พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
การเมืองไทย: การต่อสู้ระหว่างภาวะวิวัฒน์เวียนวนกับเปลี่ยนกระบวนทัศน์
การเมืองไทยในปัจจุบันกำลังตกอยู่ในภาวะที่คลิฟฟอร์ด
เกียร์ซ นักมนุษยวิทยาผู้เรืองนาม เรียกว่า
“วิวัฒน์เวียนวน
(Involution)” อันเป็นสภาวะที่เมื่อระบบใดระบบหนึ่งวิวัฒนาการจนได้รูปแบบที่ชัดเจนรูปแบบหนึ่งแล้ว รูปแบบนั้นก็จะคงทนและไม่สามารถพัฒนาต่อไป
หรือเปลี่ยนแปลงไปสู่รูปแบบใหม่ได้ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมาภายใต้วิวัฒน์เวียนวนคือ
การก่อตัวซ้ำของรูปแบบเดิมซึ่งมีความซับซ้อนยิ่งขึ้นเท่านั้น ขณะที่ปัญหาที่เกิดขึ้นภายใต้รูปแบบทางสังคมที่เฉพาะรูปแบบหนึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ เพราะสังคมไม่มีพลังขับเคลื่อนที่สร้างสรรค์เพียงพอที่จะทะลุกำแพงแห่งรูปแบบนั้นออกไป
อันที่จริงแนวคิดวิวัฒน์เวียนวนนี้ บางส่วนมีความคล้ายคลึง และบางส่วนมีความแตกต่างจากแนวคิดกระบวนทัศน์(Paradigm) ของ โทมัส
คูห์น นักปรัชญาวิทยาศาสตร์นามอุโฆษ ผู้มองว่าในช่วงเวลาหนึ่งของวิทยาศาสตร์สาขาใดสาขาหนึ่ง จะมีชุดของความคิด สมมติฐาน ทฤษฎี
ที่นักวิทยาศาสตร์ในสาขานั้นยอมรับและใช้เป็นแนวทางในการศึกษาวิจัย ซึ่งคูห์นเรียกว่า กระบวนทัศน์
กระบวนทัศน์เป็นสิ่งกำหนดว่า
อะไรคือแผนการในอนาคตที่ชุมชนวิทยาศาสตร์พึงประสงค์ อะไรคือประเด็นปัญหาที่ควรศึกษาเพื่อหาคำตอบ วิธีการที่เหมาะสมและได้รับการยอมรับในการแก้ปัญหานั้นมีลักษณะอย่างไร งานของนักวิทยาศาสตร์ปกติคือ
การพยายามแก้ข้อปัญหาเล็กๆน้อยๆ หากผลการวิจัยออกมาขัดแย้งกับกระบวนทัศน์
นักวิทยาศาสตร์ก็มักทึกทักเอาว่า เป็นเพราะมีการทดลองที่ผิดพลาด
ไม่ใช่กระบวนทัศน์ผิดเพราะกระบวนทัศน์เป็นสิ่งที่ต่อรองไม่ได้
เมื่อเวลาผ่านไป มีการค้นพบปรากฏการณ์ที่แตกต่างจากความคิดกระแสหลัก
ในช่วงแรกๆ ปรากฏการณ์นี้จะถูกละเลย
แต่เมื่อมีปรากฏการณ์ที่ผิดแผกจากกระแสหลักมากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกถึงวิกฤติก็คืบคลานเข้ามา ซึ่งมีนัยว่ากระบวนทัศน์นั้นกำลังเผชิญกับปัญหาจำนวนมากซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้
ยิ่งแก้ก็ยิ่งดูจะไปเพิ่มความซับซ้อนของปัญหายิ่งขึ้น จนมีการเสนอทางเลือกหลากหลายเพื่อแข่งขันกับกระบวนทัศน์เก่า
และในที่สุดกระบวนทัศน์ใหม่ก็เกิดขึ้น
ซึ่งคูห์นระบุว่าใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วคน
ความคล้ายคลึงระหว่างแนวคิดวิวัฒน์เวียนวนและแนวคิดกระบวนทัศน์
คือ ในสภาวะหนึ่ง สังคมหรือวัฒนธรรมจะมีแบบแผนทางความคิดและความเชื่อชุดหนึ่งที่สังคมใช้เป็นแนวทางหลักในการทำความเข้าใจกับโลกและความเป็นจริง ตลอดจนใช้กรอบคิดนั้นเป็นพื้นฐานในการแสวงหาแนวทางในการจัดการกับวิถีชีวิตทางสังคมหรือแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญหน้า ซึ่งดูเหมือนว่าจะใช้ได้ดีในระดับหนึ่ง แต่เมื่อสภาวะทางสังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ชุดของความเชื่อและกรอบคิดดังกล่าวไม่มีความสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ วิธีการแก้ปัญหาแบบเดิมๆ
