ผลลัพธ์ของการพัฒนาที่ผิดพลาด
และการเริ่มต้นใหม่ของการปฏิรูปสังคม
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
เป้าหมายการปฏิรูปสังคมของแต่ละประเทศอาจมีหลากหลาย
แต่เป้าหมายร่วมกันลำดับต้นๆคือ การขจัดความยากจนและการพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยรวมของประชาชน
ภาพของประเทศที่ประสบความสำเร็จในการปฏิรูปคือ การมีชนชั้นกลางเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ พลเมืองมีการศึกษาและมีความสามารถในการใช้ความคิดเชิงเหตุผลมากขึ้นเพื่อวินิจฉัยว่าสิ่งใดจริงหรือไม่จริง มีสวัสดิการอย่างทั่วถึงและเพียงพอ การตัดสินใจทางการเมืองมีแนวโน้มยึดถือผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก
ความรุนแรงและอาชญากรรมลดลง
และคุณภาพชีวิตโดยรวมของประชาชนดีขึ้น
เป็นความจริงเช่นเดียวกันว่าบางประเทศประสบความสำเร็จในการพัฒนาเงื่อนไขสภาพชีวิตด้านวัตถุของผู้คนให้ดีขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น และดูเป็นสังคมที่ทันสมัย
แต่เมื่อมองภาพอีกด้านหนึ่งกลับพบว่า ความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างมนุษย์ด้วยกันมีแนวโน้มเสื่อมสลาย ผู้คนมีความห่างเหินและดำเนินวิถีชีวิตที่มีตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างผิวเผินและหยาบคาย ความไว้วางใจซึ่งกันและกันลดลง
ขณะที่หวาดระแวงสูงขึ้น การช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันกลายเป็นสิ่งที่พบได้ยาก
ภาพเช่นนี้บางคนอาจเคยประสบมากับตนเองเมื่อไปท่องเที่ยวประเทศในแถบเอเชียบางประเทศที่กำลังประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจในปัจจุบัน
บทเรียนนี้ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าการปฏิรูปประเทศเพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจเพียงมิติเดียวคงไม่เพียงพอที่จะทำให้สังคมของเราเป็นสังคมที่พึงปรารถนาและน่าอยู่
สำหรับสังคมไทยความพยายามในการปฏิรูปประเทศโดยเน้นการปฏิรูปการเมืองและการศึกษาตั้งแต่
พ.ศ. 2540 เป็นต้นมาดูเหมือนยังห่างไกลกับสิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จ และการต่อสู้กับความยากจนที่ดำเนินการสมัยรัฐบาลทักษิณ
ก็เป็นเพียงมายาภาพเชิงนโยบายเหมือนยาพิษเคลือบน้ำตาล รวมทั้งคุณภาพของสังคมก็ย่ำแย่เลวร้ายลง
ระบบการเมืองที่คาดหวังว่า จะทำให้ได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ผู้นำทางการเมืองมีอุดมการณ์ที่สร้างความเป็นธรรม
มีความโปร่งใสในการบริหารประเทศ
มีความรับผิดชอบต่อสาธารณะ และเคารพการมีส่วนร่วมของประชาชน
แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 10
กว่าปีที่ผ่านมากลับเป็นไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม บางยุครัฐบาลมีเสถียรภาพสูง
แต่ผู้นำทางการเมืองกลับละเมิดสิทธิมนุษยชนและละเลยความเป็นธรรม นักการเมืองส่วนใหญ่แทนที่จะรับผิดชอบต่อประชาชน
