ตรรกวิปริตของการทุจริต
พิชาย รัตนดิลก ณ
ภูเก็ต
สังคมไทยในยุคปัจจุบันมีความวิปริตเกี่ยวกับการใช้ตรรกเรื่องการทุจริต
โดยคนจำนวนมากเชื่อว่าการทุจริตทำให้เกิดการเจริญทางเศรษฐกิจ และมีค่านิยมยอมรับการทุจริตหากตนเองได้รับประโยชน์ด้วย ความเชื่อและค่านิยมเหล่านี้แสดงอาการป่วยทางจิตวิญญาณของสังคมอย่างลึกซึ้ง
เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เคยไปพูดที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตในงานการประชุมนานาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ครั้งที่ 14 ซึ่งจัดโดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.)และองค์การเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวในตอนหนึ่งว่า “ทุกวันนี้คนไทยและเยาวชนยอมรับการโกง หากทำให้เศรษฐกิจเจริญก้าวหน้า ซึ่งขัดกับความเชื่อเดิมที่ว่า การโกงจะทำให้เศรษฐกิจเสื่อมถอย”
ประโยคที่นายอภิสิทธิ์พูดในที่ประชุมคงมาจากการอ่านรายงานผลการสำรวจของเอแบคโพลล์และเชื่อตามนั้นจึงได้นำไปพูดต่อ
และนายอภิสิทธิ์คงเชื่อไปแล้วว่าผลสำรวจนั้นเป็นความจริง และคงเชื่ออีกว่า ความเชื่อเดิมของคนไทยคือ
“การโกงจะทำให้เศรษฐกิจเสื่อมถอย”
พูดง่ายๆคือ นายอภิสิทธิ์คงเชื่อว่า
ความเชื่อเกี่ยวกับการทุจริตของคนไทยมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิม
โดยพิจารณาจากผลโพลล์ดังกล่าว
และก็คงอนุมานได้ว่าคงจะมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่เชื่อเช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์
ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าประโยค
“ยอมรับรัฐบาลที่ทุจริต
แต่ทำให้ประเทศรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีกินดี” มาจากไหน ใครเป็นคนสร้าง
แต่ประโยคนี้ได้รับความสนใจจากนักทำโพลล์และถูกนำไปสอบถามประชาชนหลายครั้งหลายหน
อีกทั้งสื่อมวลชนเองก็สนใจ จึงทำให้ประโยคนี้แพร่กระจายในสังคมอย่างกว้างขวาง
แต่หากจะลองวิเคราะห์สภาพการเมืองไทยย้อนหลัง
ก็พอเห็นร่องรอยของการก่อตัวของความคิดนี้อยู่บ้างในเหตุการณ์หลักประมาณ 3 เรื่อง เรื่องแรก
น่าจะเป็นเรื่องราวของนักการเมืองในแถบจังหวัดภาคกลางจังหวัดหนึ่งที่อยู่ทางตะวันตกของกรุงเทพมหานคร
นักการเมืองผู้นี้เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตมาอย่างยาวนาน
และจิตใต้สำนึกของเขาก็คงเปี่ยมล้นไปด้วยความหิวกระหายในเงินตรา
จนในช่วงหนึ่งที่พรรคของเขาเป็นฝ่ายค้าน
ถึงกับหลุดประโยคที่ไม่สมควรพูดต่อสาธารณะว่า “การเป็นฝ่ายค้านทำให้อดอยากปากแห้ง”
อย่างไรก็ตามนักการเมืองผู้นี้ได้รับการยอมรับจากผู้เลือกตั้งในจังหวัดตนเองอย่างล้นหลาม
บางครั้งถึงกับได้คะแนนเสียงมากที่สุดของประเทศ
เพราะเขาได้จัดสรรงบประมาณแผ่นดินไปสร้างถนนและสิ่งก่อสร้างอื่นๆอีกมากมายในจังหวัดของตนเอง คนในจังหวัดนี้จึงไม่สนใจว่าชื่อเสียงของนักการเมืองคนนี้ในระดับประเทศเป็นอย่างไรหรือไม่สนใจว่าเขาจะโกงกินอย่างไร
ตราบเท่าที่ยังนำงบประมาณมาลงในจังหวัดได้และตนเองได้รับประโยชน์
ก็ยังคงให้การสนับสนุนนักการเมืองผู้นี้และพรรคของเขาต่อไป
เรื่องที่สอง
น่าจะมาจากในสมัยหนึ่งที่ประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีที่มีภาพลักษณ์ของความซื่อสัตย์
แต่ตัดสินใจดำเนินงานและขับเคลื่อนการบริหารประเทศโดยอาศัยกฎระเบียบและขั้นตอนของระบบราชการอย่างเคร่งครัด
ซึ่งทำให้ดูมีความเชื่องช้าในการบริหารประเทศ
และมักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความสามารถในการบริหารเศรษฐกิจว่าเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีการดำเนินนโยบายประชานิยม
รวมทั้งไม่เก่งในการประชาสัมพันธ์และสร้างภาพลักษณ์ สิ่งที่เป็นคุณลักษณะหลักของนายกรัฐมนตรีผู้นี้คือ
