ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

มายาคติของการเลือกตั้งและพรรคการเมืองในสังคมไทย


มายาคติของการเลือกตั้งและพรรคการเมืองในสังคมไทย  

พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

มายาคติคติหรือความหลงผิดทางวิชาการเป็นความเข้าใจปรากฏการณ์คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงทั้งด้านลักษณะธรรมชาติ องค์ประกอบ กระบวนการ  สาเหตุอันเป็นเงื่อนไขของการเกิดขึ้นและดำรงอยู่  และผลสืบเนื่องของปรากฎการณ์นั้นที่มีต่อปรากฎการณ์อื่น

ความหลงผิดทางวิชาการนำไปสู่การกำหนดแนวทางและมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง  จึงทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้และอาจส่งผลให้ปัญหานั้นปานปลายหรืออาจนำไปสู่การสร้างปัญหาใหม่ที่ใหญ่และรุนแรงกว่าเดิม  

การพัฒนาหรือสร้างสรรค์สิ่งใดก็ตามหากถูกชี้นำด้วยความหลงผิดทางวิชาการ ก็มีแนวโน้มประสบกับความล้มเหลว  และอาจนำไปสู่การสร้างความขัดแย้งทางสังคม

เงื่อนไขที่ทำให้เกิดความหลงผิดทางวิชาการมาจาก การรับรู้แบบเสี่ยงเสี้ยวหรือแบบตาบอดคลำช้าง  การมีฐานคิดและความเชื่อที่ผิดพลาด   และการมีค่านิยมหรือความชอบในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไปจนเกิดอคติขึ้นมา

เมื่อจิตของบุคคลหรือกลุ่มใดกอปรไปด้วยเงื่อนไขทั้งสาม จิตนั้นก็จะสร้างภาพมายาคติขึ้นมา และยึดถือเอามายาคตินั้นเป็นความจริงเพื่อชี้นำความคิดและการปฏิบัติของตนเอง  ยิ่งยึดมายาคติว่าเป็นความจริงอย่างเหนียวแน่นมากเท่าไร  ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการนำมายาคตินั้นไปใช้ก็จะมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว   และหากบุคคลนั้นมีอิทธิพลทางความคิดต่อผู้อื่นในสังคมด้วยแล้ว  ความเสียหายก็จะแผ่ขยายออกไปในวงกว้างยิ่งขึ้น

ความหลงผิดทางวิชาการหรือมายาคติเกี่ยวกับการเมืองไทยมีหลายประการ  แต่ผู้เขียนจะหยิบยกเรื่องสำคัญซึ่งเป็นประเด็นปัญหาในปัจจุบันมาอภิปราย 2 เรื่องก่อน ได้แก่    ความหลงผิดว่า “การเลือกตั้งเท่ากับการเป็นประชาธิปไตย” และความหลงผิดว่า “ความเข้มแข็งของพรรคการเมืองเป็นผลดีต่อประชาธิปไตย” 

การเลือกตั้งเท่ากับประชาธิปไตยหรือไม่  คำตอบคือ การเลือกตั้งเป็นกลไกอย่างหนึ่งในการคัดเลือกบุคคลที่มีคุณภาพ  มีความสามารถ มีคุณธรรม ขึ้นไปเพื่อทำหน้าที่และใช้อำนาจด้านนิติบัญญัติและด้านการบริหารแทนประชาชน   หากกล่าวอย่างตื้นๆแบบรวมๆ การเลือกตั้งก็เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย

อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งมีหลายประเภท หลายรูปแบบ และหลายเนื้อหา  เราจึงมิอาจกล่าวได้ว่าการเลือกตั้งทุกประเภทเป็นองค์ประกอบประชาธิปไตย   การเลือกตั้งที่เป็นองค์ประกอบของประชาธิปไตยต้องมีคุณสมบัติสำคัญอันขาดเสียมิได้คือ  การเลือกตั้งนั้นต้องเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ เที่ยงธรรม ปลอดจากการทุจริต  และผู้เลือกตั้งต้องมีเหตุผลและข้อมูลข่าวสารเพียงพอในการตัดสินใจว่าควรเลือกพรรคการเมืองใด หรือผู้สมัครคนใด เป็นผู้แทนของตนเอง

การเลือกตั้งที่มีการทุจริตซื้อเสียง  โดยการนำเงิน สิ่งของวัตถุ ให้ผู้เลือกตั้ง  ในช่วงเวลาก่อน ระหว่าง หรือหลังการเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนนั้น   ย่อมมิอาจถือได้ว่าการเลือกตั้งแบบนั้นเป็นองค์ประกอบของประชาธิปไตย