กลับไปรับผิดชอบต่อหัวหน้าพรรคของตนเอง
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนถูกทำให้กลายเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและเป็นเพียงพิธีกรรมที่นำมาเสริมสร้างความชอบธรรมในการตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐบาลเท่านั้น อีกทั้งรัฐสภากลายเป็นแหล่งของการสร้างแบบอย่างและผลิตซ้ำพฤติกรรมทางกายและวาจาที่หยาบคายแบบอนาอารยชนอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
ระบบการศึกษาที่คาดว่าจะมีคุณภาพ
เป็นแหล่งสร้างสรรค์ปัญญาและคุณธรรมแก่เยาวชนของชาติ กลับกลายเป็นว่า
การปฏิรูปการศึกษาทำให้ระบบการศึกษาในทุกระดับดำดิ่งไปสู่ความมืดมนและสร้างความมืดบอดทางปัญญา ระบบนี้ทำให้ครูและอาจารย์กลายเป็นนักฉวยโอกาส
ผลิตงานกระดาษเพื่อความอยู่รอดและไต่เต้าสร้างสถานภาพที่จอมปลอมให้แก่ตนเอง อีกทั้งยังสร้างผู้ประเมินจำนวนมากที่ไร้ปัญญา
ทว่ามีอำนาจในการชี้ชะตากรรมของสถานศึกษา
โรงเรียนและมหาวิทยาลัยจึงแปรสภาพเป็นโรงงานผลิตสินค้าที่ด้อยคุณภาพเพื่อเอาใจตลาด
และทำงานที่เน้นตัวเลขเชิงปริมาณตามตัวชี้วัดที่ถูกกำหนด
มากกว่าจะใส่ใจกับการสร้างสรรค์ปัญญาและคุณธรรมแก่ยุวชนและเยาวชน
ความยากจนซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจ แต่ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ว่าจะมาจากพรรคการเมืองใดหาได้มีความพยายามในการปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อกระจายความเป็นธรรมแต่อย่างใด สิ่งที่ผู้นำรัฐบาลส่วนใหญ่ดำเนินการคือ
การเปลี่ยนกฎเกณฑ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศเพื่อเอาใจประเทศมหาอำนาจและบางรัฐบาลใช้เงื่อนไขนี้สร้างประโยชน์แก่บริษัทในเครือข่ายของตนเองโดยนำความหายนะของเกษตรกรเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน
สำหรับนโยบายแก้ปัญหาความยากจน มีการสร้างอุปลักษณ์ของความเป็นศัตรูจนถึงขั้นประกาศสงครามกับความยากจน แสดงบทบาทเสมือนเอาจริงเอาจังในการแก้ปัญหา
แต่เบื้องหลังคือ การหว่านยาพิษใส่สิ่งเสพติดลงในจิตใจของประชาชนผู้ยากไร้
ถ้าหากพ.ร.ก.
ฉุกเฉินคือยาเสพติดเชิงอำนาจของฝ่ายความมั่นคง
ประชานิยมก็คือยาเสพติดเชิงการเมืองของรัฐบาลนั่นเอง รัฐบาลทักษิณเริ่มต้นใส่ยาพิษประชานิยมลงไป แทนที่รัฐบาลอภิสิทธิ์จะรักษาถอนพิษยาเหล่านั้นออกจากจิตของประชาชน กลับกลายเป็นว่ามีการปรุงเสริมเพิ่มพิษหนักไปยิ่งกว่าเก่าเสียอีก และยิ่งรุนแรงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ประชานิยมไม่ใช่หนทางที่ทำให้ประชาชนหลุดพ้นความยากจน แต่เป็นหนทางที่จะสร้างความยากจนที่เลวร้ายยิ่งขึ้นในระยะยาวทั้ง
“จนเงิน”
และ “จนใจ”
จนเงินจะมาจากการที่ประเทศเกิดวิกฤติการคลังจนล้มละลาย ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อจนกระทั่งเงินกลายเป็นกระดาษธรรมดาดังที่เคยเกิดขึ้นในประเทศแถบละตินอเมริกาและยุโรป
