การค้นพบใหม่เกี่ยวกับเหตุผล
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ปัจจุบันในแวดวงวิชาการมีสาขาวิชาหนึ่งซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายเท่าไรนักในสังคมไทย
แต่สำหรับในต่างประเทศสาขาวิชานี้กำลังเป็นสาขาที่มาแรงในการทำความเข้าใจกับจิตและปัญญาของมนุษย์
สาขาวิชาดังกล่าวคือ วิทยาศาสตร์เชิงปัญญา (cognitive science)
วิทยาศาสตร์เชิงปัญญาได้ค้นพบเรื่องสำคัญ 3 เรื่อง คือ 1)
จิตผนึกรวมกับกายอย่างไม่สามารถแยกออกจากกันได้
2) ความคิดเกือบทั้งหมดเป็นเรื่องของจิตไร้สำนึก และ 3)
แนวคิดเชิงนามธรรมส่วนใหญ่เป็นการอุปมาอุปไมย
การค้นพบเหล่านี้ทำให้ความคิดเกี่ยวกับเหตุผลแบบเดิมของปรัชญาตะวันตกต้องเผชิญกับการท้าทายอย่างถึงรากถึงโคน
แต่เดิมนั้นนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ตะวันตกให้ความเชื่อมั่นว่าเหตุผลเป็นสิ่งที่สะท้อนภาวะความเป็นมนุษย์และเป็นสิ่งสูงส่งที่มนุษย์จักต้องทำความเข้าใจ นักปรัชญาบางคนถึงกับเชื่อว่า
“เหตุผลคือพระเจ้า” และ “เหตุผลนำแสงสว่างมาสู่มนุษยชาติ” ความเป็นมนุษย์กับเหตุผลจึงเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก คนที่ไร้เหตุผลมักถูกประณามว่ามีการกระทำเยี่ยงสัตว์
เหตุผลหาได้เป็นเพียงการอนุมานเชิงตรรกเท่านั้น
แต่ยังรวมถึงความสามารถของมนุษย์ในการศึกษา การสืบสวน การวิเคราะห์ การแก้ปัญหา การประเมินผล
การวิพากษ์วิจารณ์ และการพิเคราะห์วินิจฉัยตัดสินใจว่า เราควรทำอะไร
ไม่ควรทำอะไร ควรทำอย่างไร
และเราจะเข้าใจตนเอง ผู้อื่น และสรรพสิ่งในโลกได้อย่างไร
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากถึงโคนเกี่ยวกับความเข้าใจเรื่องเหตุผล
จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่หลวงเกี่ยวกับความเข้าใจของเราเกี่ยวกับตัวเราเอง
การเปลี่ยนแปลงความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุผลที่สำคัญมี
6 ประการคือ
ประการแรก เหตุผลมิได้แยกออกจากร่างกายของมนุษย์ดังที่นักปรัชญาดั้งเดิมส่วนใหญ่ยึดถือ
เหตุผลเกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ของสามส่วนคือ
ธรรมชาติของสมอง ร่างกาย และประสบการณ์เชิงกายภาพ
ดังนั้นการสร้างเหตุผลหรือให้เหตุผลของมนุษย์จึงบังเกิดจากองค์รวมของทุกอณูในร่างกายของเราเองที่ปะทะประสานกับสิ่งแวดล้อมซึ่งซึมซับผ่านกระบวนการรับรู้และเคลื่อนไหวของปัญญาและระบบประสาทภายในกายเรา จากนั้นจึงกำเนิดเป็นระบบความคิดและวิถีของเหตุผล
และเพื่อให้เข้าใจเหตุผลเราต้องเข้าใจรายละเอียดของระบบการมองเห็น
ระบบประสาท และกลไกทั่วไปของการเชื่อมโยงของประสาท
ซึ่งเป็นระบบที่เชื่อมโยงมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมภายนอก และกระบวนการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลที่รับเข้ามา
ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตเหตุผล
กล่าวโดยสรุปเหตุผลมิใช่รูปลักษณ์ที่อยู่เหนือธรรมชาติของจักรวาล
หรือ เป็นสิ่งที่แยกออกจากร่างกายของมนุษย์
แต่เป็นสิ่งที่ผนึกรวมในร่างกายของมนุษย์ เป็นโครงสร้างที่ซับซ้อนของระบบประสาท
และเป็นการปฏิสัมพันธ์ที่เฉพาะของเรากับสิ่งแวดล้อมและสังคมในวิถีชีวิตประจำวัน
ประการที่สอง เหตุผลเป็นเรื่องของการวิวัฒนาการ เพราะว่าเหตุผลเชิงนามธรรมก่อตัวและใช้รูปแบบของการรับรู้และระบบประสาทเป็นรากฐาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีอยู่ในสัตว์ทั่วไปด้วย โดยผ่านกระบวนการวิวัฒนาการทำให้มนุษย์มีระบบประสาทที่ซับซ้อนซึ่งสามารถสร้างเหตุผลที่เป็นนามธรรมระดับสูงได้มากกว่าสัตว์อื่นโดยทั่วไป
การค้นพบว่าเหตุผลเป็นเรื่องของการวิวัฒนาการทำให้เราเปลี่ยนความคิดว่าสิ่งพิเศษที่แยกมนุษย์ออกจากสัตว์อื่นคือเหตุผลนั้น
กลายเป็นเรื่องที่ไม่จริง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เหตุผลมิได้เป็นแก่นแท้ในการแยกมนุษย์ออกจากสัตว์
