พหุวัฒนธรรมนิยม สิทธิชนกลุ่มน้อยและความสมานฉันท์
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
จากความขัดแย้งของสังคมไทยที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องอุดมการณ์ เรื่องเชื้อชาติและศาสนาในสามจังหวัดภาคใต้ และปัญหาแรงงานอพยพที่นับวันจะมีมากขึ้น ทำให้ผู้เขียนเห็นถึงความจำเป็นที่ต้องนำเสนอความคิดทางสังคมการเมืองซึ่งอาจนำไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายและการปฏิบัติเพื่อทำให้สังคมลดความขัดแย้ง สร้างการบูรณาการ และความสมานฉันท์อย่างเป็นระบบขึ้นมา เนื่องจากแนวความคิดนี้มีความยาวและต้องทำความเข้าใจในหลายมิติ ผู้เขียนพยามยามนำเสนอให้ง่ายต่อการอ่านและการเข้าใจ
พหุวัฒนธรรมนิยม(multiculturalism)เป็นแนวคิดคู่แข่งทางวิชาการและนโยบายของลัทธิชาตินิยม (nationalism) นักวิชาการเริ่มใช้คำนี้ประมาณทศวรรษ 1960 เพื่ออธิบายนโยบายสาธารณะใหม่ ในประเทศแคนาดา ต่อมาขยายไปสู่ประเทศออสเตรเลีย การพัฒนาการของแนวคิดนี้เป็นการเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยของรัฐบาลเพื่อเปลี่ยนแปลงนโยบายการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม(assimilation) ไปสู่นโยบายสังคมพหุวัฒนธรรม
นโยบายผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมทำให้วัฒนธรรมของชนส่วนน้อยสูญสลายจนกระทั่งกลมกลืนไปกับวัฒนธรรมของชนส่วนใหญ่ ขณะที่นโยบายพหุวัฒนธรรมเน้นการยอมรับ การอยู่ร่วมกัน และการบูรณาของความหลากหลายทางวัฒนธรรมของแต่ละชนชาติภายในประเทศเดียวกัน
คำว่า พหุวัฒนธรรมนิยม ได้เข้าไปสู่ประเทศสหรัฐอเมริกาในทศวรรษที่ 1980 ก่อให้เกิดการถกเถียงทางวิชาการอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะนโยบายด้านการศึกษา ประเด็นหลักคือการศึกษาของอเมริกาควรตอบสนองต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างไร ต่อมาพหุวัฒนธรรมนิยมใช้ในการอธิบายความหลากหลายของเชื้อชาติ และแสดงจุดยืนปฏิเสธการผสมกลมกลืนและการหลอมรวมของวัฒนธรรมหลัก ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมรับความห่างเหินและความเป็นลักษณะพิเศษของแต่ละวัฒนธรรม
อย่างไรก็ตามในโลกของความเป็นจริง จุดยืนของพหุวัฒนธรรมนิยมเองหาได้มีเพียงจุดยืนเดียว นักวิชาการบางกลุ่มเห็นว่า สิ่งที่จำเป็นต่อการเป็นพหุวัฒนธรรมนิยมคือการเปลี่ยนแปลงสถาบันทางการเมืองและสังคมในระดับไม่มากนัก เพื่อช่วยรักษาวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยให้ดำรงอยู่ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษาหรือประเพณีต่างๆ ขณะที่บางคนเห็นต่างว่า การเป็นพหุวัฒนธรรมนิยมนั้นต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างรอบด้านและลึกซึ้ง เพื่อให้สังคมสมัยใหม่กลายเป็นสังคมที่ขจัดลัทธิเชื้อชาตินิยมหรือลัทธิคลั่งชาติให้หมดไป โดยเน้นการส่งเสริม กล่อมเกลา และปลูกฝังผู้คนในสังคมให้ยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรม
แต่ถ้าหากพหุวัฒนธรรมนิยมคือวิถีในการผสานความแตกต่าง คำถามหนึ่งก็ยังคงดำรงอยู่ นั่นคือจะประสานความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมอย่างไร ถ้าหากสังคมพหุวัฒนธรรมคือสังคมที่มีความแตกต่างทางศาสนา วัฒนธรรมและภาษา และผู้คนสามารถดำรงอยู่โดยปราศจากการตกอยู่ภายใต้การครอบงำของกลุ่มอื่น หรือต่อกลุ่มชนส่วนใหญ่ การดำรงอยู่เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร และอะไรคือหลักการพื้นฐานที่ใช้ในการอธิบายสังคมเช่นนี้
ประเด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเพราะสังคมมีสองด้านที่อยู่ร่วมกัน ด้านหนึ่งสังคมมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องมีเอกภาพด้วย จึงจะสามารถดำรงอยู่ได้ โดยเฉพาะหากโลกยังไม่เป็นโลกที่ปราศจากพรมแดนซึ่งประชาชนทุกประเทศสามารถเดินทางไปที่ใดก็ได้อย่างมีเสรีภาพและปราศจากการตกอยู่ภายใต้การบังคับของประเทศใดประเทศหนึ่ง
ดังนั้นสังคมพหุนิยมก็ยังคงต้องเป็นสังคมที่มีการสถาปนาสถาบันพื้นฐานที่ตัดสินใจว่า สังคมควรจะใช้ภาษาอะไรเป็นภาษาราชการ อะไรคือลักษณะของความเป็นชาติ และอะไรเป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัยว่าใครเป็นพลเมือง โดยนัยนี้จึงทำให้เกิดคำถามว่า “พหุวัฒนธรรมนิยม สามารถนำไปไช้ในเชิงนโยบายและการปฏิบัติการทางสังคมได้จริงหรือไม่”
การพัฒนาแนวคิดพหุวัฒนธรรมนิยมในรูปแบบการเป็นทฤษฎีอย่างเป็นระบบ เกิดขึ้นครั้งแรกโดย วิล คิมลิคคา (Will Kymlicka) ใน ค.ศ. 1989 จากนั้นก็ได้มีการพัฒนาทฤษฎีนี้อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน แรงดลใจที่ทำให้ คิมลิคคา พัฒนาทฤษฎีพหุวัฒนธรรมนิยมคือ ความไม่พึงพอใจในการอธิบายเรื่องสิทธิของชนกลุ่มน้อยของทฤษฎีการเมืองแบบเสรีนิยมในยุคหลังสงครามเย็น
คิมลิคคาเห็นว่าฐานคติของเสรีนิยมเกี่ยวกับการแก้ปัญหาชนชาติส่วนน้อยโดยการสนับสนุนสิทธิของปัจเจกชนในระดับพื้นฐานเป็นสิ่งที่ผิดพลาด เช่นเดียวกันกับกลุ่มศาสนาส่วนน้อยซึ่งได้รับการปกป้องโดยการแยกกิจกรรมทางศาสนาออกจากรัฐ และส่งเสริมหลักคิดเรื่องเสรีภาพในการนับถือศาสนา แนวคิดเสรีนิยมเชื่อว่าอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ควรจะได้รับการปกป้องโดยการให้เสรีภาพในการแสดงออกในวิถีชีวิตของปัจเจกชน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่รัฐจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวแต่ประการใด