ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ประชาธิปไตยมิใช่เพียงการเลือกตั้ง


พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

ประชาธิปไตยเป็นคำที่ถูกตีความและถูกใช้อย่างหลากหลาย  ผู้ใช้แต่ละคนต่างก็อ้างว่าสิ่งที่ตนอธิบายหรือสิ่งที่ตนเองเชื่อเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง   ขณะเดียวกันก็วิพากษ์ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับตนเองว่าไม่เป็นประชาธิปไตยหรือตีตราว่าเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมบ้าง   

แต่สิ่งที่น่าเศร้าในสังคมไทยคือ ประชาธิปไตยของไทยถูกนักวิชาการและนักการเมืองจำนวนหนึ่ง “ลดรูป” ให้เหลือเป็นเพียง “การเลือกตั้ง” เท่านั้น  และมีการสร้างเป็นกระแสว่า ผู้ที่ผ่านการเลือกตั้ง ไม่ว่าพวกเขาหรือพวกเธอเหล่านั้นจะมีพฤติกรรมเลวร้ายอย่างไร ทุจริตฉ้อฉล ละเมิดสิทธิมนุษยชนทำร้ายประเทศหนักหนาสาหัสเพียงใด  สังคมก็ยังควรให้การสนับสนุน

พวกนัก “คลั่งไคล้การเลือกตั้ง” ในสังคมไทย  เห็นว่าการเลือกตั้งคือวิถีที่ถูกต้องและใช้เป็นเกณฑ์หลักหรือเป็นศูนย์กลางในการวินิจฉัยว่าสังคมเป็นประชาธิปไตยหรือไม่  ขณะที่ละเลยหรือปิดตาข้างหนึ่งกับหลักธรรมาภิบาล  หลักสิทธิมนุษยชน  หลักการมีส่วนร่วม หลักการเคารพกฎหมาย และหลักการตรวจสอบการบริหารของรัฐ   หลักการเหล่านี้จึงถูกจัดวางไว้ที่ชายขอบ

สังคมไทยมีพวกนักคลั่งไคล้การเลือกตั้งเป็นจำนวนมาก ยิ่งกว่านั้นคนเหล่านี้หาได้สนใจเนื้อหาการเลือกตั้งที่แท้จริงไม่ สิ่งที่พวกเขารับรู้ได้คือเปลือกของการเลือกตั้ง และเข้าใจว่าเปลือกเหล่านั้นเป็นเนื้อแท้  ดังนั้นพวกเขาจึงมีแนวโน้มยอมรับการซื้อขายเสียง  ยอมรับนักเลือกตั้งที่มาจากการซื้อขายเสียงว่าเป็นนักประชาธิปไตย  แต่คำถามคือประชาธิปไตยที่มาจากการซื้อขายเสียง เป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร  เพราะคะแนนเสียงเหล่านั้นหาใช่ได้มาจากเจตจำนงที่เป็นอิสระและมาจากการตัดสินใจที่อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลข่าวสารที่เพียงพอของผู้เลือกตั้งแต่อย่างใด

การสนับสนุนนักเลือกตั้งซึ่งได้อำนาจมาจากการซื้อขายเสียงหรือจากการขายนโยบายจอมปลอม จึงเป็นการตัดสินใจที่ใช้เหตุผลแบบสายตาสั้น มุ่งประโยชน์เฉพาะหน้า หรือตอบสนองอารมณ์เกลียดชังหรือความชอบส่วนตัว มากกว่าการยึดหลักการประชาธิปไตยแบบองค์รวม

การเลือกตั้งที่อิสระ เที่ยงธรรม และผู้เลือกตั้งมีข้อมูลข่าวสารเพียงพอนับได้ว่าเป็นองค์ประกอบหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย  ขณะที่การเลือกตั้งซึ่งไม่เป็นไปตามเงื่อนไขเหล่านี้ย่อมมิอาจนับได้ว่าเป็นประชาธิปไตย  ยิ่งกว่านั้นองค์ประกอบของประชาธิปไตยยังมีมากกว่าการเลือกตั้ง

ประชาธิปไตยมีองค์ประกอบพื้นฐานสำคัญอย่างน้อย 6 ประการ ได้แก่ การมีส่วนร่วมที่มีประสิทธิผล  ความเท่าเทียมในการลงคะแนนเสียง  การได้รับข้อมูลข่าวสารด้านนโยบายอย่างเข้าใจและรู้จริง  การควบคุมและการตรวจสอบ   สิทธิขั้นพื้นฐาน และการเคารพกฎหมาย