การเลือกตั้งที่มีการซื้อเสียงด้วยการใช้นโยบายประชานิยม  ที่บรรดาพรรคการเมืองเสนอเงินตราหรือผลประโยชน์ในเชิงรูปธรรมแก่ผู้เลือกตั้งเฉพาะกลุ่มเพื่อให้เลือกตนเอง  เป็นการโน้มน้าวจูงใจให้ประชาชนใช้เหตุผลและตรรกะที่ผิดพลาด  เพราะเป็นการให้ข้อมูลเพียงส่วนเดียว   และละเลยไม่ให้ข้อมูลที่แสดงถึงความเป็นไปได้ ผลกระทบ หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจากนโยบายประชานิยมให้รอบด้าน    

การใช้นโยบายประชานิยมในการหาเสียงจึงเปรียบเสมือนเป็นการหลอกลวงประชาชนให้เข้าใจผิดจากสภาพความเป็นจริง   การเลือกตั้งในลักษณะนี้จึงไม่เข้าข่ายการเลือกตั้งที่เป็นองค์ประกอบของประชาธิปไตย

การเลือกตั้งที่มีการใช้อำนาจรัฐในการควบคุม คุกคาม ข่มขู่ คู่แข่งทางการเมือง การเลือกตั้งที่ผู้จัดการเลือกตั้งเอื้อประโยชน์แก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดเป็นพิเศษ  การเลือกตั้งที่มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวในสนามการเลือกตั้ง  หรือ การเลือกตั้งที่มีการใช้อำนาจอิทธิพลเพื่อเปลี่ยนแปลงคะแนนเสียง  การเลือกตั้งเหล่านี้ก็มิใช่การเลือกตั้งที่เป็นองค์ประกอบของระบอบประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน

ลักษณะการเลือกตั้งข้างต้นเป็นการเลือกตั้งที่สะท้อนให้เห็นว่า อำนาจอธิปไตยของประชาชนมิได้ถูกใช้ไปตามเจตจำนงที่เป็นอิสระและมีเหตุผลที่เชื่อมโยงกับหลักคุณธรรมและผลประโยชน์ต่อส่วนรวมประเทศชาติ   การเลือกตั้งเหล่านั้นจึงเป็นการเลือกตั้งที่มีคุณสมบัติไม่สอดคล้องกับการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย

และด้วยข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์จากงานวิจัยจำนวนมากของนักรัฐศาสตร์และประสบการณ์จริงของสามัญชน   บ่งชี้อย่างชัดเจนว่าการเลือกตั้งในสังคมไทยเป็นการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยการฉ้อฉล มากล้นไปด้วยการซื้อเสียง มีการใช้อำนาจรัฐในทางที่มิชอบ และมีการใช้วิธีการทุจริตทุกรูปแบบ

ดังนั้นการเข้าใจว่าการเลือกตั้งในประเทศไทยเป็นองค์ประกอบของประชาธิปไตยหรือเท่ากับประชาธิปไตย  จึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและหลงผิดไปจากความเป็นจริงเชิงประจักษ์   เพราะโดยเนื้อหาแล้ว การเลือกตั้งของประเทศไทยไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะกล่าวได้ว่าเป็นองค์ประกอบของประชาธิปไตยด้วยซ้ำ     หากจะเป็นได้คุณสมบัติของการเลือกตั้งไทยเป็นได้เพียงองค์ประกอบของระบอบการซื้อเสียงหรือระบอบสัมปทานธิปไตยโดยเผด็จการพรรคการเมืองนายทุนผูกขาดเท่านั้น

สำหรับความเข้าใจผิดทางวิชาการในสังคมไทยอีกประการหนึ่งคือ ความเข้าใจว่าความเข้มแข็งของพรรคการเมืองส่งผลดีต่อประชาธิปไตย   ความเข้าใจนี้อาจมีส่วนถูกในประเทศตะวันตก แต่กลับผิดอย่างสิ้นเชิงในบริบทของสังคมไทยทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้าอีกหลายปี  คงต้องใช้เวลาอีกยาวนานพอสมควรที่ความเชื่อนี้จะกลายเป็นจริงขึ้นมาในสังคมไทย 

