มนุษย์ยากที่จะควบคุมผลลัพธ์ที่ตั้งใจได้
พิชาย
รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
เมื่อมนุษย์ตัดสินใจกระทำเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
สิ่งที่เป็นแรงผลักดันอยู่เบื้องหลังคือความปรารถนาในผลลัพธ์ที่พึงประสงค์
กระนั้นความปรารถนาประการเดียวในบางบริบทก็ไม่เพียงพอที่ส่งผลให้เกิดการกระทำ เงื่อนไขสำคัญอีกประการที่เอื้อต่อการกระทำคือโอกาสซึ่งมีความหมายกว้างขวางทั้งเป็นโอกาสที่อยู่ภายในตัวบุคคล เช่น การมีความรู้ ปัญญา ทักษะ ความมั่งคั่ง
และโอกาสที่อยู่ภายนอกบุคคล เช่น บรรทัดฐาน ค่านิยมของสังคม และสภาพแวดล้อมทางกายภาพ
เป็นต้น
ทันทีที่มนุษย์ลงมือกระทำ ผลลัพธ์ที่ตามมามีสองประการหลัก คือผลลัพธ์ที่ตั้งใจให้เกิดตามความปรารถนาในตอนเริ่มแรก กับผลลัพธ์ที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากพฤติกรรมส่วนบุคคลของมนุษย์ผู้นั้นเอง
และปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับมนุษย์ผู้อื่น
ผลลัพธ์อันไม่ตั้งใจที่มาจากพฤติกรรมส่วนบุคคลมีกลไกคือ เมื่อมนุษย์ลงมือกระทำตามความปรารถนาของตนในเริ่มแรก ต่อมาการกระทำนั้นกลับเป็นปัจจัยที่เข้าไปเปลี่ยนแปลงความปรารถนาในตอนเริ่มแรกให้แตกต่างออกไป เช่น เมื่อเราไปงานเลี้ยง ตั้งใจว่าจะดื่มเหล้าเพียงสองแก้ว แต่เมื่อดื่มครบสองแล้ว
ความตั้งใจในตอนแรกก็ละลายไปกับบรรยากาศของงานเลี้ยง
ในที่สุดเราก็ดื่มเหล้าแก้วที่สามและดื่มต่อไปเรื่อยๆจนเมา เมื่องานเลิกขับรถกลับบ้านไปชนเสาไฟฟ้า ถ้าเรารู้ว่าจะเกิดผลสืบเนื่องเช่นนี้
เราก็คงจะดื่มเหล้าเพียงแก้วเดียวเท่านั้น
หรืออีกตัวอย่างหนึ่งที่เกี่ยวกับการเมือง สมมติว่ามี นักการเมืองคนหนึ่งตั้งใจจะเสนอนโยบายประชานิยมไปสู่ชาวบ้านโดยตรงในการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียว
แต่เมื่อเสนอไปแล้วก็รู้สึกเสพติดนโยบายแบบนั้นเพราะทำให้เขาชนะการเลือกตั้งสมความปรารถนา
จึงเสนอนโยบายประชานิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
จนในท้ายที่สุดไม่สามารถทำได้ และทำให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดวิกฤติ หากนักการเมืองผู้นั้นมีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวมก็อาจคิดว่า
ถ้ารู้ว่าจะเกิดผลสืบเนื่องอย่างนี้
เราคงไม่เสนอนโยบายประชานิยมเสียตั้งแต่แรก
ความปรารถนาของมนุษย์ยังได้รับอิทธิพลจากจิตไร้สำนึกแห่งความพึงใจ
ดังนิทานเกี่ยวกับชาวนาเรื่องหนึ่ง ชาวนาจูงม้าไปขายที่ตลาด พบชายผู้หนึ่งจูงวัวมา เขาเกิดความพึงใจในวัวตัวนั้น จึงเอาม้าแลกกับวัว ต่อมาพบแกะก็ชอบมาก จึงเอาวัวแลกแกะ จูงแกะไปไม่นานพบห่าน
ดูคอมันยาวสวยดีแถมร้องเสียงดังไว้เฝ้าบ้านได้อย่างดี ก็รู้สึกชอบ จึงเอาแกะแลกห่าน จูงห่านเดินไปพบแม่ไก่ ก็เกิดชอบขึ้นอีก
จึงเอาห่านแลกแม่ไก่
และท้ายที่สุดจูงแม่ไก่เดินไป พบคนขายแอปเปิ๊ล เกิดอยากกิน
จึงเอาไก่ไปแลกกับแอปเปิ๊ล
เส้นทางสู่ความหายนะของชาวนาเกิดคู่ขนานกับความรู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
แต่ละครั้งของการเปลี่ยนแปลงชาวนาเชื่อว่าตนเองได้สิ่งที่ดีขึ้น แต่ผลสุดท้ายเขาต้องประสบกับความหายนะ
เช่นเดียวกันกับการพัฒนาของสังคมไทย