และยังระบุว่ารัฐไม่ควรทำทั้งในเรื่องการต่อต้านคัดค้าน หรือการสนับสนุนส่งเสริมเสรีภาพของประชาชนในการแสดงออกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมใด แต่ควรตอบสนองแบบ “ละเลยอย่างกรุณา” คือปล่อยให้แต่ละกลุ่มใช้ภาษาตนเอง นุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าตามประเพณี จัดกิจกรรมและพิธีกรรมตามวัฒนธรรมได้อย่างอิสระโดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวใดทั้งสิ้น แต่ต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย แต่ในทัศนะของคิมลิคคาการละเลยอย่างกรุณาเป็นทางเลือกที่เป็นไปไม่ได้ คำถามคือทำไม
คิมลิคคา อธิบายว่าสิทธิของชนส่วนน้อยไม่ควรอยู่ภายใต้สิทธิมนุษยชน เพราะว่ามาตรฐานของสิทธิมนุษยชนไม่สามารถแก้ปัญหาที่สำคัญที่สุดและคำถามที่ถกเถียงกันมากที่สุดเกี่ยวกับวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อย อันประกอบด้วยคำถามที่ว่าภาษาใดที่ควรได้รับการยอมรับในสภาผู้แทนราษฎร ในหน่วยงานราชการ และในศาลยุติธรรม ควรหรือไม่ที่ชนชาติหรือชาติพันธุ์ใดจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณด้านการศึกษาโดยที่เขาสามารถใช้ภาษาถิ่นในระบบการศึกษาได้ เช่น ควรสนับสนุนงบประมาณโรงเรียนในจังหวัดเชียงรายที่ใช้ภาษาม้งเป็นภาษาที่ใช้ในการสอนหรือไม่ หรือควรสนับสนุนงบประมาณแก่โรงเรียนที่ใช้ภาษายาวีเป็นภาษาที่ใช้ในการสอนนักเรียนในสามจังหวัดภาคใต้ของประเทศไทยหรือไม่ ควรมีการกำหนดเขตแดนภายในให้แก่ชนส่วนน้อยหรือไม่ ควรรักษาพื้นที่ซึ่งชนกลุ่มน้อยอยู่กันมาอย่างยาวนานเพื่อประโยชน์ของชนกลุ่มน้อยหรือไม่ หรือ การบูรณาการทางวัฒนธรรมระดับใดที่เป็นเงื่อนไขสำหรับผู้อพยพในการขอแปลงสัญชาติ
แนวคิดสิทธิมนุษยชนไม่ได้ให้แนวทางเชิงนโนยบายใดๆที่จะชี้นำการแก้ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นได้ และถ้าหากว่าสังคมใช้แนวคิดสิทธิมนุษยชนเพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้รับการเสริมด้วยแนวคิดสิทธิของชนกลุ่มน้อย ทฤษฎีสิทธิมนุษยชนจะไม่ทำให้เราสามารถหยิบยกสิ่งที่เป็นประเด็นซึ่งกดดันและกำลังเป็นปัญหาของหลายประเทศในโลกซึ่งขัดแย้งกันเกี่ยวกับความเป็นอิสระของท้องถิ่น การใช้ภาษา และการใช้ทรัพยากร ประเด็นปัญหาเหล่านี้กำลังคุกคามความสมานฉันท์ของสังคมและหากมีการกำหนดนโยบายที่ไม่ถูกต้องอาจนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงระหว่างกลุ่มชนส่วนน้อยกับกลุ่มชนส่วนใหญ่ในสังคมได้