  ความเชื่อว่าความเข้มแข็งของพรรคการเมืองส่งผลดีต่อระบอบประชาธิปไตยมีรากฐานมาจากหลักคิดพหุนิยมทางการเมืองของประเทศตะวันตก  อันมีฐานคิดว่าพรรคการเมืองคือ  การรวมตัวกันของกลุ่มผลประโยชน์ที่หลากหลายในสังคมซึ่งมีอุดมการณ์และผลประโยชน์ร่วมกัน และเป็นเวทีสำหรับพลเมืองในการฝึกฝนทักษะและประสบการณ์ทางการเมือง   อันเป็นฐานสำหรับใช้ทำงานการเมืองในระดับชาติต่อไปพรรคการเมืองในลักษณะนี้ทางวิชาการเรียกว่า พรรคการเมืองแบบมวลชน(mass party)

พรรคการเมืองแบบมวลชนมีองค์การของพรรคที่ทำหน้าที่ในการศึกษาวิจัย สำรวจปัญหาความต้องการของประชาชนและสังคม เพื่อนำมาใช้กำหนดเป็นนโยบาย ซึ่งเรียกว่าเป็นนโยบายที่มีฐานจากข้อมูลหลักฐานที่เป็นจริง (evidence-based policy)  มีการศึกษาความเป็นไปได้เชิงปฏิบัติและผลกระทบทั้งทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ อย่างเป็นระบบ ก่อนที่จะนำเสนอต่อสาธารณะ 

ดังนั้นความเข้มแข็งของพรรคการเมืองแบบมวลชนจึงมีผลดีต่อระบอบประชาธิปไตยเพราะเป็นพรรคการเมืองที่มีส่วนในการสร้างองค์ความรู้และทางเลือกแก่สังคมอย่างมีเหตุมีผล  โดยใช้ข้อมูลข่าวสารเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับการตัดสินใจ  อันจะทำให้ประชาชนผู้เลือกตั้งมีความเข้าใจปัญหาและทางเลือกในการแก้ปัญหาประเทศของตนเองได้อย่างชัดเจน  และทำให้การตัดสินใจทางการเมืองเป็นการตัดสินใจที่อยู่บนพื้นฐานของเหตุผลซึ่งส่งผลดีต่อระบอบประชาธิปไตย

ส่วนพรรคการเมืองในสังคมไทย เป็นพรรคการเมืองที่มีกลุ่มนายทุนผูกขาดเป็นเจ้าของพรรค หรือหากไม่เป็นเจ้าของก็มีอิทธิพลในการครอบงำทิศทางนโยบายของพรรค  เช่น พรรคเพื่อไทย มีทักษิณ ชินวัตร มหาเศรษฐีระดับโลกที่เคยเป็นเจ้าของธุรกิจสื่อสาร และปัจจุบันเป็นนายทุนที่ลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม  เช่น พลังงาน เหมืองแร่ บริการ อสังหาริมทรัพย์ และการเงิน เป็นต้น   หรือ พรรคชาติไทยพัฒนามีบรรหาร ศิลปอาชา ซึ่งเป็นนายทุนในธุรกิจก่อสร้าง  ท่องเที่ยวและธุรกิจอื่นๆอีกจำนวนมาก เป็นผู้ควบคุมทิศทางของพรรค   หรือ พรรคประชาธิปัตย์ มีสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นนายทุนในธุรกิจที่เกี่ยวกับ การเกษตรอุตสาหกรรม และท่องเที่ยว เป็นผู้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของพรรคสูงยิ่ง

พรรคการเมืองในประเทศไทยจึงเป็นพรรคการเมืองที่เป็นแหล่งรวมตัวของกลุ่มทุนข้ามชาติ ทุนระดับชาติ และทุนระดับท้องถิ่น เกือบทั้งหมด  ไม่ได้เป็นการรวมตัวของกลุ่มผลประโยชน์ที่หลากหลายจากกลุ่มอาชีพต่างหรือกลุ่มประชาสังคมดังในประเทศตะวันตก

 เป้าหมายในการตั้งพรรคการเมืองของนายทุนผูกขาดเหล่านี้ คือ การแสวงหาตำแหน่งและอำนาจทางการเมือง เพื่อใช้เป็นช่องทางในการแสวงหาโอกาสใช้งบประมาณแผ่นดินและหาส่วนเกินทางเศรษฐกิจมาครอบครองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

