ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

วิกฤติความชอบธรรมของประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง

วิกฤติความชอบธรรมของประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งและสัญญาณแห่งความยุ่งยาก

                                                                                                  พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

  
                   ระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งของประเทศไทยเผชิญวิกฤติความชอบธรรมอย่างรุนแรงเมื่อต้นปี 2557 การชุมนุมประท้วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ซึ่งดำเนินต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปี 2556 ได้ขยายตัวออกเป็นวงกว้าง แม้รัฐบาลช่วงนั้นประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรและประกาศการเลือกตั้งใหม่เพื่อแสวงหาความชอบธรรม แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งกระแสวิกฤติการณ์ให้ลดลงได้
                 การสูญสิ้นความชอบธรรมของรัฐบาลได้ขยายไปสู่ความสั่นคลอนต่อระบบการเมืองแบบเลือกตั้ง  ประชาชนไม่เพียงแต่ต่อต้านรัฐบาลเท่านั้น ยังต่อต้านการเลือกตั้งอีกด้วย และนั่นหมายถึงการสูญสิ้นความชอบธรรมอย่างถึงที่สุดของระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง
                ปัญหาของระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งของไทยมีมาอย่างยาวนาน สังคมได้พยายามแก้ไขหลายครั้งหลายครา ตั้งแต่การผลักดันให้เกิดการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่หลังเหตุการณ์พฤษภาคมทมิฬ พ.ศ. 2535  จนนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2540 
    การเขียนรัฐธรรมนูญในครั้งนั้นมีการออกแบบเชิงสถาบันโดยใช้แนวทางรัฐธรรมนูญนิยมอันได้แก่
       1. การร่างรัฐธรรมนูญ ใช้การวิเคราะห์สภาพสังคมวิทยาการเมืองเพื่อให้เข้าใจสภาพสังคมการเมืองอย่างรอบด้านและลุ่มลึก และนำมาเป็นพื้นฐานในการร่างรัฐธรรมนูญ
      2. มีการใช้ผู้ร่างที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมที่ไม่ใช่นักการเมือง เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน 
      3. มีการสร้างสถาบันทางการเมืองใหม่ๆขึ้นมาเพื่อควบคุมและจัดการเลือกตั้ง ให้สุจริตและเที่ยงธรรม 
       4. มีการจัดตั้งองค์กรอิสระซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐให้เป็นไปอย่างสุจริต เที่ยงธรรม และเคารพสิทธิมนุษยชน
                5.  มีการกำหนดแนวทางให้มีพรรคการเมืองและรัฐบาลที่เข้มแข็ง เพื่อให้การเมื่องมีเสถียรภาพและประสิทธิภาพ

    เมื่อมีการนำรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ไปปฏิบัติ ความสำเร็จที่เด่นชัดเป็นอนุกรมของการออกแบบเชิงโครงสร้างรัฐธรรมนูญปี 2540 ผนวกกับสภาพทางสังคมวิทยาแบบไทยซึ่งห่อหุ้มด้วยระบบอุปถัมภ์อันมีความเชื่อและค่านิยมแบบอำนาจนิยมเป็นรากฐาน คือ  