การมีส่วนร่วมที่มีประสิทธิผล หมายถึงก่อนที่จะมีการกำหนดนโยบายและนำนโยบายไปปฏิบัติ   ประชาชนทุกคนจักต้องมีโอกาสที่เท่าเทียมในการนำเสนอความเห็นของตนเองให้สมาชิกอื่นในสังคมทราบว่าตนเองต้องการอะไรและต้องการเห็นว่านโยบายควรเป็นอย่างไร   อย่างไรก็ตามการมีโอกาสที่เท่าเทียมในการเสนอความเห็นจะเกิดขึ้นได้รัฐต้องมีกลไกในการเอื้ออำนวยความสะดวกที่มีประสิทธิผลเพื่อให้ความเห็นเหล่านั้นปรากฏและกระจายสู่สาธารณะ  รวมทั้งต้องขจัดอุปสรรคของการมีส่วนร่วมออกไปให้เหลือน้อยที่สุด  

การพูดหรือเขียนเกี่ยวกับการมีส่วนร่วม แต่ขาดกลไกเชิงสถาบันหรือขาดการสร้างเงื่อนไขเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้มีประสิทธิผล หรือใช้การมีส่วนร่วมเป็นกลไกสร้างความชอบธรรมและคะแนนนิยมโดยไม่จริงใจต่อประชาชนการมีส่วนร่วมก็จะกลายเป็น “พิธีกรรมอำพราง”   และไม่มีผลในเชิงปฏิบัติแต่อย่างใด

ความเท่าเทียมในการลงคะแนนเสียง  เป็นภาวะที่สมาชิกของสังคมทุกคนต้องมีโอกาสที่เท่าเทียมและมีประสิทธิผลในการลงคะแนนเสียง  และแน่นอนว่าคะแนนเสียงทุกคะแนนจะต้องมีความหมายและถูกนับอย่างเท่าเทียมกัน   ในสังคมไทยนั้นเรามีความเท่าเทียมในการลงคะแนนเสียง  แต่เรื่องประสิทธิผลของคะแนนเสียงยังเป็นประเด็นปัญหาอยู่ เพราะโดยระบบเลือกตั้งแบบ “ผู้ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดจะได้รับการเลือกตั้ง”  จะทำให้คะแนนเสียงส่วนที่เลือกผู้สมัครคนอื่นซึ่งได้คะแนนน้อยกว่า  หรือผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งแต่ไม่ลงคะแนนให้ผู้ใด  ต้องไร้ประสิทธิผลหรือไม่มีนัยใดๆทางการเมือง     

การได้รับข้อมูลข่าวสารด้านนโยบายอย่างเข้าใจและรู้จริง  เป็นสถานการณ์ที่สมาชิกในสังคมจะต้องมีโอกาสในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับนโยบาย โดยมีระยะเวลาในการนำเสนอข่าวสารเหล่านั้นอย่างสมเหตุสมผล  การนำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงนโยบายต้องอธิบายถึงความสำคัญและเงื่อนไขที่ส่งผลต่อการก่อเกิดนโยบาย ตลอดจนผลกระทบที่เกิดขึ้นจากนโยบาย   เช่น ผู้นำพรรคการเมืองหนึ่งเสนอนโยบายการปลดอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษและการนิรโทษกรรมนักโทษชายคนหนึ่ง เป็นประเด็นในการรณรงค์เลือกตั้งครั้งต่อไป  ก็จะต้องอธิบายว่าสิ่งเหล่านั้นสำคัญต่อประเทศอย่างไร มีเหตุผลอะไรที่ต้องกำหนดนโยบายเช่นนั้น และนโยบายดังกล่าวมีผลกระทบอะไรบ้างหากมีการนำไปปฏิบัติ

การควบคุมและการตรวจสอบการใช้อำนาจ เป็นสิ่งที่ขาดหายไม่ได้จากระบอบประชาธิปไตย  ระบบการตรวจสอบมี 3 สถาบันหลัก คือ  1) การตรวจสอบโดยรัฐสภา ได้แก่ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ  การตั้งกระทู้ถาม  การตรวจสอบโดยคณะกรรมาธิการ การตรวจสอบโดยการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงคะแนนของวุฒิสภา          

2) การตรวจสอบโดยองค์การอิสระ ได้แก่ คณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ  สำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน  ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ  ผู้ตรวจการรัฐสภา และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  และ 3) การตรวจสอบโดยสถาบันสาธารณะ เช่นสื่อมวลชน  และองค์การภาคประชาชนต่างๆ   

