ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เข้าใจแบบชาวบ้านกับอำนาจและความชอบธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ

เข้าใจแบบชาวบ้านกับอำนาจและความชอบธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ 1. การแก้รัฐธรรมนูญมาตรา291. ของพรรคเพื่อไทยและสว.บางส่วน. เป็นการแก้มาตราที่ "ว่าด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ".  ครับ. มาตรา 291 บัญญัติวิธีการแก้ไว้อาลัย.   แต่ ส.ส.เสียงข้างมากไปรื้อถอนวิธีการเหล่านั้น. และแก้ใหม่ โดยให้มี"การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่".    หมายความเป็นการแก้รัฐธรรมนูญ ปี 2550.  เพื่อ ล้มล้างรัฐธรรมนูญ ปี 2550. นั่นเอง.          ด้วยเหตุนี้การทำของส.ส.เสียงข้างจึงอาจเข้าข่ายล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข. ขัดกับมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ. ที่บอกว่า บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพล้มล้างรัฐธรรมนูญไม่ได้.  และ. ใครพบเห็นเหตุการณ์นี้สามารถยื่นเรื่องให้อัยการตรวจสอบและยื่นให้ศาลรัฐธรรมวินิจฉัย สั่งการให้เลิกกระทำดังกล่าวได้ ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญ. จึงมีอำนาจสั่งการให้หยุดการกระทำนั้นได้ครับ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 2  มีกลุ่มคนหลายกลุ่มเช่น สว.กลุ่ม40   กลุ่มคุณวริน เทียมจรัส อดีตสว.  กลุ่มพันธมิตร ส่งคำร้องไปที่อัยการ. เพื่อให้อัยการสอบสวน และส่งต่อให้. ศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่า. การแก้รัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญทำได้หรือไม่. เป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่.   3   แต่ปรากฎว่ายื่นไปเป็นเวลานานแล้ว  อัยการสูงสุดไม่เร่งรัดดำเนินการ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเมืองได้.  ประชาชนบางกลุ่มจึงอาศัยช่องทางตามมาตรา 212 ของรัฐธรรมนูญ. ใช้สิทธิยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญ  เพราะมาตรานี้ระบุว่า หากประชาชนถูกละเมิดสิทธิ แล้วไม่มีช่องทางอื่นแล้วให้ใช้ช่องทางนี้ ตามพรบ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรนูญ (การแก้รัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย เพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนอย่างร้ายแรงครับ. เพราะรัฐธรรมกำหนดสิทธิประชาชนไว้หลายอย่าง และไม่มีหลักประกันอะไรว่า ร่างรัฐธรรมนูญใหม่จะคงสิทธิเหล่านั้นไว้.  รวมทั้งอาจเป็นการล้มล้างระบอบปกครองประชาธิปไตย ซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายสิทธิทั้งหมดของประชาชน) 4.ศาลรัฐธรรมนูญอาศัยอำนาจตามมาตรา. 212 นี้ครับ รับคำร้องของประชาชน. เป็นอำนาจที่มีการรับรองอย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญครับ.  ไม่ใช่เป็นการแทรกแซงอำนาจนิติบัญญัติแต่อย่างใด 5.ศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากวินิจฉัยแล้ว เห็นว่า. การกระทำของพรรคเพื่อไทยและสว.บางส่วนที่อาจเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย.  และหากปล่อยไว้อาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ประเทศ. ดังนั้นจึงสั่งการตามอำนาจที่มีในรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ครับ หาได้ใช้อำนาจตามอำเภอใจอย่างที่มีการโจมตีจากพวกกลุ่มเสื้อแดงแต่อย่างใด  6.ศาลรัฐธรรมนูญจึงสั่งการให้ ระงับการลงมติการแก้รัฐธรรมนูญในวาระสามไว้ก่อน. เพื่อไต่สวนในต้นเดือนกรกฎาคม 2555. เมื่อไต่สวนเสร็จก็จะวินิจฉัยว่า. การทำของพรรคเพื่อไทยและสว.  บางส่วน.  เป็นการล้มล้างระบอบการปกครองหรือไม่ 7 สรุปว่า. การกระทำครั้งนี้ของศาลรัฐธรรมนูญ กระทำโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญทุกประการ. และเป็นสิ่งที่มีความชอบธรรม.  รวมทั้งเป็นการทำด้วยเจตนารักษกฎหมาย รักษารัฐธรรมนูญ และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขครับ 8 ดังนั้น ใครขัดขวางหรือไม่ทำตามการสั่งการของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้. จึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ครับ. ใครยุยงไม่ให้ผู้อื่นปฏิบัติตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับยุยงให้ผู้อื่นกระทำผิดกฎหมายเช่นเดียวกันครับ.   9 ใครไม่ฟังคำสั่งการของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 68  ของรัฐธรรมนูญ2550 ผิดกฎหมายแน่นอนครับ และมีโอกาสติดคุกหากเชื่อและทำตามคำยุยง ของผู้อื่นให้ละเมิดคำสั่งนี้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คำถามประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการทำแท้งคือ เมื่อไรที่จะนับว่าชีวิตมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และ ณ จุดไหนที่สังคมควรจะเข้าไปดำเนินการปกป้องชีวิตที่กำลังก่อกำเนิด       ส่วนข้อถกเถียงเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับการทำแท้งมี ๒ ประเด็นหลักคือ  ประเด็นแรกคือ “คุณค่าของพื้นฐานแห่งชีวิต” ซึ่งมีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ยังไม่ได้กำเนิดมาดูโลก กับชีวิตของมารดา   ประเด็นที่สองคือ “พื้นฐานของเสรีภาพส่วนบุคคคล” ซึ่งเป็นสิทธิของมารดาเหนือร่างกายของตนเองในการให้กำเนิดและกำหนดชีวิต และประเด็นที่เป็นความขัดแย้งอีกประการคือแนวคิดเกี่ยวกับ “สิทธิสัมบูรณ์”  ระหว่างสิทธิของทารกในครรภ์ที่จะก่อตัวพัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษย์ กับสิทธิของมารดาในการควบคุมชีวิตและร่างกายของตนเอง ชีวิตมนุษย์เริ่มจากไหนและพัฒนาอย่างไร   ในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายขั้นตอนของการพัฒนาตัวอ่อนในครรภ์ในเป็นมนุษย์ ดังนี้ ๑.       ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นจากไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์จากอสุจิ หนึ่งเซลล์ของมนุษย์ผู้หนึ่งผสมกับเซลล์ของมนุษย์อีกผู้หนึ่ง กลายเป็นสองเซลล์และขยายเป็นสี่ และจากนั้นภายในหกวั

