อำนาจของสถานการณ์
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
แม้ด้านหนึ่งมนุษย์จะมีเจตจำนงเสรี
สามารถตัดสินใจกระทำการทางสังคม
ตามเจตนารมณ์ของตนเอง
แต่อีกด้านหนึ่งมนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับพลังอำนาจของสถานการณ์ที่ทำให้ทางเลือกของพวกเขาต้องถูกจำกัด
การกระทำทางสังคมของมนุษย์ที่อยู่บนพื้นฐานของเจตจำนงเสรีมีอย่างน้อยสี่แนวทาง
คือ
แนวทางแรก มนุษย์กระทำทางสังคมโดยยึดหลักการพื้นฐานที่ตนเองเชื่อว่าเป็นความจริงและเป็นความดีในตัวของมันเอง เช่น นายเสรี ไทยแท้ เชื่อว่าประชาธิปไตยเป็นหลักการที่ดีโดยตัวของมันเอง
เมื่อผู้ใดมาทำลายประชาธิปไตย นายเสรีจะคัดค้านอย่างแข็งขัน
แนวทางที่สอง มนุษย์เลือกไม่กระทำอย่างหนึ่งอย่างใด โดยเชื่อว่าหลักการพื้นฐานของสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีในตัวมันเอง เช่น นายอุดร ชัชนิน
เชื่อว่าการเลี่ยงกฎหมายโดยหลักการแล้วเป็นสิ่งที่ไม่ดี นายอุดร ก็จะไม่เลี่ยงกฎหมาย หรือ ผู้สมัครรับเลือกตั้งบางคน ไม่ซื้อเสียงชาวบ้าน
เพราะเชื่อว่าการซื้อเสียงเป็นสิ่งที่ไม่ดี
การกระทำหรือไม่กระทำทางสังคมใดๆของมนุษย์ตามแนวทางทั้งสองนี้จึงเป็นไปตามจิตใต้สำนึกที่ชี้นำการปฏิบัติ บางครั้งเราเรียกว่าเป็นการกระทำด้วย “ใจ”
แนวทางที่สาม มนุษย์กระทำทางสังคมโดยประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
หากมนุษย์ประเมินว่าการกระทำของเขาเป็นผลบวกต่อผลประโยชน์ของตนเอง ต่อสิ่งที่ตนเองยึดถือหรือให้คุณค่า และต่อบุคคลหรือสถาบันที่ตนเองให้ความเคารพนับถือ
พวกเขาย่อมกระทำสิ่งนั้น
นายมารร้าย ทำลายไทย
ยอมสังกัดพรรคการเมืองหนึ่ง
เพราะประเมินแล้วว่าพรรคการเมืองนั้นจะจ่ายเงินสนับสนุนตนเองในการเลือกตั้ง
และทำให้ตนเองมีโอกาสได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง
เป็นตัวอย่างของการประเมินการกระทำที่เขาคาดว่าเป็นผลบวกต่อผลประโยชน์ตนเอง หรือการที่นายประชา รักธิปไตย
รณรงค์ให้ประชาชนและพลังเงียบไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เพราะประเมินว่า
การกระทำของตนเป็นผลบวกต่อหลักการประชาธิปไตยที่ตนเองยึดถือ
แนวทางที่สี่ การกระทำใดๆที่ปัจเจกชนประเมินว่ามีผลกระทบทางลบต่อผลประโยชน์
ของตนเอง ต่อบุคคลและสถาบันที่ตนเองยึดถือ
บุคคลย่อมที่จะหลีกเลี่ยงการกระทำดังกล่าว
เช่น
หัวหน้าพรรคการเมืองหนึ่งประเมินว่า
การดีเบตเป็นผลลบต่อคะแนนเสียงของตนเองและพรรคที่สังกัด จึงไม่ยอมเข้าร่วมการดีเบต
การประเมินผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นทั้งทางบวกและทางลบ
ก่อนที่จะลงมือปฏิบัติ
เป็นการกระทำที่อยู่ภายใต้ส่วนที่เป็นจิตสำนึก หรือ เรียกง่ายๆว่า เป็นการกระทำของ “สมอง”
อย่างไรก็ตามมีการกระทำทางสังคมจำนวนมากที่ไม่ได้เป็นไปตามเจตจำนงเสรีของ “ใจ” และ เหตุผลของ
“สมอง”
ของผู้กระทำการ แต่กลับถูกผลักดันด้วยพลังอำนาจของสถานการณ์
สถานการณ์บางเรื่องกดดันให้มนุษย์ต้องละทิ้งหลักการที่ตนเองยึดมั่น เช่น ผู้สมัครรับเลือกตั้งบางคน
ตลอดระยะเวลาที่หาเสียงยึดมั่นว่าจะไม่ซื้อเสียงอย่างเด็ดขาด ปรากฎว่าเมื่อถึงปลายฤดูหาเสียงมีคะแนนเป็นรองฝ่ายคู่แข่งเพียงเล็กน้อย และทีมงานที่ช่วยหาเสียงประเมินแล้วว่า
หากซื้อเสียงเพียงไม่กี่คะแนนก็จะชนะการเลือกตั้งอย่างแน่นอน ภายใต้แรงกดดันเช่นนี้ ผู้สมัครส.ส. คนนี้จะทำอย่างไร
มนุษย์โดยทั่วไปจะต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากสถานการณ์อยู่เสมอ และบ่อยครั้งที่มนุษย์ต้อง “ใจสลาย” จากอำนาจของสถานการณ์
พลังของสถานการณ์ไม่เพียงแต่จะคุกคาม “ใจ” เท่านั้น ยังส่งอิทธิพลต่อ “สมอง” อีกด้วย ในหลายโอกาสเมื่อมนุษย์ถูกสถานการณ์กดดัน
ทำให้ไม่อาจประเมินได้ว่าผลสืบเนื่องที่เกิดขึ้นจากการเลือก
หรือไม่เลือกกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
จะเป็นผลเชิงบวกหรือเชิงลบต่อผลประโยชน์ของตนเอง
หรือต่อสิ่งที่ตนเองให้คุณค่า
กล่าวง่ายๆคือ
มนุษย์ไม่รู้ว่าการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งของตนเอง จะส่งผลอย่างไรในอนาคต ทำให้บางครั้งมนุษย์จึงกระทำในสิ่งที่ทำให้เกิดผลกระทบทางลบ แต่ไม่กระทำในสิ่งที่ส่งผลทางบวก
ยิ่งไปกว่านั้นในสถานการณ์บางอย่าง
มนุษย์ถูกกดดันให้เลือกทางเลือกที่ปราศจากผลทางบวก ไม่ว่าจะเลือกทางใด
ต่างก็ส่งผลกระทบทางลบทั้งสิ้น ตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สถานการณ์เช่นนี้ทำให้มนุษย์ “สมองสับสน
เหตุผลสั่นคลอน”
สถานการณ์ของสังคมไทยในปัจจุบันและอนาคตถัดจากนี้ไปอีก
2-3 ปี จะเป็นพลังกดดันที่อาจทำให้คนไทยจำนวนมากตกอยู่ในภาวะ ทั้ง “ใจสลายและสมองสับสน” ควบคู่กันไป การกระทำและพฤติกรรมที่แปลกประหลาดหลายอย่างของบุคคลและกลุ่มคนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสังคมไทยก็อาจเกิดขึ้นได้นับจากนี้ไป
จะมีก็เพียง พลังของสติ ปัญญา และความอดกลั้น เท่านั้น ที่จะต่อสู้กับอำนาจของสถานการณ์เช่นนี้ได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น