พื้นที่อันว่างเปล่าของประชาธิปไตย
พิชาย
รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ประชาธิปไตยเป็นวาทกรรมหลักทางการเมืองของโลกยุคสมัยใหม่
เป็นลัทธิการเมืองที่ถูกทำให้มีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นสิ่งที่ควรบูชา โดยใช้มีฐานค้ำยันอันสำคัญที่เรียกว่า
“ประชาชน” แต่ทว่าคำว่าประชาชนเป็นคำที่มีนามธรรมสูงและไม่อาจระบุอย่างเฉพาะเจาะจงเหมือนกลุ่มอื่นๆในสังคมได้
ด้วยเหตุนี้ “ประชาชน” จึงเป็นพื้นที่อันว่างเปล่า
ที่แต่ละกลุ่มในสังคมต่างเข้าไปช่วงชิงและใช้ประโยชน์เพื่อตนเอง
ความเชื่อหลักของลัทธิประชาธิปไตยที่มักมีการอ้างว่าดีกว่าลัทธิการเมืองแบบอื่นๆคือ
การใช้อำนาจการเมืองในการกำหนดนโยบายและการนำนโยบายไปปฏิบัติถูกกำหนดโดยตรงจากเสียงของประชาชน
และเชื่อว่าเมื่อผู้ใช้อำนาจการเมืองหรือรัฐบาลมาจากประชาชนแล้ว
จะใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งมวลอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม
ในสายตาของอริสโตเติล ประชาธิปไตยอาจเป็นที่ยอมรับได้ตราบเท่าที่รัฐบาลยังยึดหลักนิติธรรมในการปกครองสังคม
อย่างไรก็ตาม การปกครองโดยคนหมู่มากที่ไร้การควบคุมและตรวจสอบไม่แตกต่างจากการปกครองโดยทรราชแม้แต่น้อย
การปกครองโดยคำสั่งและการใช้อำนาจไม่เหมาะสมสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในกลุ่มชนชั้นสูงและสามัญชนที่เป็นรัฐบาล
ทั้งสองกลุ่มสามารถแสวงหาผลประโยชน์และอภิสิทธิ์ทางการเมืองได้พอๆกันโดยอ้างหลักการประชาธิปไตย
อำนาจที่ไร้การตรวจสอบจึงทำให้ปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งสามารถเล่นเกมการเมืองและปั่นกระแสความคิดเห็นของคนในสังคมได้อย่างง่ายดาย
สังคมไทยช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาเป็นตัวอย่างที่ดีของ
“ระบอบประชาธิปไตยที่ไร้การตรวจสอบ” ภายใต้ระบอบทักษิณ การกำหนดนโยบาย คำสั่ง
และการใช้อำนาจในทางที่ผิดเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างต่อเนื่องจนเป็นแบบแผนการปฏิบัติทางการเมือง การปั่นความคิดผู้คนเพื่อสร้างกระแสนิยมเกิดขึ้นอย่างเข้มข้นและเป็นระบบ
โดยอาศัยสื่อมวลชน หน่วยงานราชการ
และกลไกหัวคะแนนอันเป็นเครื่องจักรทางการเมืองซึ่งดำเนินงานภายใต้เครือข่ายระบบอุปถัมภ์ในพื้นที่เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติ
หลักการประชาธิปไตยกลายเป็นข้ออ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้อำนาจกดขี่และฉ้อฉล
ความไร้ประสิทธิผลและความหายนะจึงเกิดขึ้นตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากพิจารณาข้อมูลเชิงประจักษ์และประสบการณ์ที่ผ่านมาของประชาธิปไตยในสังคมไทยพบว่า
มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับความมืดดำของสังคมหลายเรื่อง เช่น การทุจริตประพฤติมิชอบ
การเสียชีวิตของประชาชน
การก่อการร้าย
ความขัดแย้งที่รุนแรง
ความเสื่อมทรามของวัฒนธรรมและศีลธรรม
การทรยศต่อชาติ และความไร้เหตุผล
ประชาธิปไตยจึงเป็นระบอบการปกครองที่มีความเสี่ยงและนำไปสู่สถานการณ์ที่เป็นอันตรายต่อสังคมไม่น้อย ความเสี่ยงที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการถูกทำให้กลายเป็นการปกครองที่อยู่ภายใต้การปลุกระดมของนักฉวยโอกาสทางการเมืองผู้อาศัยวาทศิลป์เป็นใบเบิกทางสู่อำนาจ
นักปรัชญาการเมืองผู้เรืองนามอย่างอเล็กซิส
เดอ ต็อกเกอะวิลล์ ตั้งข้อสังเกตอยู่บ่อยครั้งว่า หลักการ “เสียงส่วนใหญ่”ของระบอบประชาธิปไตยมีลักษณะเหมือนกับระบอบอภิชนาธิปไตยหรือการปกครองโดยคนชั้นสูง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือทั้งสองระบอบมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งทำหน้าที่ปกครองประเทศเหมือนกัน
ระบอบหนึ่ง (ประชาธิปไตย) มี “เสียงส่วนใหญ่”
เป็นผู้ปกครอง ขณะที่อีกระบอบหนึ่ง (อภิชนาธิปไตย) มี “กลุ่มชนชั้นสูง” เป็นผู้ปกครอง
สิ่งที่แตกต่างคือระบอบอภิชนาธิปไตยประกอบด้วยบุคคลที่เป็นจริงซึ่งสามารถระบุตัวตนได้ชัดเจนว่ามีใครบ้างที่อยู่ในกลุ่มนี้