การกำหนดนโยบายของพรรคการเมืองไทยจึงอาศัยข้อมูลในเชิงการตลาดและกระแสอารมณ์ความรู้สึกของผู้เลือกตั้ง  มิได้ตั้งอยู่บนเหตุผลความเป็นจริง ความเป็นไปได้ในทางการปฏิบัติ และผลกระทบที่ตามมาต่อสังคม   เช่น ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 มีการเสนอนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจากประมาณ 215 บาทในเขตปริมณฑล เป็น 300 บาท ทั่วประเทศ   หรือ ขึ้นเงินเดือนนักศึกษาปริญญาตรีจาก 8 พันกว่าบาท เป็น 15,000 บาท เป็นต้น    พรรคการเมืองที่ประกาศนโยบายเหล่านี้ในช่วงหาเสียง เมื่อได้เป็นรัฐบาลก็มิอาจทำได้ตามที่สัญญากับประชาชนเอาไว้  หรือ หากทำก็ทำในลักษณะที่แตกต่างไปจากช่วงที่ประกาศตอนหาเสียง

นโยบายของพรรคการเมืองไทยจึงเป็นนโยบายที่มุ่งหลอกลวงผู้เลือกตั้งให้หลงเชื่อ เพื่อหวังให้ได้คะแนน เป็นนโยบายที่ไม่สร้างความรู้ ไม่ปัญญา และไม่สร้างเหตุผล  ตรงกันข้ามกับสร้างความงมงายและความมืดบอดแก่คนในสังคมเป็นหลัก

พรรคการเมืองในแบบของสังคมไทยจึงมีลักษณะเป็น “พรรคการเมืองชนชั้นนำของทุนสามานย์”      (elite party of vulgar capitalist )     ดังนั้นการส่งเสริมให้พรรคการเมืองแบบนี้เข้มแข็ง ดังที่นักวิชาการไทยกระทำลงไปในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540  ด้วยความเข้าใจและความเชื่อที่ผิดๆคิดว่าพรรคการเมืองไทยจะเป็นแบบพรรคการเมืองมวลชนดังในประเทศตะวันตก จึงเป็นการทำให้นายทุนผูกขาดที่เป็นเจ้าของพรรคการเมืองมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น   และเมื่อเป็นเช่นนั้นนายทุนพรรคการเมืองจึงกระชับความเข้มข้นของอำนาจในการควบคุมรัฐสภา และสร้างปรากฏการเผด็จการรัฐสภาขึ้นมา   รวมทั้งยังทำลายหลักการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจต่างๆที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 จนหมดสิ้น

สำหรับประเทศไทยซึ่งพรรคการเมืองยังเป็นพรรคการเมืองชนชั้นนำของนายทุนสามานย์ ความเข้มแข็งของพรรคการเมืองจึงทำให้ประชาธิปไตยอ่อนแอ   และทำให้สังคมเดินไปสู่เส้นทางของระบอบเผด็จการภายใต้เสื้อคลุมของวาทกรรมประชาธิปไตยที่พวกเขาอ้างขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมในการรักษาสถานภาพและอำนาจ   

กล่าวโดยสรุป ตราบใดที่การเลือกตั้งในสังคมไทยยังเต็มไปด้วยการทุจริต ฉ้อฉล ซื้อขายเสียง  การทำให้การเลือกตั้งขยายตัวออกไป  ก็จะยิ่งสร้างปัญหาให้กับระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น    และตราบใดที่พรรคการเมืองไทยยังเป็นพรรคการเมืองชนชั้นนำของนายทุนสามานย์   การทำให้พรรคการเมืองแบบนี้เข้มแข็งก็เท่ากับว่าเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย และส่งเสริมให้สังคมไทยกลายสภาพเป็นระบอบเผด็จการเร็วขึ้น


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิจารณ์หนังสือ การสร้างทฤษฎีฐานราก: แนวทางเชิงปฏิบัติผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ของ Kathy Charmaz. พิมพ์ในวารสารพัฒนาสังคม V 14. No. 2