แต่ทว่ามนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงจากสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างไม่สามารถแยกออกจากกันได้
ประการที่สาม
เหตุผลมิใช่เรื่องที่เป็น “สัจธรรมทั่วไป” ในความหมายที่อยู่เหนือธรรมชาติ
กล่าวคือมันมิใช่เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลหรือพระผู้เป็นเจ้า
เพราะฉะนั้นคำกล่าวที่ว่าจักรวาลมีเหตุผลของมันเองจึงเป็นคำกล่าวที่เกิดจากจินตนาการ
โดยปราศจากข้อเท็จจริงรองรับ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นสามัญกาลหรือมีความเป็นสากล คือ
สมรรถภาพหรือความสามารถในการแบ่งปันความเข้าใจร่วมอย่างเป็นสากลโดยมนุษยชาติ
สิ่งที่ทำให้มนุษย์แบ่งปันความหมายหรือเหตุผลแก่กันและกันคือ “ความเหมือน” ซึ่งดำรงอยู่ในวิถีของจิตที่ถูกผนึกรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกายของมนุษย์นั่นเอง
ประการที่สี่ มนุษย์ให้เหตุผล
โดยการรู้ตัวหรือการคิดอย่างมีจิตสำนึกเพียงบางส่วนเท่านั้น
แต่เกือบทั้งหมดของการให้เหตุผลหรือการแสดงเหตุผลเป็นเรื่องของ
“จิตไร้สำนึก”
ดังที่เรามักประหลาดใจกับการตัดสินใจกระทำของเราหลายอย่าง
ซึ่งในหลายครั้งจิตสำนึกเรามิอาจหาเหตุผลที่เป็นฐานในการรองรับการกระทำดังกล่าวได้เพราะการกระทำเหล่านั้นถูกผลักดันจากจิตไร้สำนึกซึ่งผนึกแน่นอยู่ในตัวเรา
ประการที่ห้า เหตุผลมิใช่สิ่งที่เป็นภาษาหนังสือหรือภาษาทางการที่แสดงถึงวัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย
เช่น เหตุผลที่ทำโครงการใดโครงการหนึ่งคือเพื่อสร้างหรือพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
แต่เหตุผลยังเป็นเรื่องอุปมาอุปไมยและจินตนาการอีกด้วย เช่น ปลาเน่าหนึ่งตัวเหม็นไปทั้งข้อง
ซึ่งมีนัยว่า เหตุผลที่ทำให้คนทั้งกลุ่มเสียชื่อเสียงเกิดจากคนไม่ดีเพียงคนเดียว
ประการที่หก เหตุผลมิใช่เป็นเรื่องที่มีความเป็นกลางและปราศจากอคติดังที่เคยเข้าใจกัน
แต่เหตุผลเป็นเรื่องที่มีอารมณ์ความรู้สึกเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ดังที่การกระทำใดการกระทำหนึ่ง
ทั้งที่เป็นเรื่องเดียวกัน
แต่การให้เหตุผลที่อธิบายการกระทำนั้นกลับแตกต่างกัน
ตามอารมณ์และจุดยืนของผู้อธิบาย
จากความจริงที่ว่า
เหตุผลเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงโดยองค์รวมของร่างกาย ระบบประสาท และประสบการณ์ อย่างไรก็ตามปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบทั้งสามนี้ทำให้มนุษย์มีระบบคิดและรูปแบบการให้เหตุผลที่จำกัด
จึงทำให้มนุษย์ไม่มีอิสระในการคิดและไม่มีอิสรภาพสัมบูรณ์ดังที่นักปรัชญาบางคนเข้าใจ แท้จริงแล้ว มนุษย์คิดและให้เหตุผลตามสภาพเงื่อนไขที่พวกเขาเผชิญอยู่
เงื่อนไขที่มนุษย์เผชิญหน้าในชีวิตประจำวัน
หาใช่เงื่อนไขเชิงเศรษฐกิจเพียงประการเดียว
แต่มนุษย์เผชิญกับเงื่อนไขที่หลากหลาย
ดังนั้นการคิดว่ามนุษย์กระทำภายใต้เหตุผลเชิงเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวจึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
เหตุผลที่มนุษย์ใช้เป็นฐานในการตัดสินเพื่อกระทำหรือไม่กระทำเรื่องใด
จึงอยู่บนรากฐานของกรอบคิด ความคาดหวัง ความเชื่อ อารมณ์ การจินตนาการ
และการอุปมาอุปไมยที่หลากหลาย บ้างก็เป็นเหตุผลมีสติรู้ตัว แต่ส่วนมากเป็นเหตุผลที่ผุดมาจากจิตไร้สำนึก
การฝึกฝนเพื่อยกระดับจิตไร้สำนึกมาสู่จิตสำนึกเป็นวิถีที่ทำให้มนุษย์เข้าใจตนเอง
เข้าใจผู้อื่นและเข้าใจโลกได้มากขึ้น นั่นอาจเป็นหนทางเดียวที่จะหยุดยั้งความหายนะของมนุษยชาติอันเนื่องมาจากการใช้เหตุผลที่ผุดขึ้นมาจากจิตไร้สำนึกเป็นรากฐานผลักดันให้เกิดการกระทำเพื่อทำลายล้างอย่างรุนแรง
จิตมนุษย์เมื่อหลุดพ้นจากกิเลสตัณหา จึงมีอิสรภาพในการใช้เหตุผล ที่ปราศจากอิทธิพลของกามคุณและอัตตา เข้าใจชัดในสมมุติสัจจะเป็นเบื้องต้น และเข้าใจแจ้งในปรมัตถสัจจะเป็นเบื้องปลาย
ตอบลบทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะมวลมนุษยชาติ ที่ปรารถนาอิสรภาพจากทุกข์ทั้งปวงในโลกนี้