       ก.  การทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็งได้จริง  แต่ความเข้มแข็งของพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นมีความหมายเพียงแค่ว่าหัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคมีอำนาจเหนือสมาชิกพรรคได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หาได้มีความหมายว่าสมาชิกพรรคมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและการตัดสินใจทางการเมืองที่สำคัญของพรรคแต่อย่างใด  สมาชิกพรรคการเมืองยังคงไม่มีอนาจใดๆในการตัดสินใจเลือกและกำหนดว่าใครจะเป็นผู้สมัครในเขตเลือกตั้งของตนเอง
         ข. การมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพสูงและมีอำนาจมาก  แต่กลับใช้อำนาจในทางที่ผิด ลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของประชาชน  และละเมิดหลักนิติธรรม
         รัฐบาลของกลุ่มทุนชนชั้นนำทางการเมืองได้สถาปนาระบบอุปถัมภ์ขนาดใหญ่ขึ้นมาโดยใช้นโยบายประชานิยมซึ่งทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องพึ่งพาและขึ้นต่อรัฐบาลอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
     กลุ่มทุนชนชั้นนำทางการเมืองยังทำการกระชับอำนาจ โดยกวาดต้อนบรรดานักการเมืองให้เข้าไปอยู่ในสังกัดเพื่อความง่ายในการควบคุม และทำให้พรรคการเมืองหลายๆพรรคล่มสลายไป   
     ยิ่งกว่านั้นยังเข้าไปควบคุมบงการระบบราชการได้อย่างเบ็ดเสร็จโดยการสถาปนาระบบอำนาจแบบใหม่ขึ้นมา มีการออกแบบระบบการทำงานของหน่วยงานราชการใหม่โดยกำหนดมาตรวัด ตัวชี้วัดผลงาน และมุ่งเน้นสู่ผลลัพธ์โดยไม่คำนึงถึงวิธีการ 
       แต่แทนที่จะใช้ตัวชี้วัดผลงานเพื่อการพัฒนาระบบงานในการตอบสนองประชาชน กลับมีการใช้ตัวชี้วัดเป็นเครื่องมือเพื่อควบคุมการแต่งตั้งโยกย้าย และเล่นงานข้าราชการที่ไม่คล้อยตาม 
       ผลที่ตามมาคือทำให้การบริหารบุคคลเกิดความโกลาหลและการซื้อขายตำแหน่งราชการขยายออกไปอย่างกว้างขวาง
           ดุลอำนาจของสังคมไทยเกิดการแตกสลาย คุณธรรมและธรรมาภิบาลถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง 
        เมื่อสังคมเกิดความตระหนกต่อปัญหาดังกล่าว แรงตอบโต้จากฝ่ายประชาชนโดยเฉพาะชนชั้นกลางจึงก่อตัวขึ้นมา
       การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง
     แต่ทว่าชนชั้นนำของพรรคการเมืองได้อาศัยเปลือกของระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งห่อหุ้มตนเองเอาไว้  พลังของประชาชนจึงทำได้เพียงสั่นคลอนสถานภาพและความชอบธรรมของกลุ่มชนชั้นทางการเมืองเท่านั้น  มิสามารถโค่นล้มพวกเขาได้
     อย่างไรก็ตามด้วยสภาพสังคมวิทยาการเมืองของไทยซึ่งอำนาจของกองทัพยังเป็นที่ยอมรับของผู้คนส่วนใหญ่ ในท้ายที่สุดกองทัพก็ได้เข้ามายุติการใช้ระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งลงชั่วคราว
    ความพยายามปรับปรุงระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งครั้งแรกกระทำในปี 2550 ซึ่งมีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่โดยทำให้การตรวจสอบอำนาจของรัฐบาลทำได้ง่ายขึ้น  
    มีการปรับปรุงระบบการเลือกตั้งและที่มาของคณะกรรมการการเลือกตั้งเล็กน้อย ซึ่งไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาได้  ปัญหาเดิมยังคงดำรงอยู่ ขณะเดียวกันปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
    กลุ่มทุนชั้นนำทางการเมืองได้ใช้สภาพสังคมวิทยาการเมืองแบบระบบอุปถัมภ์ผสมผสานทั้งการใช้อำนาจ เงินตรา การสื่อสาร และวาทกรรมปลุกระดมแบ่งแยกคนในสังคมออกเป็นสองขั้วการเมือง 
      ใช้ความรุนแรงและกำลังอาวุธเพื่อทำร้ายและทำลายฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับตนเอง และไปถึงขั้นเข่นฆ่าฝ่ายตนเองเพื่อทำลายความชอบธรรมฝ่ายตรงข้าม
    เมื่อใดที่กลุ่มตนเองไม่ได้เป็นรัฐบาล มักจะมีการสร้างสถานการณ์จลาจลเผาบ้านเผาเมือง  สร้างความเสียหายแก่บ้านเมืองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในทำนอง “หากตัวกูไม่ได้ครอบครองอำนาจ ผู้อื่นอย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างสงบ”