บทวิจารณ์หนังสือ  พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต Kathy Charmaz  2006. Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis. London: SAGE   จำนวน  208  หน้า ความเป็นมาของทฤษฎีฐานราก ระเบียบวิธีทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) อุบัติขึ้นจากนักสังคมวิทยาสองคนคือ Barney G. Glaser และ Anselm L. Strauss ช่วงกลางทศวรรษ 1960s    ทั้งสองไปทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสภาวะกำลังตายและการตาย ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล    พวกเขาได้พัฒนายุทธศาสตร์เชิงระเบียบวิธีอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งทำให้นักสังคมศาสตร์สามารถนำไปประยุกต์ในการศึกษาเรื่องอื่นๆได้จำนวนมาก   ในปี 1967 Glaser และ Strauss  ได้เสนอระเบียบวิธีนี้เข้ามาสู่แวดวงวิชาการในหนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขา คือ The Discovery of Grounded Theory   ซึ่งทำให้การวิจัยเชิงคุณภาพรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ของระเบียบวิธี        ช่วงเวลาก่อนที่ Glaser และ Strauss เสนอระเบียบวิธีการวิจัยทฤษฎีฐานรากเป็นช่วงที่การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในสาขาสังคมวิทยากำลังประสบกับปัญหาทางระเบียบวิธีวิทยาอย่างหนักหน่วง   การวิจัยเชิงคุณ

ความผิดพลาดของมนุษย์ตามแนวคิดของ ฟรานซิส เบคอน

ความผิดพลาดของมนุษย์ : ชนเผ่า ถ้ำ ตลาด และโรงมหรสพ พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต เห็นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในระยะนี้  ยิ่งทำให้เห็นความจริงประการหนึ่งว่า ทะเลแห่งความมืดบอดของสังคมไทยนับวันจะขยายตัวออกไปมากขึ้น   และเกาะแห่งปัญญานับวันจะลดน้อยถอยลง  หากภาวะเช่นนี้ดำรงต่อไปนานเท่าไร  ก็ยิ่งทำให้ทะเลแห่งความมืดบอดมีโอกาสกลืนกินเกาะแห่งปัญญาจนหมดสิ้นในไม่ช้า  ผมไปอ่านงานของนักปรัชญาท่านหนึ่ง  เห็นว่ามีความน่าสนใจโดยเฉพาะการวิเคราะห์เกี่ยวกับความผิดพลาดทางปัญญาและการให้เหตุผลของมนุษย์   ซึ่งทำให้เราต้องนำมาทบทวน ระมัดระวัง จะได้ไม่ตกอยู่ในความผิดพลาดนั้น   เพื่อจะได้พัฒนาปัญญาของตนเองให้กระจ่างชัด และมีหนทางในการนำพาสังคมให้หลุดพ้นจากทะเลแห่งความมืดบอดต่อไป ฟรานซิส เบคอน นักปรัชญาชาวอังกฤษซึ่งมีชีวิตระหว่าง ค.ศ. 1561 ถึง 1626   วิเคราะห์จำแนกสาเหตุของความผิดพลาดในการใช้เหตุผลของมนุษย์ออกเป็นสี่แบบ  ได้แก่ ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของชนเผ่า ( Idols of the Tribe)    ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของถ้ำ ( Idols of the Cave)   ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของตลาด (Idols of the Market-place)   และความผิดพลาด

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คำถามประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการทำแท้งคือ เมื่อไรที่จะนับว่าชีวิตมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และ ณ จุดไหนที่สังคมควรจะเข้าไปดำเนินการปกป้องชีวิตที่กำลังก่อกำเนิด       ส่วนข้อถกเถียงเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับการทำแท้งมี ๒ ประเด็นหลักคือ  ประเด็นแรกคือ “คุณค่าของพื้นฐานแห่งชีวิต” ซึ่งมีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ยังไม่ได้กำเนิดมาดูโลก กับชีวิตของมารดา   ประเด็นที่สองคือ “พื้นฐานของเสรีภาพส่วนบุคคคล” ซึ่งเป็นสิทธิของมารดาเหนือร่างกายของตนเองในการให้กำเนิดและกำหนดชีวิต และประเด็นที่เป็นความขัดแย้งอีกประการคือแนวคิดเกี่ยวกับ “สิทธิสัมบูรณ์”  ระหว่างสิทธิของทารกในครรภ์ที่จะก่อตัวพัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษย์ กับสิทธิของมารดาในการควบคุมชีวิตและร่างกายของตนเอง ชีวิตมนุษย์เริ่มจากไหนและพัฒนาอย่างไร   ในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายขั้นตอนของการพัฒนาตัวอ่อนในครรภ์ในเป็นมนุษย์ ดังนี้ ๑.       ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นจากไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์จากอสุจิ หนึ่งเซลล์ของมนุษย์ผู้หนึ่งผสมกับเซลล์ของมนุษย์อีกผู้หนึ่ง กลายเป็นสองเซลล์และขยายเป็นสี่ และจากนั้นภายในหกวั