ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ประชาธิปไตยที่มีคุณค่า ต้องไม่ใช่แบบที่ถูกซื้อ


               ประชาธิปไตยที่มีคุณค่า ต้องไม่ใช่แบบที่ถูกซื้อ

พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
โดยทั่วไปประชาธิปไตยถูกเข้าใจว่าเป็นการปกครองของเสียงส่วนใหญ่   การเลือกตั้งจึงถูกใช้เป็นกลไกหลักในการเลือกคนเข้ามาปกครอง เพราะการเลือกตั้งเป็นการนับจำนวน   พรรคการเมืองใดที่ประชาชนสนับสนุนในจำนวนที่มากกว่า ผู้นำพรรคก็จะกลายเป็นผู้บริหารปกครองประเทศ   

การใช้หลักเสียงส่วนใหญ่ในการเลือกตัวแทนมีหลากหลายรูปแบบ ในบางประเทศใช้หลักเสียงส่วนใหญ่แบบสัมบูรณ์ (absolute majority)  คือ ผู้ที่ได้รับเลือกเข้าไปเป็นตัวแทนในฝ่ายบริหารหรือนิติบัญญัติจะต้องได้รับคะแนนร้อยละ 50 ของผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งขึ้นไป     บางประเทศใช้ระบบแบบ “คนที่ได้รับคะแนนมากที่สุดแม้ไม่ถึงครึ่งก็จะได้รับการคัดเลือก” (first-past-the-post)   บางประเทศใช้ระบบสัดส่วน (proportional representation)  และบางประเทศอาจใช้หลายระบบผสมผสานกัน

ปัญหาคือเสียงส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าหรือเป็นสิ่งที่ดีในตัวของมันเองจริงหรือ      เป็นเรื่องที่น่าสงสัยว่าทำไมนโยบายที่คนส่วนใหญ่ชอบจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องและดีกว่านโยบายอื่นๆ   ทำไมพรรคการเมืองที่คนส่วนใหญ่ชอบจึงเป็นสิ่งที่ควรยอมรับและปฏิบัติตาม  ทั้งที่พรรคการเมืองนั้นอาจนำพาประเทศไปสู่หายนะดังที่เกิดขึ้นแล้วในประเทศเยอรมันยุคพรรคนาซีเรืองอำนาจ  และเคยเกิดขึ้นแล้วในประเทศไทยยุคที่พรรคไทยรักไทยมีอำนาจ   ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยเดิมอีกครั้งก็เป็นได้  สำหรับการเลือกตั้งที่กำลังมาถึง
       
     ทำไมเราต้องยอมรับตัวบุคคลที่ถูกเสียงส่วนใหญ่เลือก ทั้งที่เรารู้ว่าบุคคลผู้นั้นเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ฉ้อฉล ทุจริต เป็นนักเลงอันธพาล เป็นผู้มีอิทธิพล เป็นผู้ไร้วัฒนธรรมและอารยธรรมที่ดีงาม  เสียงส่วนใหญ่ฟอกคนเลวให้เป็นคนดีได้หรือไม่   หรือเสียงส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่หนุนหลังให้ท้ายคนเลวให้ประพฤติตัวเลวยิ่งขึ้น
            
           ภายใต้ระบบประชาธิปไตยแบบเสียงส่วนใหญ่    เมื่อคนเข้าไปสู่สถานการณ์ที่ขัดแย้งหรือถกเถียงกันว่าควรทำในเรื่องอะไรบ้าง ทางออกทางเดียวที่มักถูกมองว่าเป็นสิ่งถูกต้องคือการนับจำนวนหัวของผู้สนับสนุน  ทางเลือกใดที่มีผู้สนับสนุนมากกว่าก็มักจะได้รับเลือกและถูกถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี    
         
         แต่มันจะดีจริงหรือไม่เป็นคำถามใหญ่  และยิ่งในสังคมไทยที่เสียงส่วนใหญ่มักจะได้มาจากการระดมจัดตั้งหรือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์     ทางเลือกเชิงนโยบายที่เกิดจากเสียงส่วนใหญ่อาจมิใช่ทางเลือกที่สร้างประโยชน์แก่สังคมและตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการเชิงจริยธรรม      ตรงกันข้าม เสียงส่วนใหญ่ในการตัดสินใจอาจสร้างประโยชน์แก่คนส่วนน้อย สร้างความเสียหายให้กับคนส่วนใหญ่ และทำลายจริยธรรมของสังคมก็ได้