รังแต่ไปเพิ่มความซับซ้อนให้กับปัญหายิ่งขึ้น
จนท้ายที่สุดก็ตกอยู่ในสภาพที่เป็นลิงพันแห หาทางออกไม่ได้
อย่างไรก็ตามในความเหมือนนั้นมีความแตกต่าง กล่าวคือแนวคิดเชิงกระบวนทัศน์ เห็นว่าเมื่อกระบวนทัศน์เดิมไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ผู้คนในสังคมก็เสนอชุดของความคิดและความเชื่อใหม่ซึ่งอาจจะมีหลากหลายชุดในการทำความเข้าใจและให้ความหมายกับความเป็นจริง รวมทั้งมีการนำเสนอวิธีการใหม่ๆในการแก้ปัญหา หากชุดทางความคิดและความเชื่อใดมีพลังในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นและสามารถสร้างความยอมรับให้เกิดกับผู้คนจำนวนมากในสังคม
การเปลี่ยนแปลงก็ค่อยๆเกิดขึ้นและเมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะมีการเปลี่ยนแปลงแบบปฏิวัติ
ซึ่งกระบวนทัศน์ใหม่เข้ามาแทนที่กระบวนทัศน์เดิมอย่างรอบด้าน
ส่วนแนวคิดวิวัฒน์เวียนวนนั้น
ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางออกสำหรับวังวนหรือเขาวงกตของปัญหา
วิธีการแก้ปัญหานั้นยังคงเป็นวิธีการที่มีชุดความคิดแบบเดิมเพียงแต่ขยายขอบเขตในการแก้ปัญหาในอาณาบริเวณที่กว้างขึ้น หรือบางครั้งอาจเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างจากวิธีการแบบเดิมบ้างแต่ก็เป็นเพียงความแตกต่างในเชิงรูปแบบหาได้มีความแตกต่างในเชิงหลักคิดไม่ เช่น การแก้ปัญหาความยากจน
ในยุคหนึ่งใช้แนวทางการส่งเสริมอาชีพชาวบ้าน ในยุคต่อมาแก้โดยให้ชาวบ้านกู้เงินไปประกอบอาชีพ
และในยุคต่อมาแก้โดยการให้บริการด้านสาธารณูปโภคฟรี วิธีการเช่นนี้เป็นการแก้ปัญหาในเชิงวิวัฒน์เวียนวน
ซึ่งไม่มีทางที่จะแก้ปัญหาความยากจนได้
เช่นเดียวกันกับการแก้ปัญหาการซื้อขายเสียง
ยุคหนึ่งแก้ปัญหาโดย การปรับเปลี่ยนระบบการเลือกตั้งจาก “หนึ่งเขตเลือก ส.ส.
ได้สามคน” เป็น “เลือกแบบเขตเดียวเบอร์เดียว” ต่อมาก็เปลี่ยนกลับไป เลือกแบบ “หนึ่งเขตเลือก ส.ส.ได้สามคน” อีก เวียนวนไปเรื่อยๆ
และไม่สามารถแก้ปัญหาซื้อขายเสียงได้
สังคมไทยในปัจจุบัน
มีนักวิชาการและชนชั้นนำทางสังคมจำนวนมากที่ยังคงมีชุดความคิดแบบวิวัฒน์เวียนวน โดยเชื่อว่า “ระบบการเมืองแบบตัวแทน”สามารถแก้ปัญหาสังคมการเมืองไทยได้
และพยายามเสนอทางออกในรูปแบบเดิมๆ เกี่ยวกับระบบการเลือกตั้งบ้าง
ระบบการนับคะแนนบ้าง เป็นวิธีการแก้ปัญหาการเมืองไทย แต่หากวิธีการแก้ปัญหายังอยู่ในกรอบความคิดระบบการเมืองแบบตัวแทนก็ยากที่จะทำให้การเมืองไทยหลุดพ้นจากวังวนของปัญหาได้
การเมืองไทยจำต้องมีกระบวนทัศน์ใหม่
เพื่อใช้ทำความเข้าใจความเป็นจริงทางสังคมในมิติใหม่ จำเป็นต้องทลายกรอบความคิดแบบเดิมที่อยู่บนฐานของประชาธิปไตยแบบตัวแทน และเสนอทางเลือกใหม่ที่ท้าทายซึ่งอยู่บนฐานของ “ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมและแบบปรึกษาหารือ” เพื่อผลักดันสังคมการเมืองไทยให้หลุดพ้นจากกรอบของวิวัฒน์เวียนวนนี้ออกไปให้ได้ ก่อนจะเกิดวิกฤติใหญ่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น