจำเป็นที่ต้องนำเสนอความคิดทางสังคมการเมืองซึ่งอาจนำไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายและการปฏิบัติเพื่อทำให้สังคมลดความขัดแย้ง  สร้างการบูรณาการ และความสมานฉันท์อย่างเป็นระบบขึ้นมา   เนื่องจากแนวความคิดนี้มีความยาวและต้องทำความเข้าใจในหลายมิติ ผู้เขียนพยามยามนำเสนอให้ง่ายต่อการอ่านและการเข้าใจ          พหุวัฒนธรรมนิยม ( multiculturalism) เป็นแนวคิดคู่แข่งทางวิชาการและนโยบายของลัทธิชาตินิยม ( nationalism)      นักวิชาการเริ่มใช้คำนี้ประมาณทศวรรษ 1960  เพื่ออธิบายนโยบายสาธารณะใหม่ ในประเทศแคนาดา ต่อมาขยายไปสู่ประเทศออสเตรเลีย  การพัฒนาการของแนวคิดนี้เป็นการเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยของรัฐบาลเพื่อเปลี่ยนแปลงนโยบายการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม ( assimilation) ไปสู่นโยบายสังคมพหุวัฒนธรรม นโยบายผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมทำให้วัฒ