ในหลายสถานการณ์การใช้เสียงส่วนใหญ่ตัดสินมิใช่เป็นสิ่งที่ดีหรือถูกต้องเสมอไป    โดยเฉพาะกรณีการตัดสินใจว่าใครควรเป็นผู้เสียสละในภาวะวิกฤติ   เช่น  กรณีเรือที่บรรทุกคนมีน้ำหนักเกินและกำลังจะล่มจมลงไปในทะเล   สิ่งที่ต้องตัดสินใจคือต้องให้ใครคนใดคนหนึ่งออกจากเรือเพื่อให้คนที่เหลืออยู่รอด การใช้เสียงส่วนใหญ่เพื่อลงคะแนนว่าใครควรเป็นผู้เสียสละกระโดดลงทะเล ดูเป็นวิธีการที่เลวร้ายที่สุดและไม่เป็นธรรม เพราะความผูกพันส่วนตัวและความเกลียดชังจะกลายเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจ  กรณีแบบนี้การจับสลากจึงกลายเป็นทางออกที่มีความเป็นธรรมมากกว่าการใช้เสียงส่วนใหญ่  

            หรือกรณีการตัดสินใจว่าควรให้ขายยาเสพติดอย่างเสรีหรือไม่  แล้วใช้คนสิบคนตัดสินใจ หากในสิบคนนั้นมีคนติดยาเสพติด 8 คน และมีคนไม่ติดยา แค่ 2 คน เสียงส่วนใหญ่ก็ย่อมสนับสนุนให้มีการขายยาเสพติดอย่างเสรีนั่นเอง  กรณีนี้จึงเป็นสิ่งเดียวกับที่ท่านพุทธทาสเคยกล่าวไว้ว่า เป็นประชาธิปไตยของโจรนั่นเอง

แต่มีเรื่องที่ตลกร้ายยิ่งกว่านั้นสำหรับสังคมไทย คือ  บรรดานักการเมืองที่เป็นผู้บริหารพรรคการเมืองต่างๆ พวกนี้เกือบทั้งหมดไม่เคยใช้เสียงส่วนใหญ่ในการตัดสินใจภายในพรรค  บางพรรคหัวหน้าพรรคตัดสินใจคนเดียว  บางพรรคผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังพรรคเป็นผู้ตัดสินใจ    บางพรรคพอใช้เสียงส่วนใหญ่ตัดสินใจก็กลับไม่ยอมรับเสียงส่วนใหญ่ที่เป็นสมาชิกพรรคของตนเอง กลับแสดงลักษณะธาตุแท้ดั้งเดิมที่เป็นเผด็จการออกมา     และบางพรรคก็ไปใช้ตำแหน่งหน้าที่ล่อให้คนในพรรคอื่นแยกตัวออกมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคตัวเอง      

พฤติกรรมที่นักการเมืองเหล่านี้กระทำแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พวกเขาไม่ได้สนใจหลักเสียงส่วนใหญ่  แต่อย่างใด   เมื่อไรที่การใช้หลักเสียงส่วนใหญ่ทำให้เขาเสียประโยชน์เขาก็ไม่ใช้   แต่หากเมื่อไรที่ใช้หลักเสียงส่วนใหญ่แล้วพวกเขาได้ประโยชน์ก็จะใช้ทันที และเรียกร้องให้ผู้อื่นยอมรับเสียงส่วนใหญ่เหล่านั้นด้วย 

การใช้หลักเสียงส่วนใหญ่จึงเป็นการใช้ตามความชอบหรือความชังของผู้ใช้เป็นหลัก  และตัวเสียงส่วนใหญ่เองเมื่อมีการตัดสินใจก็มีแนวโน้มถูกผลักดันตามความรู้สึกชอบหรือชัง มากกว่าเหตุผลเชิงเศรษฐกิจและเชิงจริยธรรม   ดังนั้นจึงเกิดคำถามว่าเสียงส่วนใหญ่มีความถูกต้องเป็นธรรมจริงหรือ

ถ้าประชาธิปไตยหมายถึงการปกครองโดยเสียงส่วนใหญ่ แต่เสียงส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าในตัวของมันเอง คำถามที่ตามมาคือทำไมเราถึงได้ให้ความสำคัญในการปกป้องประชาธิปไตย
     
