ปัญญาและคุณธรรมของผู้นำประเทศ
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
บทบาทหน้าที่อย่างหนึ่งของผู้นำคือการเป็นแบบอย่างในการพัฒนาภูมิปัญญาและคุณธรรมแก่ประชาชนในสังคม แต่ผู้นำของสังคมไทยสามารถแสดงบทบาทเหล่านั้นได้หรือไม่ หากไม่ได้อนาคตของสังคมไทยจะเป็นอย่างไร
เป็นสิ่งที่เราควรคิดวิเคราะห์และเตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้า
หากสังคมใดที่มีการส่งเสริมการพัฒนาภูมิปัญญาและคุณธรรมอย่างเข้มข้นทั้งสองด้านและเป็นไปอย่างมีดุลยภาพ ย่อมทำให้สังคมนั้นเกิดภาวะความสมดุลย์ระหว่างความเจริญทางวัตถุกับความสงบสุขทางสังคม ซึ่งจะทำให้สังคมนั้นเป็นสังคมที่มีคุณภาพ
และบุคคลมีคุณภาพชีวิตสูง
หากสังคมใดเน้นการพัฒนาปัญญา
สร้างความเฉลียวฉลาดแก่ประชาชน
แต่ละเลยการพัฒนาคุณธรรม
สังคมนั้นอาจมีความสะดวกสบายทางวัตถุ
แต่ผู้คนจะโหดร้ายและมุ่งเอารัดเอาเปรียบกันเป็นหลัก
ในทางกลับกันการเน้นการพัฒนาคุณธรรม แม้จะทำให้สังคมมีความสงบสุขสันติ แต่การไม่ใส่ใจการพัฒนาปัญญา
จะทำให้สังคมถูกชักนำไปสู่ความเสี่ยงของการศรัทธาอย่างงมงาย และทำให้ผู้คนตกเป็นเหยื่อของผู้ทรงคุณธรรมจอมปลอมได้ง่าย
แต่หากสังคมใดไร้ทั้งการพัฒนาภูมิปัญญา
และละเลยการพัฒนาคุณธรรม สังคมนั้นย่อมเปี่ยมล้นไปล้นคนโง่เขลาและคนชั่วช้าเลวทรามที่ไม่อาจเป็นพลังในการพัฒนาสร้างสรรค์ประเทศให้เจริญรุดหน้าได้ สถานการณ์ที่สังคมแบบนี้ต้องเผชิญก็คือ
ภาวะความขาดแคลนทางวัตถุที่ใช้ในการยังชีพ
และจะสร้างภาวะความทุกข์ยากแก่ผู้คนจนประมาณไม่ได้
แม้การพัฒนาภูมิปัญญาและคุณธรรมจะต้องดำเนินการจากกลุ่มบุคคลหลายระดับ
หลายวงการ
แต่ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนสิ่งหล่านี้ให้มีความก้าวหน้าและดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ก็คือผู้บริหารประเทศ
ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าอเนจอนาถมาก
เพราะบรรดาผู้นำประเทศทั้งหลาย
หาได้มีผู้นำที่ทรงภูมิปัญญาเพียงพอในการชี้นำการพัฒนาประเทศให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง
อีกทั้งยังไร้ผู้นำที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและจริยธรรมอันดีงามพอที่จะเป็นแบบอย่างให้ผู้คนทั่วไปยึดถือไปปฏิบัติได้
อาจจะไม่เป็นธรรมหากจะกล่าวหาลอยๆโดยไร้หลักฐานที่น่าเชื่อถือและเหตุผลสนับสนุน
เพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้เราตกอยู่ในวัฏจักรของอคติได้ง่าย
คำถามคือเราจะทราบได้อย่างไรว่าผู้นำไร้ปัญญาและปราศจากจริยธรรม
การจะดูว่าผู้นำคนใดมีปัญญาและคุณธรรมเพียงพอหรือไม่ เราคงไม่สามารถนำแบบวัดความฉลาดทางปัญญา (IQ)ไปให้ผู้นำคนนั้นทดลองทำและดูว่าเขาได้คะแนนเท่าไร และเราคงไม่สามารถนำแบบทดสอบคุณธรรมไปให้พวกเขาทำได้เช่นเดียวกัน
แต่เราสามารถรับรู้ได้จากสิ่งที่เขาตัดสินใจทำหรือไม่ทำ จากสิ่งที่พวกเขาขับเคลื่อนผลักดันนโยบาย