รัฐบาลใดก็ตามแม้อ้างว่าได้อำนาจมาจากการเลือกตั้ง แต่หากแทรกแซงบั่นทอนให้สถาบันเหล่านั้นไร้สมรรถภาพในการทำงานหรือทำงานเบี่ยงเบนจากจรรยาบรรณ  รัฐบาลนั้นหาได้เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยแต่อย่างใด

สิทธิพื้นฐานเป็นเนื้อหาสำคัญของระบอบประชาธิปไตย  ทั้งสิทธิในการมีส่วนร่วมในกระบวนการกำหนดนโยบายและการตัดสินใจทางการเมือง   และสิทธิในการแสวงหาความรู้และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นต่อความเข้าใจในประเด็นปัญหาและนโยบายต่างๆทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง สังคมใดที่ปิดกั้นไม่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเชิงนโยบายหรือไม่ยอมให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างสะดวก สังคมนั้นยังห่างไกลจากการเป็นประชาธิปไตยอีกมาก

การเคารพกฎหมายก็เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่ไม่สามารถละเลยได้ เพราะการมีสิทธิและเสรีภาพโดยปราศจากการเคารพกฎหมายนั้นก็คือ อนาธิปไตย ซึ่งเป็นภาวะที่แต่ละคนหรือแต่ละกลุ่มอ้างสิทธิของตนเองและใช้อำนาจของกลุ่มสร้างกฏขึ้นมาเพื่อละเมิดสิทธิของคนอื่น    การอ้างว่ามาเรียกร้องประชาธิปไตย แต่มีพฤติกรรมละเมิดกฎหมายใช้อำนาจกลุ่มตั้งเป็นอำนาจรัฐซ้อนขึ้นมาของกลุ่มเสื้อแดงที่ปฏิบัติในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมา เช่น การตั้งด่านตรวจตามถนน กักขังหน่วงเหนี่ยวให้ผู้อื่นสิ้นเสรีภาพ การบุกรุกโรงพยาบาล และการเผาอาคารของเอกชนและรัฐ จึงไม่ใช่พฤติกรรมที่บ่งบอกถึงความเป็นประชาธิปไตยดังที่พวกเขาอ้างแต่อย่างใด  
พฤติกรรมเหล่านี้โดยเนื้อหาแล้วเป็น “ปรปักษ์ต่อประชาธิปไตย”  

ประชาธิปไตยจึงไม่ใช่การเลือกตั้ง การจะบ่งบอกได้ว่าสังคมใดเป็นประชาธิปไตยหรือพฤติกรรมใดเป็นประชาธิปไตย 
ก็จะต้องพิจารณาว่าสังคมนั้นส่งเสริมและเอื้ออำนวยความสะดวกให้พลเมืองมีส่วนร่วมอย่างมีประสิทธิผลหรือไม่ 
มีความเท่าเทียมในการลงคะแนนเสียงและคะแนนเสียงมีประสิทธิผลหรือไม่  
มีการให้ข้อมูลข่าวสารเชิงนโยบายแก่ประชาชนอย่างเพียงพอแก่การตัดสินใจหรือไม่ 
การควบคุมและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐมีประสิทธิภาพหรือไม่  
มีสิทธิพื้นฐานที่จำเป็นต่อการมีส่วนร่วมและเข้าถึงข้อมูลข่าวสารหรือไม่ 
และกฎหมายได้ถูกละเมิดมากน้อยเพียงใด     
หากใช้เกณฑ์เหล่านี้เป็นกรอบในการประเมินว่าสังคมไทยเข้าใกล้ความเป็นประชาธิปไตยหรือยัง คำตอบคงกระจ่างในใจทุกท่านแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิจารณ์หนังสือ การสร้างทฤษฎีฐานราก: แนวทางเชิงปฏิบัติผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ของ Kathy Charmaz. พิมพ์ในวารสารพัฒนาสังคม V 14. No. 2