เป้าประสงค์ของคิมลิคคาคือการพัฒนาทฤษฎีสิทธิชนกลุ่มน้อยแบบเสรีนิยมซึ่งอธิบายแนวทางการดำรงอยู่ร่วมกันของหลักสิทธิชนส่วนน้อยกับหลักสิทธิมนุษยชน และข้อจำกัดของแนวคิดสิทธิชนส่วนน้อยที่อยู่ภายใต้หลักการของเสรีภาพส่วนบุคคล ประชาธิปไตย และความยุติธรรมทางสังคม
คิมลิคคาได้จำแนกสิทธิของชนกลุ่มน้อยออกเป็นสามประการ 1) สิทธิในการปกครองตนเอง 2) สิทธิแห่งความหลากหลายของชาติพันธุ์ และ 3) สิทธิในการมีผู้แทนพิเศษในรัฐสภา
สิทธิในการปกครองตนเองมีเงื่อนไขสำคัญคือการแบ่งอำนาจให้กับชนกลุ่มน้อยที่เป็นกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิม แต่สิทธินี้จะไม่ให้กับชนกลุ่มน้อยอื่นๆที่อพยพมาอยู่ในประเทศนั้นๆในภายหลัง เช่น ประเทศไทยอาจให้สิทธิในการปกครองตนเองของชนพื้นเมืองเชื้อชาติมลายู แต่ไม่ให้สิทธินี้แก่ชาวมอญที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย เป็นต้น
อย่างไรก็ตามชนกลุ่มน้อยอื่นๆที่ไม่ใช่ชนพื้นเมืองจะได้รับสิทธิแห่งความหลากหลายของชาติพันธุ์ซึ่งมีหลักประกันว่าจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐและได้รับการปกป้องจากกฎหมายสำหรับการดำรงชีวิตตามประเพณีหรือวัฒนธรรมของตน และจะได้รับสิทธิในการมีผู้แทนไปทำหน้าที่ในรัฐสภาซึ่งเป็นหลักประกันสำหรับการมีตัวแทนในสถาบันนิติบัญญัติ
คิมลิคคาจำแนกชนกลุ่มน้อยออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือชนกลุ่มน้อยแห่งชาติ(national minorities) และชนกลุ่มน้อยเชิงชาติพันธุ์(ethnic minorities)
ชนกลุ่มน้อยแห่งชาติ คือประชาชนซึ่งในอดีตมีการปกครองตนเอง มีวัฒนธรรมผนึกรวมในส่วนหนึ่งของรัฐชาติในระดับกว้าง เช่น ชาวอินเดียแดง และชาวฮาวายในประเทศสหรัฐอเมริกา ชาวเมารีในประเทศนิวซีแลนด์ และ ชาวอบอริจินี่ในประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น ขณะที่ “ชนกลุ่มน้อยเชิงชาติพันธุ์”คือกลุ่มประชาชนที่อพยพเข้ามาอยู่ในสังคมใหม่และไม่ปรารถนาที่จะปกครองตนเอง แต่กระนั้นก็ตามพวกเขามีความปรารถนาในการยึดถือประเพณีและอัตลักษณ์ทางเชื้อชาติของตนเอง
รัฐสมัยใหม่อาจมีพหุวัฒนธรรมนิยมในหนึ่งหรือสองนัย กล่าวคือเป็นทั้งพหุชาติเนื่องจากมีสมาชิกของรัฐเป็นประชาชนของหลากหลายประเทศ เช่นประเทศแคนาดา มีกลุ่มคนหลายประเทศอพยพมาอยู่ร่วมกัน ทั้งจากประเทศจีน เวียตนาม และฝรั่งเศส เป็นต้น และเป็นพหุชาติพันธุ์ด้วยเนื่องจากสมาชิกที่อพยพอยู่ในรัฐเดียวกันมาจากหลายประเทศที่มีเชื้อชาติแตกต่างกัน
ในทฤษฎีของคิมลิคกา ชนกลุ่มน้อยทั้งสองกลุ่มมีความชอบธรรมที่ใช้เป็นรากฐานของการอ้างสิทธิแตกต่างกัน ดังนั้น “ชนกลุ่มน้อยแห่งชาติ” จึงไม่ต้องหวาดหวั่นว่านโยบายพหุวัฒนธรรมนิยมจะไปลดทอนสถานภาพของพวกเขาให้กลายเป็นเสมือนกลุ่มผู้อพยพ เช่นเดียวกันกับพลเมืองอื่นของรัฐก็ไม่ต้องหวั่นเกรงว่า นโยบายพหุวัฒนธรรมนิยมจะมีนัยที่ทำให้กลุ่มผู้อพยพสามารถอ้างสิทธิความชอบธรรมในการปกครองตนเอง