ส่วน “จนใจ” เป็นภาวะที่ประชาชนไร้ความคิดไร้ปัญญาในการประกอบอาชีพเพราะถูกทำให้กลายเป็น
“ผู้รอ”
และ “ผู้ขอ” อย่างต่อเนื่องยาวนานนั่นเอง
คุณภาพสังคมอันเป็นผลมาจากความล้มเหลวของการปฏิรูปการเมือง
การศึกษา และเศรษฐกิจ คือ ความร้าวฉาน
แตกแยกเป็นฝักฝ่าย อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน
ความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างผู้คนที่อยู่บนพื้นฐานสายใยแห่งญาติมิตรและความมีน้ำใจอันเป็นรากฐานค่านิยมที่ดีงามแต่ดั้งเดิมถูกกัดกร่อนทำลาย
ขณะที่ความเกลียดชังและความหวาดระแวงปรากฎตัวขึ้นกลายมาเป็นกระแสหลัก
ของทัศนคติระหว่างผู้คนที่มีการรับรู้แตกต่างกัน
ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย และสิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นหลักฐานเพียงพอว่าถึงเวลาแล้วที่ผู้คนในสังคมไทยทั้งมวล
ต้องหันกลับมาทบทวนภาพรวมของประเทศทั้งหมดอย่างจริงจัง รอบด้านและรอบคอบ
เราคงต้องมาร่วมกันออกแบบ วาดภาพหรือสร้างวิสัยทัศน์ร่วม (shared vision) ของสังคมไทยในทุกระดับ ทั้งภาพของประเทศโดยรวม และภาพของระบบที่พึงปรารถนาของระบบย่อยต่างๆ ทั้งระบบการเมือง
ระบบเศรษฐกิจ ระบบครอบครัว ระบบการศึกษา ระบบสาธารณสุข
ระบบพลังงาน ระบบการเกษตร ระบบการท่องเที่ยว ระบบการคมนาคมขนส่ง ระบบสวัสดิการสังคม
และระบบยุติธรรม เป็นต้น
ภาพของสถาบัน องค์การ และกลุ่มที่พึงปรารถนาซึ่งจะเป็นกลไกขับเคลื่อนระบบต่างๆให้ตอบสนองความคาดหวังของสังคม ภาพของความสัมพันธ์ทางสังคมที่พึงปรารถนา และภาพของพลเมืองที่พึงปรารถนาว่าควรมีคุณลักษณะทางปัญญาค่านิยม
และพฤติกรรมเช่นใด
การขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศให้ประสบความสำเร็จ
ต้องการวิสัยทัศน์และอุดมการณ์ที่ชัดเจนอันเป็นเป้าหมายที่จะไปให้ถึง
และต้องเป็นวิสัยทัศน์ที่ทรงพลังในการทำให้ผู้คนเกิดความตระหนักและทุ่มเทอุทิศตน
ต้องมีกลไกเชิงสถาบันและองค์การที่มีสมรรถภาพและเข้มแข็งในทุกระดับตั้งแต่หมู่บ้านจนถึงระดับชาติเพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่อง ต้องมีกลุ่มผู้นำทางการเมืองที่ทุ่มเทเสียสละและมีความสามัคคีในการสนับสนุน
ผลักดันและบริหารนโยบายอย่างเป็นเอกภาพ
และต้องมีประชาชนในทุกภาคส่วนที่มีเจตจำนงและพร้อมเข้าร่วมกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างกระตือรือร้น
ในระยะ 5 -10 ปี ถัดจากนี้ ประเทศไทย มีทางเลือกแห่งความเป็นไปได้สองทาง
ทางแรกคือทางแห่งความสิ้นหวังที่สังคมเต็มไปด้วยความขัดแย้ง
ความแตกแยก ความรุนแรง และการแตกสลาย ส่วนทางที่สองคือ ทางแห่งความหวัง เป็นทางของความรุ่งเรือง
ความสันติสุข และความเป็นปึกแผ่น เส้นทางใดที่เราจะเลือกเดิน
และจะต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อยู่ที่การตัดสินใจของชาวไทยทุกคน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น