การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง
พิชาย
รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
คำถามประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการทำแท้งคือ
เมื่อไรที่จะนับว่าชีวิตมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และ ณ
จุดไหนที่สังคมควรจะเข้าไปดำเนินการปกป้องชีวิตที่กำลังก่อกำเนิด ส่วนข้อถกเถียงเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับการทำแท้งมี
๒ ประเด็นหลักคือ ประเด็นแรกคือ
“คุณค่าของพื้นฐานแห่งชีวิต” ซึ่งมีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ยังไม่ได้กำเนิดมาดูโลก
กับชีวิตของมารดา ประเด็นที่สองคือ
“พื้นฐานของเสรีภาพส่วนบุคคคล”
ซึ่งเป็นสิทธิของมารดาเหนือร่างกายของตนเองในการให้กำเนิดและกำหนดชีวิต และประเด็นที่เป็นความขัดแย้งอีกประการคือแนวคิดเกี่ยวกับ
“สิทธิสัมบูรณ์”
ระหว่างสิทธิของทารกในครรภ์ที่จะก่อตัวพัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษย์
กับสิทธิของมารดาในการควบคุมชีวิตและร่างกายของตนเอง
ชีวิตมนุษย์เริ่มจากไหนและพัฒนาอย่างไร ในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายขั้นตอนของการพัฒนาตัวอ่อนในครรภ์ในเป็นมนุษย์
ดังนี้
๑. ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นจากไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์จากอสุจิ
หนึ่งเซลล์ของมนุษย์ผู้หนึ่งผสมกับเซลล์ของมนุษย์อีกผู้หนึ่ง
กลายเป็นสองเซลล์และขยายเป็นสี่
และจากนั้นภายในหกวันไข่ที่ถูกผสมก็จะฝังตัวของมันเองในผนังมดลูก
๒. ภายในสัปดาห์ที่สาม
ตัวอ่อนก่อกำเนิดยาวประมาณสองมิลลิเมตรและเริ่มพัฒนาในหลายส่วน
แต่หากมองด้วยสายตาจะคล้ายกับหนอนเล็กๆ
๓. เมื่อครบสี่สัปดาห์
ตัวอ่อนจะโตขึ้นไปถึงห้ามิลลิเมตรหรือหนึ่งในห้านิ้ว หัวใจที่คล้ายๆหลอดเริ่มต้นเต้นเป็นจังหวะ มันดูคล้ายๆเหงือกปลาเป็นรูปโค้ง มีส่วนที่ดูคล้ายหาง และรูปร่างดูเหมือนกิ้งก่า
หรือลูกอ๊อด
๔. เมื่อถึงสัปดาห์ที่ห้า
เริ่มเห็นและสามารถแยกแยะส่วนต่างๆของสมอง รวมทั้งมีการพัฒนาตาและมีการปรากฎของตุ่มที่จะกลายเป็นแขนและขา
๕. ในสัปดาห์ที่หก
ตัวอ่อนจะมีความยาว ๑๓ มิลลิเมตร
มีตาอยู่ที่ด้านข้างของศีรษะ เช่นเดียวกับสัตว์อื่นๆ
และหน้าที่ดูเหมือนสัตว์เลื้อยคลานมีการเชื่อมต่อ
ซึ่งจะพัฒนาเป็นปากและจมูกต่อไป
๖. ในสัปดาห์ที่เจ็ด
หางจะหายไปเกือบหมด
และสามารถมองเห็นลักษณะทางเพศของตัวอ่อนได้
หน้าตาเริ่มเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแต่ค่อนข้างคล้ายกับสุกร
๗. เมื่อครบแปดสัปดาห์
หน้าดูเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ยืนสองขา แต่ยังคงไม่คล้ายมนุษย์ สมองมีการพัฒนามากขึ้น
และตัวอ่อนเริ่มแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ละเอียดอ่อน
๘. ภายในสัปดาห์ที่สิบ หน้าตาของตัวอ่อนแสดงถึงความเป็นมนุษย์
และเริ่มต้นสามารถแยกแยะได้ว่าตัวอ่อนเป็นเพศชายหรือหญิง
๙. ภายในสัปดาห์ที่สิบหก
(๔ เดือน)
เราสามารถแยกหน้าของตัวอ่อนตัวหนึ่งออกจากอีกตัวหนึ่งได้