หัวใจของทฤษฎีพหุวัฒนธรรมนิยมของคิมลิคกา คือ รูปแบบของชาตินิยม หรือ ชาตินิยมแบบเสรีนิยมจะต้องมีความชัดเจน คิมลิคกาเชื่อว่า ประเพณีของเสรีนิยมมีประวัติศาสตร์ของการให้ความสำคัญสิทธิของกลุ่มที่หลากหลาย มีหลักฐานอย่างชัดเจนว่า นักทฤษฎีเสรีนิยมเกือบทั้งหมดยอมรับว่าโลกประกอบด้วยรัฐที่แยกกันเป็นอิสระ และมีความเชื่อพื้นฐานที่เป็นปกติธรรมดาทั่วไปว่ารัฐเหล่านี้มีสิทธิในการตัดสินว่าจะให้ใครเข้ามาอยู่ในอาณาเขตเพื่อเยี่ยมเยียนชั่วคราว พักอาศัย หรือเป็นพลเมือง
ภายใต้หลักคิดนี้ ประเทศไทยในฐานะที่เป็นรัฐก็สามารถกำหนดได้ว่า จะอนุญาตบุคคลใดเข้าประเทศเพื่อเยี่ยมเยียนในฐานะนักท่องเที่ยว หรืออาศัยอยู่ชั่วคราวเพื่อการศึกษาหรือปฏิบัติหน้าที่ หรือเข้ามาทำงาน หรือแม้กระทั่งการให้สัญชาติแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งตามข้อบัญญัติที่รัฐกำหนดขึ้นมา ประเทศอื่นๆก็มีสิทธินี้เช่นเดียวกัน
คิมลิคกามีทัศนะเพิ่มเติมว่า แนวคิดเสรีนิยมแบบดั้งเดิมมีทัศนะว่า สิทธิของรัฐในการกำหนดว่าใครเป็นพลเมืองของตนเองตั้งอยู่บนหลักการเดียวกันซึ่งให้เหตุผลของความเป็นพลเมืองของกลุ่มที่หลากหลายภายในรัฐ ดังนั้นการยอมรับว่าใครเป็นพลเมือง ก็แสดงว่ารัฐยอมรับความหลากหลายของกลุ่มด้วย เช่น หากรัฐไทยยอมรับ นายกิม แซ่ลิ้ม เป็นพลเมือง รัฐก็ย่อมยอมรับกลุ่มเชื้อชาติจีน ในฐานะที่เป็นกลุ่มเชื้อชาติหนึ่งในสังคมไทย เช่นเดียวกัน หากรัฐยอมรับ นายมะแว ดือแม เป็นพลเมืองไทย รัฐก็ต้องยอมรับกลุ่มเชื้อชาติมาลายู ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของความหลากหลายในสังคมไทย
นั่นหมายความว่าความเป็นพลเมืองของรัฐในตัวของมันเองคือแนวความคิดความหลากหลายของกลุ่ม และเสรีนิยมคือทัศนะที่ยอมรับสิทธิของปัจเจกชนในฐานะที่เป็นสมาชิกของรัฐ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลสำหรับเสรีนิยมที่มีเจตนารมย์ยอมรับกลุ่มภายในรัฐ บทบาทหน้าที่หนึ่งของความเป็นกลุ่ม เช่นเดียวกับความเป็นรัฐ คือการดำรงอยู่เพื่อปกป้องสมาชิกเชิงวัฒนธรรมของมัน
ภายใต้วิธีคิดแบบเสรีนิยม รัฐไทยย่อมปกป้องบุคคลสัญชาติไทย เช่นเดียวกันกลุ่มเชื้อชาติจีนหรือสมาคมคนจีนในประเทศไทย ก็ย่อมปกป้องสิทธิของบุคคลที่เป็นสมาชิกเชิงวัฒนธรรมของกลุ่ม และเครือข่ายชาติพันธุ์ก็ย่อมปกป้องสมาชิกเชิงวัฒนธรรมของตนเอง