การพูดที่มีหลักการ มีวาจาแหลมคมและเชือดเฉือน
สภาพดังกล่าวจึงทำให้ผู้คนเกิดความเบื่อหน่ายและคนจำนวนมากมีความรู้สึกว่า นายกรัฐมนตรีผู้นี้ดีแต่เรื่องภาพลักษณ์ความซื่อสัตย์แต่ทำงานไม่เป็น
อีกทั้งรัฐมนตรีในรัฐบาลของเขาก็ยังคงโกงกินเป็นจำนวนมาก พูดง่ายๆคือ “นายกรัฐมนตรีซื่อสัตย์
แต่รัฐมนตรีโกงกิน และรัฐบาลถูกมองว่าไร้ผลงาน”
เหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้เกิดขึ้นอีกครั้งภายหลังการรัฐประหารปี 2549 ซึ่งมีรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรีมีภาพลักษณ์ของความซื่อสัตย์ แต่ดูเหมือนไร้ประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งผู้คนเกิดความรู้สึกว่าประเทศเกิดภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจ ทั้งที่ความรู้สึกกับความเป็นจริงอาจเป็นคนละเรื่องกันก็ได้
เรื่องที่สาม
เป็นเรื่องราวของนายกรัฐมนตรีที่มีภูมิหลังจากการเป็นนายทุนนักธุรกิจ
ยามดำรงตำแหน่งได้ประกาศวิสัยทัศน์และนโยบายมากมาย
และมีการประชาสัมพันธ์อย่างเป็นระบบ เรื่องที่ทำสำเร็จเพียงเล็กน้อยก็ถูกขยายเป็นสำเร็จมาก เรื่องใดไม่สำเร็จก็จะถูกปกปิดเก็บเงียบ
ขณะเดียวกันก็นำเงินงบประมาณแผ่นดินออกไปแจกจ่ายแก่ประชาชนบางกลุ่มที่เป็นหัวคะแนนและเครือข่ายหัวคะแนนของตนเอง
แล้วก็ขยายความว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นประชาชนทั่วไป พร้อมๆกับการดำเนินการทุจริตอย่างบูรณาการเป็นระบบทั้งการทุจริตเชิงนโยบาย การกระทำอันเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน การให้สินบนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในคดีซุกหุ้น และการคิดค่าหัวคิวในโครงการต่างๆมากมาย
จนทำให้เขา เครือญาติ และพวกพ้องร่ำรวยขึ้นมาอย่างมหาศาล
ทางเลือกทั้งสองเป็นทางเลือกที่เกิดจาก
การใช้ตรรกที่วิปริตหรือไร้ความเป็นจริงรองรับอย่างสิ้นเชิง
เป็นตรรกที่ถูกสร้างมาเพื่อสนองประโยชน์ของนักการเมือง
และให้พวกเขามีความชอบธรรมในการทุจริตต่อไปโดยอ้างว่าประชาชนให้การยอมรับ ตรรกนี้จึงเป็นตรรกที่นำพาความหายนะมาสู่ระบอบประชาธิปไตยและสังคมไทยโดยรวม พวกนักทำโพลล์ที่นำไปเป็นประเด็นในการสอบถามประชาชน
จึงเป็นการกระทำที่ตอกย้ำความเชื่อวิปริตนี้
และย่อมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความชอบธรรมให้กับการทุจริตของนักการเมือง
เพราะฉะนั้น บรรดานักทำโพลล์ทั้งหลาย ขอให้หยุดการนำประโยคที่มีความวิปริตเชิงตรรกเช่นนี้ไปถามประชาชนได้แล้ว
รัฐบาลทุจริตชักหัวคิวร้อยละ
30 ของเงินงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งหากคิดเป็นตัวเงินคงประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท
เงินเหล่านี้แทนที่จะกระจายไปสู่พี่น้องประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
กลับกระจุกในกลุ่มนักการเมืองที่ทุจริต
ลองนึกภาพหากนำเงินนี้ไปสร้างระบบชลประทานและการป้องกันภัยพิบัติจะทำให้ความเสียหายจากน้ำท่วมลดลงได้อย่างมหาศาลและเท่ากับลดความเดือดร้อนของประชาชนด้วย หากนำเงินนี้ไปสร้างถนนดีๆถูกต้องตามหลักวิศวกรรมและมีความคงทน
ก็จะทำให้ถนนมีสภาพดีไม่ชำรุดง่าย ทำให้ช่วยลดการสึกหรอของรถยนต์
ประชาชนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถมากจนเกินไป อีกทั้งยังช่วยลดอุบัติเหตุ ลดการบาดเจ็บ พิการล้มตายที่เกิดจากถนนที่ไม่ดีอีกมาก
หากมีการคอรัปชั่นเกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่งในหน่วยงานราชการ
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราจะได้ข้าราชการที่ทำงานไม่เป็น ขี้โกง และไม่มีความรับผิดชอบต่อประชาชน
ชอบมาก "อาการป่วยทางจิตวิญญาณของสังคมอย่างลึกซึ้ง" วลีสำคัญควรเผยแผ่ให้มากทั้วทุกสังคม ขอรับ บ้านเมืองเต็มไปด้วยคนป่วยทางจิตประสาท
ตอบลบขออนุญาตเผยแพร่ค่ะ
ตอบลบ