       เสียงส่วนใหญ่อาจยอมรับได้หากเป็นเสียงที่แสดงออกมาภายใต้แรงขับเคลื่อนของค่านิยมเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและค่านิยมเชิงจริยธรรม      แต่ถ้าหากเสียงส่วนใหญ่ถูกขับเคลื่อนโดยผลประโยชน์ส่วนบุคคลและพวกพ้อง  รวมทั้งค่านิยม “อจริยธรรม” เช่น การยอมรับว่าการทุจริตเป็นเรื่องปกติ   หรือ  การเผาเมืองและละเมิดสิทธิผู้อื่นเป็นเรื่องปกติที่ทำได้หากผู้เป็นรัฐบาลไม่ใช่พวกของเรา      เสียงส่วนใหญ่เช่นนี้เป็นเสียงส่วนใหญ่ที่นำความหายนะมาสู่สังคม    พลเมืองที่มีสามัญสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี ย่อมกระอักกระอ่วนใจที่ต้องไปปกป้องระบบเสียงส่วนใหญ่เช่นนี้

โดยเฉพาะเสียงส่วนใหญ่อันได้มาจากการจัดซื้อจัดจ้างหามาด้วยเงินตราของนักการเมือง     ย่อมเป็นเสียงส่วนใหญ่ที่ยิ่งไร้ความถูกต้อง และไร้ความชอบธรรมยิ่งกว่าเสียงส่วนใหญ่แบบธรรมดาซึ่งก็เป็นระบบที่มีปัญหาในตัวของมันเองอยู่แล้ว    “เสียงส่วนใหญ่แบบจัดซื้อ” หรือ “ประชาธิปไตยแบบจัดซื้อ”  จึงย่อมไม่ใช่สิ่งที่มีคุณค่าใดๆที่เราจะต้องไปปกป้องมันอีกต่อไป   เพราะประชาธิปไตยแบบนี้ส่งเสริมให้ผู้คนฉ้อฉล ส่งเสริมให้ผู้คนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงสังคม    ส่งเสริมให้ผู้คนแข่งขันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ได้ชัยชนะ   ทั้งที่เป็นชัยชนะที่ว่างเปล่า     และส่งเสริมให้ใช้ความรุนแรงทำลายล้างโดยไม่คำนึงถึงหลักนิติรัฐและมนุษยธรรม
           
       หากมนุษย์จะปกป้องสิ่งใดก็ควรปกป้องสิ่งที่มีคุณค่าต่อสังคม  ส่วนการปกป้องสิ่งที่ไร้ค่าและเป็นสิ่งที่นำพาความหายนะมาสู่สังคมย่อมเป็นการกระทำที่ทำลายล้างตนเองและสังคม    

หากประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่มีคุณค่า  ก็ต้องไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบเสียงส่วนใหญ่ที่มีการจัดซื้อ    

ต้องเป็นประชาธิปไตยที่มีประสิทธิผลในการสร้างความยุติธรรม   และการบูรณาการทางสังคม  
ต้องเสริมสร้างอำนาจและปัญญาให้กับพลเมือง    
ต้องสร้างการมีส่วนร่วมแบบปรึกษาหารือโดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มโดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาสทางสังคม
ต้องสร้างทางเลือกที่หลากหลายภายใต้การพิจารณาอย่างลึกซึ้ง   ถี่ถ้วนและรอบด้านถึงความสำคัญและความจำเป็นของทางเลือกเหล่านั้น ตลอดจนผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง  จากนั้นจึงตัดสินใจร่วมกันอย่างสร้างสรรค์และเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างเป็นธรรม

ประชาธิปไตยแบบนี้ต่างหากจึงเป็นประชาธิปไตยที่มีคุณค่าที่จะต้องสร้างขึ้นมา พัฒนาและขยายออกไปให้มั่นคงต่อไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิจารณ์หนังสือ การสร้างทฤษฎีฐานราก: แนวทางเชิงปฏิบัติผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ของ Kathy Charmaz. พิมพ์ในวารสารพัฒนาสังคม V 14. No. 2