วิจารณ์หนังสือ การสร้างทฤษฎีฐานราก: แนวทางเชิงปฏิบัติผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ของ Kathy Charmaz. พิมพ์ในวารสารพัฒนาสังคม V 14. No. 2

บทวิจารณ์หนังสือ  พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต Kathy Charmaz  2006. Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis. London: SAGE   จำนวน  208  หน้า ความเป็นมาของทฤษฎีฐานราก ระเบียบวิธีทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) อุบัติขึ้นจากนักสังคมวิทยาสองคนคือ Barney G. Glaser และ Anselm L. Strauss ช่วงกลางทศวรรษ 1960s    ทั้งสองไปทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสภาวะกำลังตายและการตาย ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล    พวกเขาได้พัฒนายุทธศาสตร์เชิงระเบียบวิธีอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งทำให้นักสังคมศาสตร์สามารถนำไปประยุกต์ในการศึกษาเรื่องอื่นๆได้จำนวนมาก   ในปี 1967 Glaser และ Strauss  ได้เสนอระเบียบวิธีนี้เข้ามาสู่แวดวงวิชาการในหนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขา คือ The Discovery of Grounded Theory   ซึ่งทำให้การวิจัยเชิงคุณภาพรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ของระเบียบวิธี        ช่วงเวลาก่อนที่ Glaser และ Strauss เสนอระเบียบวิธีการวิจัยทฤษฎีฐานรากเป็นช่วงที่การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในสาขาสังคมวิทยากำลังประสบกับปัญหาทางระเบียบวิธีวิทยาอย่างหนักหน่วง   การวิจัยเชิงคุณ

พหุวัฒนธรรมนิยม สิทธิชนกลุ่มน้อยและความสมานฉันท์

พหุวัฒนธรรมนิยม สิทธิชนกลุ่มน้อยและความสมานฉันท์          พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต จากความขัดแย้งของสังคมไทยที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องอุดมการณ์ เรื่องเชื้อชาติและศาสนาในสามจังหวัดภาคใต้  และปัญหาแรงงานอพยพที่นับวันจะมีมากขึ้น ทำให้ผู้เขียนเห็นถึงความจำเป็นที่ต้องนำเสนอความคิดทางสังคมการเมืองซึ่งอาจนำไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายและการปฏิบัติเพื่อทำให้สังคมลดความขัดแย้ง  สร้างการบูรณาการ และความสมานฉันท์อย่างเป็นระบบขึ้นมา   เนื่องจากแนวความคิดนี้มีความยาวและต้องทำความเข้าใจในหลายมิติ ผู้เขียนพยามยามนำเสนอให้ง่ายต่อการอ่านและการเข้าใจ          พหุวัฒนธรรมนิยม ( multiculturalism) เป็นแนวคิดคู่แข่งทางวิชาการและนโยบายของลัทธิชาตินิยม ( nationalism)      นักวิชาการเริ่มใช้คำนี้ประมาณทศวรรษ 1960  เพื่ออธิบายนโยบายสาธารณะใหม่ ในประเทศแคนาดา ต่อมาขยายไปสู่ประเทศออสเตรเลีย  การพัฒนาการของแนวคิดนี้เป็นการเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยของรัฐบาลเพื่อเปลี่ยนแปลงนโยบายการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม ( assimilation) ไปสู่นโยบายสังคมพหุวัฒนธรรม นโยบายผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมทำให้วัฒ