หรือดูออกแล้วว่าตัวอ่อนหน้าตาเป็นแบบใดและแตกต่างจากตัวอ่อนอื่นๆตรงไหนบ้าง มารดาสามารถรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของตัวอ่อนในเดือนที่ห้า ส่วนปอดของตัวอ่อนเริ่มต้นพัฒนาในเดือนที่หก
และกิจกรรมทางสมองของตัวอ่อนที่รู้ได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์เริ่มในกลางเดือนที่เจ็ด
๑๐. คลื่นสมองที่มีแบบแผนเดียวกับกับมนุษย์ที่เป็นผู้ใหญ่ทั่วๆไป
ปรากฏขึ้นภายในสัปดาห์ที่สามสิบ (ประมาณเจ็ดเดือนครึ่ง) แต่ยังไม่สามารถคิดได้
ประเด็นสำคัญคือในบรรดาขั้นตอนเหล่านี้
ขั้นตอนใดที่เรายอมรับว่าตัวอ่อนคือชีวิตมนุษย์
ทุกขั้นตอนมีความสำคัญ และยิ่งมีการพัฒนาตัวอ่อนก็มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น
ดังนั้นแม้แต่ผู้ที่สนับสนุนการทำแท้งก็ยังระบุว่า
หากต้องทำแท้งก็ควรทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
เพราะในขั้นตอนการพัฒนาระยะแรกนั้นบุคคลเหล่านี้อาจยังมีข้ออ้างได้ว่า
ตัวอ่อนในช่วงเดือนหรือสองเดือนแรกยังมีความห่างไกลจากสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์
ซึ่งเป็นข้ออ้างในเชิงปกป้องมโนสำนึกของตนเอง เพราะว่าแท้จริงแล้วในทุกขั้นตอนตัวอ่อนมีศักยภาพแห่งความเป็นมนุษย์ดำรงอยู่
การทำแท้งนั้นเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนานมีทั้งผู้สนับสนุนและผู้คัดค้าน
แต่ละฝ่ายต่างก็มีเหตุผลด้วยกันทั้งสิ้น
สำหรับกลุ่มที่สนับสนุนการทำแท้งมีเหตุผลดังต่อไปนี้
ตัวอ่อนยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นมนุษย์
ชีวิตมนุษย์ควรนับตั้งแต่วันที่มีการเกิดออกมาจากครรภ์มารดา และเด็กที่พ่อแม่ไม่ต้องการไม่ควรให้กำเนิดออกมาเพราะจะสร้างปัญหาสังคมในอนาคตอย่างมากมาย
อันอาจจะกระทบต่อชีวิตผู้อื่นด้วย
และการรับทารกซึ่งพ่อแม่ไม่ต้องการโดยการเป็นบุตรบุญธรรมก็มิใช่เป็นการแก้ปัญหา
กลุ่มนี้ยังยืนยันอีกด้วยว่า
การทำแท้งในปัจจุบันไม่มีความเสี่ยงทางการแพทย์
ขณะที่ปัญหาทางการแพทย์และจิตวิทยาจะเกิดขึ้นกับสตรีที่ปล่อยให้การตั้งครรภ์ดำเนินต่อไปมากกว่าสตรีที่ตัดสินใจทำแท้ง
ยิ่งเป็นการตั้งครรภ์ที่เกิดจากการถูกข่มขืน ปัญหาทางจิตใจของสตรีผู้นั้นยิ่งมีมากขึ้น
ดังนั้นการทำแท้งจึงเป็นการช่วยเหลือให้สตรีเหล่านั้นหลุดพื้นจากความทุกข์และความทรงจำที่เจ็บปวดได้เป็นอย่างมาก
กลุ่มสนับสนุนการทำแท้งยอมรับว่าผู้หญิงควรมีความรับผิดชอบในกิจกรรมทางเพศของตนเอง
และเมื่อถึงคราวจำเป็น การทำแท้งก็เป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบนี้
อีกทั้งการตัดสินใจทำแท้งเป็นสิทธิในการเลือกของผู้หญิงว่าจะทำแท้งหรือไม่ทำ
ไม่ว่าใครก็ไม่ควรเข้าไปแทรกแซง
ด้านกลุ่มที่คัดค้านการทำแท้งมีเหตุผลหลายประการ
ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
ประการแรก
ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นตั้งแต่มีการปฏิสนธิระหว่างอสุจิกับไข่
ยิ่งกว่านั้นในความเชื่อทางศาสนาชีวิตมนุษย์มิใช่เป็นเพียงแต่เรื่องทางกายภาพเท่านั้น
แต่เป็นเรื่องของทางจิตวิญญาณอีกด้วย