บทวิจารณ์หนังสือ  พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต Kathy Charmaz  2006. Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis. London: SAGE   จำนวน  208  หน้า ความเป็นมาของทฤษฎีฐานราก ระเบียบวิธีทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) อุบัติขึ้นจากนักสังคมวิทยาสองคนคือ Barney G. Glaser และ Anselm L. Strauss ช่วงกลางทศวรรษ 1960s    ทั้งสองไปทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสภาวะกำลังตายและการตาย ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล    พวกเขาได้พัฒนายุทธศาสตร์เชิงระเบียบวิธีอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งทำให้นักสังคมศาสตร์สามารถนำไปประยุกต์ในการศึกษาเรื่องอื่นๆได้จำนวนมาก   ในปี 1967 Glaser และ Strauss  ได้เสนอระเบียบวิธีนี้เข้ามาสู่แวดวงวิชาการในหนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขา คือ The Discovery of Grounded Theory   ซึ่งทำให้การวิจัยเชิงคุณภาพรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ของระเบียบวิธี        ช่วงเวลาก่อนที่ Glaser และ Strauss เสนอระเบียบวิธีการวิจัยทฤษฎีฐานรากเป็นช่วงที่การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในสาขาสังคมวิทยากำลังประสบกับปัญหาทางระเบียบวิธีวิทยาอย่างหนักหน่วง   การวิจัยเชิงคุณ

ความผิดพลาดของมนุษย์ตามแนวคิดของ ฟรานซิส เบคอน

ความผิดพลาดของมนุษย์ : ชนเผ่า ถ้ำ ตลาด และโรงมหรสพ พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต เห็นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในระยะนี้  ยิ่งทำให้เห็นความจริงประการหนึ่งว่า ทะเลแห่งความมืดบอดของสังคมไทยนับวันจะขยายตัวออกไปมากขึ้น   และเกาะแห่งปัญญานับวันจะลดน้อยถอยลง  หากภาวะเช่นนี้ดำรงต่อไปนานเท่าไร  ก็ยิ่งทำให้ทะเลแห่งความมืดบอดมีโอกาสกลืนกินเกาะแห่งปัญญาจนหมดสิ้นในไม่ช้า  ผมไปอ่านงานของนักปรัชญาท่านหนึ่ง  เห็นว่ามีความน่าสนใจโดยเฉพาะการวิเคราะห์เกี่ยวกับความผิดพลาดทางปัญญาและการให้เหตุผลของมนุษย์   ซึ่งทำให้เราต้องนำมาทบทวน ระมัดระวัง จะได้ไม่ตกอยู่ในความผิดพลาดนั้น   เพื่อจะได้พัฒนาปัญญาของตนเองให้กระจ่างชัด และมีหนทางในการนำพาสังคมให้หลุดพ้นจากทะเลแห่งความมืดบอดต่อไป ฟรานซิส เบคอน นักปรัชญาชาวอังกฤษซึ่งมีชีวิตระหว่าง ค.ศ. 1561 ถึง 1626   วิเคราะห์จำแนกสาเหตุของความผิดพลาดในการใช้เหตุผลของมนุษย์ออกเป็นสี่แบบ  ได้แก่ ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของชนเผ่า ( Idols of the Tribe)    ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของถ้ำ ( Idols of the Cave)   ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของตลาด (Idols of the Market-place)   และความผิดพลาด

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คำถามประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการทำแท้งคือ เมื่อไรที่จะนับว่าชีวิตมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และ ณ จุดไหนที่สังคมควรจะเข้าไปดำเนินการปกป้องชีวิตที่กำลังก่อกำเนิด       ส่วนข้อถกเถียงเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับการทำแท้งมี ๒ ประเด็นหลักคือ  ประเด็นแรกคือ “คุณค่าของพื้นฐานแห่งชีวิต” ซึ่งมีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ยังไม่ได้กำเนิดมาดูโลก กับชีวิตของมารดา   ประเด็นที่สองคือ “พื้นฐานของเสรีภาพส่วนบุคคคล” ซึ่งเป็นสิทธิของมารดาเหนือร่างกายของตนเองในการให้กำเนิดและกำหนดชีวิต และประเด็นที่เป็นความขัดแย้งอีกประการคือแนวคิดเกี่ยวกับ “สิทธิสัมบูรณ์”  ระหว่างสิทธิของทารกในครรภ์ที่จะก่อตัวพัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษย์ กับสิทธิของมารดาในการควบคุมชีวิตและร่างกายของตนเอง ชีวิตมนุษย์เริ่มจากไหนและพัฒนาอย่างไร   ในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายขั้นตอนของการพัฒนาตัวอ่อนในครรภ์ในเป็นมนุษย์ ดังนี้ ๑.       ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นจากไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์จากอสุจิ หนึ่งเซลล์ของมนุษย์ผู้หนึ่งผสมกับเซลล์ของมนุษย์อีกผู้หนึ่ง กลายเป็นสองเซลล์และขยายเป็นสี่ และจากนั้นภายในหกวั