    ความวิปลาสทางการเมืองเกิดหนักหน่วงยิ่งขึ้น  เมื่อนายทุนชนชั้นนำทางการเมืองได้ส่งผู้หญิงคนหนึ่งที่ไร้ประสบการณ์ทางการเมืองและไม่มีภูมิหลังในการทำงานเพื่อบ้านเมืองมาก่อน ซ้ำยังมีปัญหาเกี่ยวกับระบบความคิด การวิเคราะห์ และระบบการควบคุมอารมณ์ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี 
      ความหายนะของสังคมได้เพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง เพียงสองปีที่ดำรงตำแหน่งความวุ่นวายโกลาหลเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า  ระบบเศรษฐกิจข้าวไทยพังพินาศด้วยนโยบายจำนำข้าว 
    ระบบยุติธรรมถูกสั่นคลอนด้วยมีการพยายามออกกฎหมายนิรโทษกรรมอาชญากรผู้ทุจริตที่หนีคุกไปอยู่ต่างประเทศและผู้ก่อการร้ายเอาบ้านเผาเมือง
    และระบบรัฐสภาได้กลายเป็นเผด็จการเต็มรูปแบบ  ไม่มีการรับฟังหรือประนีประนอมกับเสียงส่วนน้อยใดๆทั้งสิ้น 
             แต่ที่ตลกร้ายคือ ทั้งหมดทั้งปวงเป็นกระบวนการที่นายทุนชนชั้นนำทางการเมืองกระทำ ส่งผลไปทำลายระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งที่พวกเขาใช้เป็นเครื่องมือและข้ออ้างในการครอบครองอำนาจทางการเมืองเสียเอง
          ปลายปี 2556 ต่อเนื่องจนไปถึงเกือบกลางปี 2557 ประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นกลางได้ผนึกพลังกันอย่างขนานใหญ่เพื่อขับไล่รัฐบาลนายทุนการเมือง  และเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองครั้งที่สอง
          การต่อสู้ของประชาชนได้ทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลลงไปอย่างสิ้นเชิง  จนรัฐบาลต้องประกาศยุบสภาเพื่อหวังจะใช้การเลือกตั้งที่ตนเองควบคุมได้เป็นกลไกในการสร้างความชอบธรรมขึ้นมาใหม่   
        แต่ทว่ารัฐบาลต้องฝันสลายเมื่อความต้องการของประชาชนพัฒนาไปในอีกระดับหนึ่งนั่นคือ การปฏิเสธระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง หรือ ปฏิเสธระบอบประชาธิปไตยที่ใช้การเลือกตั้งที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรมซึ่งมีการซื้อขายเสียงเข้าสู่อำนาจนั่นเอง 
        ข้อเรียกร้องของประชาชนเป็นสิ่งที่นายทุนชนชั้นนำทางการเมืองไทยมิอาจตอบสนองได้เนื่องจากพวกเขายังมิได้เกิดความสำนึกอย่างกระจ่างแจ้งว่าพวกเขาคือต้นเหตุของปัญหา 
     พวกเขามักจะโทษและโยนความผิดไปให้สิ่งที่พวกประดิษฐ์สร้างขึ้นมาในจินตนาการเอง เช่น อำมาตย์  หรือ ความเหลื่อมล้ำ 
            พวกเขาจึงดื้อรั้นไม่ยอมลงจากอำนาจและปฏิรูปอย่างสันติ   ซ้ำร้ายพวกเขาบางกลุ่มยังจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธอย่างผิดกฎหมายเพื่อใช้ในการก่อการร้าย ซุ่มยิงและวางระเบิดในที่ชุมนุมเพื่อสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก โดยคาดหวังให้ประชาชนเกิดความกลัวและไม่กล้าเข้าร่วมการชุมนุมต่อต้านพวกเขา 
              แต่การใช้ความรุนแรงตอบโต้ผู้ชุมนุมโดยรัฐบาลที่บอกว่าตนเองมาจากการเลือกตั้ง ทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น  จนพวกเขาและระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งสูญเสียความชอบธรรมลงไปอย่างสิ้นเชิง 
        น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะว่าหากพวกเขาเสียสละอำนาจก็อาจทำให้กระบวนการพัฒนาการของสังคมแตกต่างจากเส้นทางเดิมที่เกิดขึ้นได้  แต่เมื่อพวกเขาเลือกใช้ความรุนแรงต่อประชาชนจุดจบของพวกเขาจึงเกิดขึ้นตามแบบแผนเดิม
      เช่นเดียวกัน ความคิดของกลุ่มอำนาจในสังคมไทยอีกฝ่ายหนึ่งอย่างฝ่ายทหาร แม้ว่าบางส่วนจะมีการพัฒนาไปในบางระดับตามการพัฒนาของสังคม แต่กรอบความคิดใหญ่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
         แทนที่กลุ่มอำนาจฝ่ายทหารจะสนับสนุนฝ่ายประชาชนเพื่อดำเนินการสร้างการเปลี่ยนแปลง โดยให้ประชาชนนำแล้วพวกเขาสนับสนุนหรือเป็นฐานให้ประชาชน  พวกเขากลับอาศัยพลังของประชาชนเป็นฐานและฉกฉวยเป็นเงื่อนไขในการสถาปนาอำนาจนำทางการเมืองขึ้นมาเอง โดยยุติระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งตามกรอบคิดแบบเดิม อันได้แก่การยึดอำนาจหรือควบคุมอำนาจ แล้วแต่จะเรียกขานเอา