และจากสิ่งที่พวกเขาสัมภาษณ์ตอบคำถามนักข่าวโดยที่ไม่มีการจัดเตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้า
ลองพิจารณาตัวอย่างเรื่องการตัดสินใจใช้นโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งใช้เงินงบประมาณภาษีของประชาชนนับแสนล้านบาทในการรับจำนำข้าวจากชาวนา โดยรับจำนำในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด ผู้มีความคิดสักนิดย่อมทราบดีว่าไม่มีการรับจำนำสินค้าใดที่จะให้ราคาสินค้าที่นำมาจำนำสูงกว่าราคาตลาด
เพราะคงไม่มีใครมาไถ่ถอนคืนเป็นแน่
ชาวนาก็เช่นเดียวกันเมื่อจำนำไปแล้วก็ไม่มาไถ่ถอนข้าวคืน ทำให้รัฐบาลต้องรับภาระเก็บข้าวไว้นับสิบล้านตันแล้วในปัจจุบัน
ผู้นำรัฐบาลยังคิดต่อไปโดยใช้หลักเศรษฐศาสตร์พื้นฐานระดับมัธยม โดยคิดว่าหากเก็บข้าวไว้ในประเทศจะทำให้ราคาในตลาดโลกสูงขึ้น ลืมคิดว่าข้าวเป็นสินค้าที่สามารถหาสินค้าประเภทอื่นทดแทนได้ไม่ยากเพราะข้าวก็คือแป้งธรรมดานี่เอง
และพืชที่ให้แป้งก็มีหลายชนิด อีกทั้งในปัจจุบันมีอีกหลายประเทศที่สามารถผลิตข้าวส่งออกในตลาดโลกได้อย่างมากมาย
เช่น จีน เวียตนาม และสหรัฐ
ประกอบกับบรรดาผู้ซื้อในตลาดโลกหาได้โง่เขลาเหมือนผู้นำประเทศไทย
เมื่อเขาทราบว่ารัฐบาลไทยมีข้าวเหลือค้างอยู่มาก
และจำเป็นต้องระบายออกไปสู่ตลาดเพราะไม่อาจแบกรับต้นทุนได้อีกต่อไป ก็ทำให้ราคาข้าวยิ่งตกต่ำลงไปอีก
ที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆอันเกิดจากมาตรการบางส่วนของนโยบายจำนำข้าว หากดูลึกลงไปในกระบวนการปฏิบัติก็จะพบต่อไปว่ารัฐบาลชุดนี้ไร้ความสามารถอย่างสิ้นเชิงในการสร้างประสิทธิผลให้เกิดขึ้นได้ ตรงกันข้ามกลับทำให้เกิดการทุจริตเกิดขึ้นในทุกขั้นตอนของการปฏิบัติ
การทุจริตในการลงทะเบียนการเพาะปลูกข้าวเพราะจำนวนพื้นที่ปลูกข้าวที่ผู้ลงทะเบียนมาแจ้งเมื่อนำมารวมกันแล้วปรากฎว่ามีมากกว่าพื้นที่ของประเทศไทยทั้งประเทศ กรณีแบบนี้สะท้อนว่ามีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มสวมสิทธิ์ชาวนา
มีการทำใบประทวนปลอม พอได้สิทธิมาก็เอาข้าวไปขายทั้งที่มีข้าวจริงและไม่มีข้าวและยังมีการลักลอบนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาขายในประเทศไทยซึ่งราคาจำนำสูงกว่าราคาตลาดของประเทศเหล่านั้น แต่รัฐบาลไม่ทราบและไม่มีปัญญาจัดการใดๆ ทำทีส่งรัฐมนตรีบางคนไปตรวจสอบก็รายงานว่าไม่พบการทุจริตใดๆ
ชาวนาน้อยมาก และพบการทุจริตในทุกขั้นตอนของการนำนโยบายจำนำข้าวไปปฏิบัติ ปปช.เสนอให้รัฐบาลยุตินโยบายนี้เสีย เพราะสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศอย่างมหาศาล แต่รัฐบาลก็เฉยเมยไม่สนใจใยดีแต่ประการใด
นโยบายจำนำข้าวเป็นเพียงหนึ่งในหลายนโยบายของรัฐบาลที่สะท้อนให้เห็นถึงการมีปัญญาที่เบาบางของผู้นำประเทศ ส่วนนโยบายอื่นๆที่คล้ายคลึงกัน เช่น
นโยบายการจัดการน้ำ
นโยบายแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
มาตรการขึ้นค่าแรงสามร้อยบาทต่อวัน