ดังในประเทศไทยที่มีความเชื่อว่าทารกที่ถูกทำแท้งมิอาจเผาได้
เพราะถือว่าเป็นวิญญาณบริสุทธิ์ที่มิเคยกระทำบาปใดๆมาก่อน
ประการที่สอง
ทุกชีวิตมีสิทธิอย่างสัมบูรณ์ในการดำรงชีวิตของตนเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิของทารกที่ยังไม่กำเนิดและยังมีความบริสุทธิ์
ก็ควรจะมีสิทธิในชีวิตเฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ที่เกิดมาแล้วทุกคน
ไม่ว่าใครก็ตามแม้จะเป็นมารดาก็ไม่มีสิทธิในการทำลายชีวิตเหล่านั้น
ประการที่สาม
การทำแท้งเป็นกิจกรรมที่เป็นอันตรายทั้งต่อมารดาและทารก
ขณะที่อันตรายของการตั้งครรภ์และการคลอดบุตรในโลกยุคปัจจุบันมีน้อยเป็นอย่างยิ่งเพราะความก้าวหน้าทางการแพทย์
ประการที่สี่
เด็กที่เกิดออกมาหากไม่เป็นที่ต้องการของพ่อแม่
รัฐจักต้องเป็นผู้ดูแลและพยายามจัดหาบิดาและมารดาบุญธรรมให้
หรืออาจจัดตั้งสถาบันหรือองค์การที่ดูแลเด็กเหล่านี้ให้เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ
และหากรัฐมีปัญหาเรื่องการเงินก็แก้ได้ไม่ยาก
เช่นอาจนำเงินจากการบริจาคของวัดต่างๆมาใช้ในการนี้ หรืออาจมาจากการเก็บภาษีสุราซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการกระตุ้นให้มีเพศสัมพันธ์ในช่วงวัยรุ่น
หรืออาจเก็บเงินจากภาษีแหล่งบันเทิงเพิ่มขึ้น เป็นต้น
ประการที่ห้า
ผู้หญิงต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่สำหรับกิจกรรมทางเพศ
และเมื่อกิจกรรมเหล่านี้ก่อให้เกิดการตั้งครรภ์
ชีวิตบริสุทธิ์ของทารกไม่สามารถใช้เป็นสิ่งบูชายันต์เพียงเพราะความไม่ระมัดระวังและความรักสนุกของผู้หญิงได้
ประการที่หก
การข่มขืนหรือการร่วมประเวณีทางสายเลือด
ก็มิใช่เป็นเหตุผลที่ชอบธรรมในการอ้างสำหรับการทำลายชีวิตที่บริสุทธิ์ของทารก
สำหรับในสังคมไทยปัจจุบันในทางกฎหมายยอมให้มีการทำแท้งได้หากการตั้งครรภ์นั้นเกิดจากถูกข่มขืนหรือเมื่อการตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพมารดา
แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ โดยความยินยอมของสตรีที่ตั้งครรภ์
ร่างที่ไร้วิญญาณซุกอยู่ในถุงพลาสติกในโกดังของวัด
ไร้แผ่นดินจะกลบฝัง ไร้เปลวเพลิงแผดเผา
จำนวนมากนับพันที่ปรากฏออกมาให้สังคมได้รับรู้ ราวกับว่าพวกเขาได้ส่งสัญญาณบ่งบอกผู้คนในสังคมให้ตื่นขึ้นมาและตระหนักว่า
ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจักต้องพิจารณาเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง
เพื่อหาทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทำแท้งที่นับวันจะมีมากขึ้น
ทางออกจะเป็นอย่างไรนั้น ในขั้นแรกควรจะเริ่มจากการยอมรับความเป็นจริง
และใช้การสานเสวนาในกลุ่มผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเพื่อกำหนดมาตรการที่เหมาะสมและเป็นไปได้ในการปฏิบัติ
เรื่องนี้ควรทำอย่างเร่งด่วน การดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังนับเป็นการสร้างกุศลให้กับประเทศ
เพราะเท่ากับเป็นการช่วยชีวิตทารกที่บริสุทธิ์ให้มีชีวิตและเติบโตต่อไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น