สิ่งสำคัญที่เสรีนิยมปกป้องคือเสรีภาพของปัจเจกชน แต่นี่ไม่ใช่เป็นเพียงเสรีภาพในเรื่องของภาษาและประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเสรีภาพที่เคลื่อนตัวรอบๆวัฒนธรรมของสังคม เพื่อแยกตนเองจากวัฒนธรรมกระแสหลัก และเลือกรูปแบบของวัฒนธรรมที่มีคุณค่าสูงสุดสำหรับตนเองเพื่อพัฒนาและรูปแบบวัฒนธรรมใดที่ปราศจากคุณค่าก็จะมิ้งไป
คิมลิคกาชี้ว่า วัฒนธรรมแห่งชาติคือวัฒนธรรมของสังคม และโลกนวสมัยคือการที่สังคมถูกแบ่งให้ไปสู่การจัดกลุ่มเชิงวัฒนธรรมของผู้คน สิ่งที่ “กลุ่มเชิงวัฒนธรรม” ให้กับสมาชิกคือ แบบแผนวัฒนธรรมอันเกี่ยวข้องกับวิถีคิดและการปฏิบัติที่มีความหมายต่อชีวิตมนุษย์ในทั่วทุกกิจกรรม ทั้งทางเศรษฐกิจ การศึกษาและศาสนา วัฒนธรรมนี้มีแนวโน้มถูกผนึกรวมภายใต้เขตแดนและตั้งอยู่บนการใช้ภาษาร่วมกัน กลุ่มเชิงวัฒนธรรมจึงสร้าง ”วัฒนธรรมของสังคม” เพราะว่าองค์ประกอบของมันไม่ใช่เพียงแต่ความทรงจำหรือคุณค่าร่วมของสมาชิกกลุ่มเท่านั้น ทว่ายังมีสถาบันที่ผลิตซ้ำแบบแผนความคิดและการปฏิบัติร่วมอยู่ด้วย วัฒนธรรมของสังคมแสดงออกอย่างชัดเจนในโรงเรียน สื่อมวลชน ระบบเศรษฐกิจ และระบบปกครองประเทศ
ชนกลุ่มน้อยแห่งชาติคือกลุ่มวัฒนธรรมของสังคม ซึ่งวัฒนธรรมของพวกเขาต่อสู้กับวัฒนธรรมของกลุ่มผู้พิชิต กลุ่มจักรวรรดินิยม และการบังคับให้ผสมกลมกลืน เช่น วัฒนธรรมของชาวอินเดียนแดงต่อสู้กับวัฒนธรรมชาวตะวันตก หรือวัฒนธรรมของชาวอินเดียต่อสู้กับวัฒนธรรมของชาวอังกฤษในยุคล่าอาณานิคม ส่วนกลุ่มผู้อพยพไม่มีวัฒนธรรมของสังคมของตนเองในความหมายที่กล่าวมาข้างตน วัฒนธรรมของสังคมมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นวัฒนธรรมแห่งชาติ ในโลกสมัยใหม่วัฒนธรรมใดไม่ใช่วัฒนธรรมแห่งชาติมีแนวโน้มที่จะไม่รุ่งเรือง แม้ว่าบางประเทศจะมีการบังคับสร้างวัฒนธรรมของชาติขึ้นมาก็ตาม แต่ก็ขาดจิตวิญญาณเพราะมิได้มาจากรากฐานความเป็นจริงของสังคม
สิทธิแห่งความหลากหลายของกลุ่มเน้นในเรื่องการทำให้ชนส่วนน้อยแห่งชาติมีความยั่งยืนในวัฒนธรรมของสังคมของพวกเขา ขณะที่ปกป้องผู้อพยพให้มีสิทธิในชาติพันธุ์ ซึ่งจะช่วยให้กลุ่มชาติพันธุ์และศาสนาสามารถแสดงลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรมของตนเองออกมา และมีความภาคภูมิใจโดยปราศจากอุปสรรคในการประสบความสำเร็จภายในสถาบันเศรษฐกิจและสังคมการเมือง
สิทธิแห่งความหลากหลายของกลุ่มคือ การพยายามปกป้องวัฒนธรรมของกลุ่มจากผลกระทบของการตัดสินจากภายนอก ที่ไม่ให้สิทธิแก่กลุ่มเพื่อสร้างกฎเกณฑ์ที่เหมาะสมภายในกลุ่ม ข้อถกเถียงของคิมลิคกาคือ เสรีนิยมสามารถและควรสนับสนุนการปกป้องการรุกรานจากเงื่อนไขภายนอก และส่งเสริมความเป็นธรรมระหว่างกลุ่ม กล่าวคือเสรีนิยมควรปกป้องวัฒนธรรมของกลุ่มเชื้อชาติ ไม่ให้ถูกทำลายโดยการตัดสินใจจากกลุ่มอำนาจหลักในสังคม เช่น