บทวิจารณ์หนังสือ  พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต Kathy Charmaz  2006. Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis. London: SAGE   จำนวน  208  หน้า ความเป็นมาของทฤษฎีฐานราก ระเบียบวิธีทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) อุบัติขึ้นจากนักสังคมวิทยาสองคนคือ Barney G. Glaser และ Anselm L. Strauss ช่วงกลางทศวรรษ 1960s    ทั้งสองไปทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสภาวะกำลังตายและการตาย ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล    พวกเขาได้พัฒนายุทธศาสตร์เชิงระเบียบวิธีอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งทำให้นักสังคมศาสตร์สามารถนำไปประยุกต์ในการศึกษาเรื่องอื่นๆได้จำนวนมาก   ในปี 1967 Glaser และ Strauss  ได้เสนอระเบียบวิธีนี้เข้ามาสู่แวดวงวิชาการในหนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขา คือ The Discovery of Grounded Theory   ซึ่งทำให้การวิจัยเชิงคุณภาพรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ของระเบียบวิธี        ช่วงเวลาก่อนที่ Glaser และ Strauss เสนอระเบียบวิธีการวิจัยทฤษฎีฐานรากเป็นช่วงที่การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในสาขาสังคมวิทยากำลังประสบกับปัญหาทางระเบียบวิธีวิทยาอย่างหนักหน่วง   การวิจัยเชิงคุณ

ความผิดพลาดของมนุษย์ตามแนวคิดของ ฟรานซิส เบคอน

ความผิดพลาดของมนุษย์ : ชนเผ่า ถ้ำ ตลาด และโรงมหรสพ พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต เห็นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในระยะนี้  ยิ่งทำให้เห็นความจริงประการหนึ่งว่า ทะเลแห่งความมืดบอดของสังคมไทยนับวันจะขยายตัวออกไปมากขึ้น   และเกาะแห่งปัญญานับวันจะลดน้อยถอยลง  หากภาวะเช่นนี้ดำรงต่อไปนานเท่าไร  ก็ยิ่งทำให้ทะเลแห่งความมืดบอดมีโอกาสกลืนกินเกาะแห่งปัญญาจนหมดสิ้นในไม่ช้า  ผมไปอ่านงานของนักปรัชญาท่านหนึ่ง  เห็นว่ามีความน่าสนใจโดยเฉพาะการวิเคราะห์เกี่ยวกับความผิดพลาดทางปัญญาและการให้เหตุผลของมนุษย์   ซึ่งทำให้เราต้องนำมาทบทวน ระมัดระวัง จะได้ไม่ตกอยู่ในความผิดพลาดนั้น   เพื่อจะได้พัฒนาปัญญาของตนเองให้กระจ่างชัด และมีหนทางในการนำพาสังคมให้หลุดพ้นจากทะเลแห่งความมืดบอดต่อไป ฟรานซิส เบคอน นักปรัชญาชาวอังกฤษซึ่งมีชีวิตระหว่าง ค.ศ. 1561 ถึง 1626   วิเคราะห์จำแนกสาเหตุของความผิดพลาดในการใช้เหตุผลของมนุษย์ออกเป็นสี่แบบ  ได้แก่ ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของชนเผ่า ( Idols of the Tribe)    ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของถ้ำ ( Idols of the Cave)   ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของตลาด (Idols of the Market-place)   และความผิดพลาด

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คำถามประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการทำแท้งคือ เมื่อไรที่จะนับว่าชีวิตมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และ ณ จุดไหนที่สังคมควรจะเข้าไปดำเนินการปกป้องชีวิตที่กำลังก่อกำเนิด       ส่วนข้อถกเถียงเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับการทำแท้งมี ๒ ประเด็นหลักคือ  ประเด็นแรกคือ “คุณค่าของพื้นฐานแห่งชีวิต” ซึ่งมีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ยังไม่ได้กำเนิดมาดูโลก กับชีวิตของมารดา   ประเด็นที่สองคือ “พื้นฐานของเสรีภาพส่วนบุคคคล” ซึ่งเป็นสิทธิของมารดาเหนือร่างกายของตนเองในการให้กำเนิดและกำหนดชีวิต และประเด็นที่เป็นความขัดแย้งอีกประการคือแนวคิดเกี่ยวกับ “สิทธิสัมบูรณ์”  ระหว่างสิทธิของทารกในครรภ์ที่จะก่อตัวพัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษย์ กับสิทธิของมารดาในการควบคุมชีวิตและร่างกายของตนเอง ชีวิตมนุษย์เริ่มจากไหนและพัฒนาอย่างไร   ในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายขั้นตอนของการพัฒนาตัวอ่อนในครรภ์ในเป็นมนุษย์ ดังนี้ ๑.       ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นจากไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์จากอสุจิ หนึ่งเซลล์ของมนุษย์ผู้หนึ่งผสมกับเซลล์ของมนุษย์อีกผู้หนึ่ง กลายเป็นสองเซลล์และขยายเป็นสี่ และจากนั้นภายในหกวั