     เมื่อควบคุมอำนาจได้แล้ว ชนชั้นนำทางทหารพยายามประคองเสถียรภาพของสังคมและประสานกระแสความต้องการปฏิรูปการเมือง 
         การพยายามรักษาความมั่นคงสร้างความปลอดภัยเพื่อให้สังคมมีเสถียรภาพเป็นสิ่งหนึ่งที่ชนชั้นกลางต้องการ  เพราะว่าก่อนหน้าที่ทหารเข้าควบคุมอำนาจ สังคมไทยเสมือนหนึ่งตกอยู่ในสภาพกลียุค
        การวางระเบิดและการสังหารผู้ต่อต้านรัฐบาลเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย   เมื่อทหารเข้าควบคุมอำนาจก็ได้ดำเนินการจัดการกับกองกำลังติดอาวุธเหล่านั้นจนกระทั่งเกิดความสงบลงชั่วคราว อันยังความพึงพอใจแก่ชนชั้นกลางเป็นยิ่งนัก
     ด้านการปฏิรูปประเทศมีการแต่งตั้งคณะบุคคลเข้าไปดำเนินงานในสภาปฏิรูปแห่งชาติและคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ  ในส่วนของสภาปฏิรูปนั้นมีความหลากหลายของผู้คนมากพอสมควร แต่ทว่าอำนาจหน้าที่มีเพียงจำกัดเท่านั้น ทำได้เพียงศึกษาและเสนอแนะข้อคิดเห็นแก่องค์อำนาจทั้งหลายอันประกอบด้วย คสช. สนช. คณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ   แต่หากองค์อำนาจเหล่านั้นไม่เห็นด้วยข้อเสนอต่างๆก็เป็นเพียงกระดาษเปื้อนหมึกราคาแพงเท่านั้น 
       ในยามนี้ก็เริ่มปรากฏสัญญาณอย่างชัดเจนแล้วว่า สภาปฏิรูปแห่งชาติเป็นเพียงฉากประดับบริบทอำนาจเท่านั้น สิ่งที่เป็นตัวบ่งชี้อย่างชัดเจนคือ ข้อเสนอของคณะกรรมาธิการการเมืองของสปช. ถูกตอบโต้และปฏิเสธจากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรงและไม่ไว้หน้าใดๆทั้งสิ้น
    คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นชนชั้นนำทางวิชาการจึงเป็นองค์อำนาจที่มีพลังต่อการกำหนดทิศทางของการเมืองไทยในอนาคต องค์ประกอบหลักของผู้คนในคณะฯนี้เป็นนักกฎหมายเป็นส่วนใหญ่ ถัดไปเป็นนักรัฐศาสตร์ ส่วนที่เหลือประปรายผสมผสานกันไป
     ที่น่าสนใจก็คือคณะกรรมการร่างฯประกาศใช้แนวทางรัฐธรรมนูญนิยมที่จะต้องพิจารณาสภาพสังคมวิทยาการเมืองของสังคมไทยเป็นหลัก  แต่ดูเหมือนทั้งนักสังคมศาสตร์ นักพฤติกรรมศาสตร์ นักมานุษยวิทยา และนักประวัติศาสตร์แทบจะไม่มีอยู่ในคณะกรรมการฯชุดนี้ และไม่มีบทบาทอันสำคัญใดในการร่างรัฐธรรมนูญแม้แต่น้อย
    ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งคือนักกฎหมายและนักรัฐศาสตร์ที่มีบทบาทสำคัญอยู่ในคณะกรรมการร่างฯ ฉบับนี้ เป็นกลุ่มเดียวกับที่เคยมีบทบาทในการร่างรัฐธรรมนูญปี 2540  ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2540 ยังคงต้องตามแก้ไขกันยังไม่หมดไม่สิ้น 
        ผมเกรงว่าในอนาคตปัญหาใหม่ๆที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญที่กำลังร่างอยู่นี้อาจมีความซับซ้อนและรุนแรงยิ่งกว่าเดิม  ด้วยเหตุที่ว่ากรอบคิดหลักและวิธีการหลักของคณะผู้ร่างยังคงเป็นดุจเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ที่เปลี่ยนก็เป็นเพียงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆประเภทตัดโน่น เติมนี่ไปตามประสาเท่านั้นเอง
    สภาพสังคมวิทยาการเมืองในปัจจุบัน ความคิดทางการเมือง พฤติกรรม และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของชนชั้นกลางและชาวบ้านในยุคที่ผ่านการสั่งสมประสบการณ์ทางการเมืองช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ย่อมแตกต่างจากยุคก่อนปี 2540 และยุคก่อนปี 2530
        แต่หากคิดแบบฉาบฉวยก็จะเข้าใจว่ามีความคล้ายคลึงกัน ซึ่งจะนำไปสู่การสรุปที่คลาดเคลื่อนและนำไปสูการเขียนข้อเสนอหรือร่างรัฐธรรมนูญตามความคิดที่ผิดพลาดของตนเองได้
    หากชนชั้นนำทางทหารและวิชาการเอาแต่ความคิดของกลุ่มตนเองเป็นหลัก และไม่รับฟังความคิดที่แตกต่างจากกลุ่มอื่นๆในสังคมบ้างดังที่เป็นอยู่ในเวลานี้
  ผมเห็นว่าเป็นสัญญาณของความยุ่งยากและเป็นชนวนของปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ 
     