การห้ามใช้ภาษาของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือ การห้ามปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา และ เสรีนิยมควรเปิดโอกาสให้แต่ละกลุ่มสามารถแสดงออกทางวัฒนธรรมได้อย่างเท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตามในอีกด้านหนึ่ง เสรีนิยมก็ควรปฏิเสธข้อกำหนดภายในกลุ่มวัฒนธรรมซึ่งจำกัดสิทธิสมาชิกของกลุ่มในการตั้งคำถาม และปรับปรุงอำนาจและการปฏิบัติเชิงประเพณีดั้งเดิมของกลุ่ม สิทธิที่สมาชิกชนกลุ่มน้อยได้รับจึงประกอบด้วย สิทธิของพลเมืองทั่วไปของชาติ สิทธิแห่งความหลากหลาย และการเป็นตัวแทนนัฐสภาเพื่อปกป้องการคุกคามจากภายนอกและ ป้องกันมิให้มีข้อบังคับที่ละเมิดสิทธิกันเองภายในกลุ่ม
กล่าวโดยสรุปแนวคิดพหุวัฒนธรรมของคิมลิกคาเน้นการขยายสิทธิแก่ชนกลุ่มน้อย เขาจำแนกชนกลุ่มน้อยเป็นสองกลุ่มคือ “ชนกลุ่มน้อยแห่งชาติ” และ “ชนกลุ่มน้อยเชิงชาติพันธุ์” และเสนอให้ชนกลุ่มน้อยแห่งชาติได้รับสิทธิในการปกครองตนเอง สิทธิในการรักษาความหลากหลายทางชาติพันธุ์ และสิทธิการมีผู้แทนในรัฐสภา ส่วนชนกลุ่มน้อยเชิงชาติพันธุ์ได้รับสิทธิความหลากหลายทางชาติพันธุ์และสิทธิการมีผู้แทนในสภา
หากประยุกต์แนวคิดพหุวัฒนธรรมนิยมกับสังคมไทย ก่อนอื่นเราต้องมากำหนดก่อนว่า มีชนกลุ่มน้อยใดเป็น ชนกลุ่มน้อยแห่งชาติ และกลุ่มใดเป็นชนกลุ่มน้อยเชิงชาติพันธุ์ จากนั้นจึงกำหนดสิทธิต่างๆลงไปตามลักษณะของชนกลุ่มน้อยเหล่านั้น มีความเป็นไปได้ว่าสังคมไทยอาจไม่มีชนกลุ่มน้อยแห่งชาติ และมีแต่เพียงชนกลุ่มน้อยเชิงชาติพันธุ์ แต่นั่นก็ต้องเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันทางวิชาการและการเมืองต่อไป โดยเฉพาะประชาชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีความคลุมเครืออยู่พอสมควร ระหว่างการเป็นชนกลุ่มน้อยแห่งชาติ กับ การป็นชนกลุ่มน้อยเชิงชาติพันธุ์ หรือแม้แต่ชนกลุ่มน้อยชาวเขาในภาคเหนือของประเทศไทยก็ตกอยู่ในสภาพไม่แตกต่างกันมากนัก หากเรากำหนดให้กลุ่มต่างๆเป็นชนกลุ่มน้อยเชิงชาติพันธุ์ เขาก็ควรจะได้สิทธิในการรักษาความหลากหลายเชิงชาติพันธุ์และสิทธิในการมีผู้แทนในสภา
ผมคิดว่าการประยุกต์ใช้แนวคิดพหุนิยมทางวัฒนธรรมน่าจะเป็นแนวทางเชิงนโยบายสำหรับการปฏิรูปการเมืองของประเทศไทย เพราะแนวคิดเสรีนิยมแบบเดิมที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันไม่เพียงพอที่จะลดความขัดแย้งและทำให้เกิดความสมานฉันท์ในสังคมได้ บางทีการนำแนวคิดใหม่มาใช้ก็อาจทำให้ทางตันที่เราเผชิญหน้าอยู่มีทางออกอย่างคาดไม่ถึงก็ได้ อันเป็นการเปิดเส้นทางใหม่สู่เป้าหมายของความสมานฉันท์ในสังคม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น