แต่ระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นการปกครองโดยเสียงส่วนใหญ่อันมีนัยว่าเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งมวล ทว่าคำว่า “ประชาชน” มีความเป็น “นามธรรม”
สูงยิ่งและสูงกว่าคำว่า “เสียงส่วนใหญ่” ด้วยซ้ำไป และไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าประชาชนประกอบด้วยใครบ้าง
เพราะคนที่ทำหน้าที่ปกครองหรือคนที่ไม่ได้ทำหน้าที่ปกครองต่างก็เป็นประชาชนเหมือนกัน ในแง่นี้ประชาชนจึงเป็นทั้งผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง เป็นทั้งผู้กดขี่และผู้ถูกกดขี่ สิ่งใดที่ไม่อาจแยกแยะความแตกต่างได้จากสิ่งอื่น
สิ่งนั้นย่อมมีปัญหาของการดำรงอยู่
นักคิดอย่าง โจเซฟ ชุมปีเตอร์ได้ชี้ว่า ประชาชนในฐานะที่เป็นประชาชนทั้งมวลมิได้ปกครอง
มิได้แสดงออกความคิดเห็น มิได้ปฏิบัติการทางนโยบายและการเมือง
และมิได้รับผลสืบเนื่องจากการตัดสินใจทางการเมืองโดยตรง
ดังที่กลุ่มชนชั้นสูงหรือกษัตริย์อันเป็นผู้ปกครองได้ทำและได้รับ ด้วยปรากฏการณ์ดั่งนี้เอง จุดศูนย์กลางของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยคือ
“ความว่างเปล่าจากประชาชนตัวเป็นๆ” หรือ เป็น
”พื้นที่ว่างเปล่า”ที่มีกลุ่มบุคคลหนึ่งเข้าไปสวมแทน
ซึ่งบุคคลเหล่านั้นอาจถูกแต่งตั้งหรืออาจตั้งตัวเองขึ้นมาเป็นผู้แทนของประชาชนก็ได้
ประชาชนที่เป็นนามธรรมหรือสภาวะพื้นที่อันว่างเปล่านี้
ไม่เพียงแต่เปิดโอกาสและความเป็นไปได้แก่นักปลุกระดมซึ่งเป็นนักการเมืองที่อาศัยประชานิยมขึ้นสู่อำนาจเท่านั้น
ยังเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองใช้คำว่า
“ประชาธิปไตย” เป็นเครื่องมือในการบังหน้าหรือเป็นเสื้อคลุมให้แก่การปกครองแบบ
“อำนาจนิยม”ของพวกเขาอีกด้วย
แนวความคิดเกี่ยวกับ “ประชาชน” จึงเป็นความคิดที่ปราศจากแก่นแท้และไร้เสถียรภาพ ลักษณะที่ปราศจากแก่นแท้คือ
เพราะไม่อาจจะระบุได้ว่ามีความครอบคลุมปัจเจกบุคคลใดบ้างที่เป็นการเฉพาะเจาะจง
ดังนั้นนักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยซึ่งประกาศว่า
“เป็นตัวแทนประชาชน” อันที่จริงแล้ว เขาเป็นตัวแทนใครกันแน่
บางคนอาจพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นตัวแทนกลุ่มที่เลือกเขามา แต่เกือบทั้งหมดมิได้พูดเช่นนั้น สิ่งที่นักการเมืองพูดเสมออย่างซ้ำซากคือ พวกเขาเป็นตัวแทนประชาชน
ซึ่งหมายความว่าพวกเขาได้เอาตัวเองเข้าไปสวมพื้นที่อันว่างเปล่า
เพราะระบอบประชาธิปไตยเชื่อว่าพื้นที่อันว่างเปล่านี้เป็นรากฐานอำนาจการเมืองที่สำคัญนั่นเอง
ในขณะเดียวกันสาธารณะมีความรังเกียจความว่างเปล่า
และมีแนวโน้มที่จะผูกโยงพื้นที่ของประชาธิปไตยกับประชาชนที่สามารถระบุตัวตนได้ สิ่งนี้จึงเป็นการอธิบายประการหนึ่งสำหรับการให้ความสนใจอย่างล้นเกินกับการอุทิศชีวิตของผู้ที่ได้รับเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยของบางประเทศ
ด้วยเหตุที่พวกเขาถูกรับรู้และคาดหวังว่าต้องกระทำและตัดสินใจทางการเมืองให้เป็นหนึ่งเดียวกับเจตจำนงของประชาชนนั่นเอง แต่ทว่าเจตจำนงของประชาชนที่พวกเขาอ้างต่อสาธารณะนั้น
โดยเนื้อแท้คือเจตจำนงของพวกเขานั่นเอง
นักปลุกระดมหรือนักฉวยโอกาสทางการเมืองมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่งในการฉวยประโยชน์จากแบบแผนเช่นนี้ของประชาธิปไตย
พวกเขาท่องว่า “ประชาชน”
เสมือนหนึ่งคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ของพ่อมดหมอผีเพื่อใช้เป็นหนทางในการเข้าสู่อำนาจการเมือง
และใช้ป้องกันการตรวจสอบจากสาธารณะ
ขณะเดียวกันนักการเมืองบางกลุ่มที่มีภาวะจิตแบบอำนาจนิยม
และมีพฤติกรรมแบบนักอำนาจนิยมก็ใช้ “ประชาชน” เป็นยุทธศาสตร์เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่การปกครองแบบอำนาจนิยมของพวกเขา
ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลกนั่นเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น