   
   

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิจารณ์หนังสือ การสร้างทฤษฎีฐานราก: แนวทางเชิงปฏิบัติผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ของ Kathy Charmaz. พิมพ์ในวารสารพัฒนาสังคม V 14. No. 2

บทวิจารณ์หนังสือ  พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต Kathy Charmaz  2006. Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis. London: SAGE   จำนวน  208  หน้า ความเป็นมาของทฤษฎีฐานราก ระเบียบวิธีทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) อุบัติขึ้นจากนักสังคมวิทยาสองคนคือ Barney G. Glaser และ Anselm L. Strauss ช่วงกลางทศวรรษ 1960s    ทั้งสองไปทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสภาวะกำลังตายและการตาย ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล    พวกเขาได้พัฒนายุทธศาสตร์เชิงระเบียบวิธีอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งทำให้นักสังคมศาสตร์สามารถนำไปประยุกต์ในการศึกษาเรื่องอื่นๆได้จำนวนมาก   ในปี 1967 Glaser และ Strauss  ได้เสนอระเบียบวิธีนี้เข้ามาสู่แวดวงวิชาการในหนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขา คือ The Discovery of Grounded Theory   ซึ่งทำให้การวิจัยเชิงคุณภาพรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ของระเบียบวิธี        ช่วงเวลาก่อนที่ Glaser และ Strauss เสนอระเบียบวิธีการวิจัยทฤษฎีฐานรากเป็นช่วงที่การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในสาขาสังคมวิทยากำลังประสบกับปัญหาทางระเบียบวิธีวิทยาอย่างหนักหน่วง   การวิจัยเชิงคุณ