มาตรการยกระดับราคายางโดยการให้ตัดโค่นต้นยางแสนต้น เป็นต้น
นอกจากนโยบายแล้ว
เรื่องที่เราจะดูได้ว่าผู้นำมีปัญญามากเพียงใดก็คือ การตอบคำสัมภาษณ์ที่ไม่มีการเตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้า สำหรับผู้นำรัฐบาลชุดนี้ การตอบคำถามของเธอมีอยู่
2 ประเภทหลักคือ ประเภทแรกเป็นคำถามที่เธอตอบไม่ได้
ดังนั้นจึงใช้การเงียบและการเดินหนีนักข่าว
ดังที่เกิดขึ้นในวันที่ 28 ส.ค. 2555 เธอตอบคำถามไม่ได้หลายคำถาม เช่น
คำถามการย้ายนายทหารระดับสูงของ รมว.กลาโหม นักข่าวถามว่า “หากมีอะไรเกิดขึ้นตามมา
รมว.กลาโหมต้องเป็นผู้รับผิดขอบเองหรือไม่” หรือ คำถามเกี่ยวกับภัยแล้ง
“ภัยแล้งเกิดจากการระบายน้ำออกจากเขื่อนมากเกินไปหรือเปล่า”
ประเภทที่สอง
เป็นคำถามที่เธอตอบไม่ตรงประเด็นและปราศจากเนื้อหาสาระทั้งข้อมูลและเหตุผล
เช่น เมื่อนักข่าวถามว่า คิดว่าการโยกย้ายทหารจะมีผลกระทบต่อบรรยากาศการทำงานของรัฐบาลหรือไม่ ผู้นำรัฐบาลตอบว่า
“ได้เน้นย้ำกระทรวงกลาโหมไปแล้วเพื่อให้เกิดการทำงาน และให้
พล.อ.อ.สุกำพลชี้แจงให้ทราบ”
คำตอบของเธอห่างไกลจากคำถามมาก เพราะคำถามเป็นเรื่องที่ให้เธอช่วยประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการกระทำของ
รมว. กลาโหม ที่มีต่อการทำงานของรัฐบาล แต่เธอกลับตอบไปว่าได้ย้ำและให้ รมว.
กลาโหมชี้แจง
นอกจากจะมีความเบาทางปัญญาแล้ว ผู้นำรัฐบาลชุดนี้ยังบริหารประเทศโดยไร้คุณธรรมและจริยธรรมอย่างปราศจากความละอาย ดังเห็นได้จากการที่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง
รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังถึงกับประกาศต่อสาธารณะอย่างภาคภูมิใจว่า เขาบริหารประเทศโดยการโกหก และได้รับอนุญาตให้โกหก
หากผู้บริหารบริหารประเทศมีความภาคภูมิใจต่อการกระทำที่ไร้คุณธรรมและจริยธรรมเสียแล้ว
ก็เป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความเสื่อมทรามของจิตใจที่ดำรงอยู่กับพวกเขาเหล่านั้น
และหากให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้บริหารประเทศต่อไป อีกไม่นานคุณธรรมของสังคมก็คงจะถูกกัดกร่อน
จนหมดสิ้น แผ่นดินก็จะเต็มไปด้วยผู้คนที่ยึดการโกหกเป็นสรณะ
ประเทศไทยในยุคหลายปีมานี้ประสบกับความเสื่อมเรื้อรัง
เพราะคุณสมบัติของบรรดาผู้บริหารประเทศ
หากไม่โง่เขลาเบาปัญญา และไร้คุณธรรม จริยธรรม ดังที่เป็นอยู่ ก็เป็นผู้ที่ลุแก่อำนาจ นิยมใช้ความรุนแรง ป่าเถื่อน ข่มขู่
คุกคามประชาชนเป็นเนืองนิจ
คงไม่มีคำตอบสำเร็จรูปว่าประชาชนจะทำอย่างไร
ในการขจัดผู้บริหารประเทศซึ่งเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นเหตุแห่งความทุกข์ของสังคม
ประชาชนก็คงต้องคิดแสวงหามรรคาร่วมกันในการขจัดทุกข์ให้เบาบางลงไป
มิเช่นนั้นในอนาคตเราอาจเสียใจที่ยังมีชีวิตอยู่และเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกหลานของเรา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น