ความผิดพลาดของมนุษย์ตามแนวคิดของ ฟรานซิส เบคอน

ความผิดพลาดของมนุษย์ : ชนเผ่า ถ้ำ ตลาด และโรงมหรสพ พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต เห็นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในระยะนี้  ยิ่งทำให้เห็นความจริงประการหนึ่งว่า ทะเลแห่งความมืดบอดของสังคมไทยนับวันจะขยายตัวออกไปมากขึ้น   และเกาะแห่งปัญญานับวันจะลดน้อยถอยลง  หากภาวะเช่นนี้ดำรงต่อไปนานเท่าไร  ก็ยิ่งทำให้ทะเลแห่งความมืดบอดมีโอกาสกลืนกินเกาะแห่งปัญญาจนหมดสิ้นในไม่ช้า  ผมไปอ่านงานของนักปรัชญาท่านหนึ่ง  เห็นว่ามีความน่าสนใจโดยเฉพาะการวิเคราะห์เกี่ยวกับความผิดพลาดทางปัญญาและการให้เหตุผลของมนุษย์   ซึ่งทำให้เราต้องนำมาทบทวน ระมัดระวัง จะได้ไม่ตกอยู่ในความผิดพลาดนั้น   เพื่อจะได้พัฒนาปัญญาของตนเองให้กระจ่างชัด และมีหนทางในการนำพาสังคมให้หลุดพ้นจากทะเลแห่งความมืดบอดต่อไป ฟรานซิส เบคอน นักปรัชญาชาวอังกฤษซึ่งมีชีวิตระหว่าง ค.ศ. 1561 ถึง 1626   วิเคราะห์จำแนกสาเหตุของความผิดพลาดในการใช้เหตุผลของมนุษย์ออกเป็นสี่แบบ  ได้แก่ ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของชนเผ่า ( Idols of the Tribe)    ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของถ้ำ ( Idols of the Cave)   ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของตลาด (Idols of the Market-place)   และความผิดพลาด

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คำถามประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการทำแท้งคือ เมื่อไรที่จะนับว่าชีวิตมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และ ณ จุดไหนที่สังคมควรจะเข้าไปดำเนินการปกป้องชีวิตที่กำลังก่อกำเนิด       ส่วนข้อถกเถียงเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับการทำแท้งมี ๒ ประเด็นหลักคือ  ประเด็นแรกคือ “คุณค่าของพื้นฐานแห่งชีวิต” ซึ่งมีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ยังไม่ได้กำเนิดมาดูโลก กับชีวิตของมารดา   ประเด็นที่สองคือ “พื้นฐานของเสรีภาพส่วนบุคคคล” ซึ่งเป็นสิทธิของมารดาเหนือร่างกายของตนเองในการให้กำเนิดและกำหนดชีวิต และประเด็นที่เป็นความขัดแย้งอีกประการคือแนวคิดเกี่ยวกับ “สิทธิสัมบูรณ์”  ระหว่างสิทธิของทารกในครรภ์ที่จะก่อตัวพัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษย์ กับสิทธิของมารดาในการควบคุมชีวิตและร่างกายของตนเอง ชีวิตมนุษย์เริ่มจากไหนและพัฒนาอย่างไร   ในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายขั้นตอนของการพัฒนาตัวอ่อนในครรภ์ในเป็นมนุษย์ ดังนี้ ๑.       ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นจากไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์จากอสุจิ หนึ่งเซลล์ของมนุษย์ผู้หนึ่งผสมกับเซลล์ของมนุษย์อีกผู้หนึ่ง กลายเป็นสองเซลล์และขยายเป็นสี่ และจากนั้นภายในหกวั