เราให้ชาวบ้านเปลี่ยนจากการทำนาเป็นปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพื่อขายในตลาด เมื่อพืชชนิดใดปลูกแล้วขายขาดทุน
หน่วยงานราชการก็แนะนำให้ปลูกพืชชนิดใหม่
ทุกครั้งที่เปลี่ยนแปลงการปลูกพืชชนิดใหม่
หนี้สินชาวนาก็พอกพูนขึ้นทุกเวลา
ในท้ายที่สุดก็ต้องขายที่ดิน สูญเสียทรัพยากรอันทรงคุณค่า
ต้องอพยพไปขายแรงงานในเมือง จากชีวิตที่เคยมีทรัพย์สิน
มีความเป็นอิสระ ก็กลายเป็นคนไร้ทรัพย์สิน และต้องพึ่งพาผู้อื่น ซึ่งเป็นความหายนะโดยแท้
นอกจากจะเกิดจากพฤติกรรมหรือการกระทำของปัจเจกบุคคลแล้ว
ผลสืบเนื่องที่ไม่ได้ตั้งใจยังเกิดจากปฏิสัมพันทางสังคมซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกตัวมนุษย์ ผลลัพธ์ของการปฏิสัมพันธ์มีทั้งผลเชิงบวกและเชิงลบ
เช่น แนวคิด “มือที่มองไม่เห็น”
ของกลไกตลาดซึ่งทำให้เกิดความสมดุลย์ระหว่างอุปสงค์และอุปทานของสินค้าและความเหมาะสมของราคา หรือ
เรื่องการที่มนุษย์ได้สร้างเทคโนโลยีขึ้นมา
ท้ายที่สุดเทคโนโลยีก็มีพลังอำนาจในการบงการพฤติกรรมของมนุษย์
นอกจากพลังภายนอกเหล่านี้แล้ว
ยังมีอาการทางสังคมอีกประการหนึ่งที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ตั้งใจขึ้นมา จอน เอลส์เตอร์ศาสตราจารย์ด้านสังคมศาสตร์
เรียกผลสืบเนื่องจากการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเช่นนี้ว่าเป็น
“อาการพี่น้องผู้อ่อนเยาว์” ซึ่งมีที่มาจากทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่เรียกว่า
“ทฤษฎีใยแมงมุม” หรือเรียกอีกอย่างว่า “วัฎจักรขนแกะ”
ที่เรียกอย่างนี้เนื่องจากว่ามีจุดเริ่มต้นจากการอธิบายวงจรการผันผวนของการผลิตขนแกะ
วัฎจักรแบบนี้เป็นแบบแผนที่ใช้ในการอธิบายปรากฎการณ์ของการเกิดผลสืบเนื่องที่ไม่ได้ตั้งใจได้หลายกรณี
เกษตรกรผู้เลี้ยงแกะต้องตัดสินใจล่วงหน้าหนึ่งปีว่าจะผลิตขนแกะป้อนตลาดจำนวนเท่าไร
การตัดสินใจดังกล่าวถูกกำหนดโดยราคาขนแกะที่คาดหวังและต้นทุนในการผลิต หากปีนี้ขนแกะราคาสูงชาวนาก็คาดหวังว่าในปีหน้าขนแกะจะมีราคาสูงเช่นเดียวกัน
พวกเขาก็จะผลิตขนแกะมากขึ้น
เกษตรกรแต่ละคนก็คาดหวังเช่นเดียวกัน จึงทำให้มีการเลี้ยงแกะเพิ่มมากขึ้น ปริมาณขนแกะที่ผลิตออกมาจึงล้นตลาด
และท้ายที่สุดทำให้ราคาขนแกะลดลง
มีสิ่งที่ไร้เหตุผลเกี่ยวกับพฤติกรรมของเกษตรกร คือ
เขาคิดว่าตนเองคนเดียวที่มองเห็นปรากฎการณ์นี้
และคิดว่าเกษตรกรคนอื่นคิดไม่เหมือนเขาและคิดว่าคนอื่นคงผลิตแกะน้อยเช่นเดียวกับเขาในปีที่ผ่านมา นี่คืออาการที่มนุษย์มักจะมองว่าผู้อื่นเป็น
“พี่น้องผู้เยาว์วัย” ที่ไร้เดียงสา
ไม่คิดว่าผู้อื่นเขาก็คิดเป็น คำนวณได้ และวางยุทธศาสตร์เป็นเหมือนกัน
ตรงกันข้ามกับวิธีคิดแบบ “พี่น้องผู้เยาว์วัย” ยังมีวิธีคิดอีกแบบที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ได้ตั้งใจไว้เหมือนกันคือวิธีคิดแบบ
“เปลี่ยนผู้อื่นเป็นปีศาจ” วิธีคิดแบบนี้เป็นการมองว่าผู้อื่นหรือคู่แข่งมีพลังอำนาจมาก
และมีความชั่วร้ายที่คอยทำลายฝ่ายตนจนเกินความเป็นจริง
ซึ่งทำให้เกิดการตอบสนองที่รุนแรงและนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่ได้ตั้งใจ
ปรากฎการณ์ของการเมืองไทยในปัจจุบันมีการแพร่ระบาดของวิธีคิดทั้งสองแบบในวงกว้างนักการเมืองจำนวนมากมักคิดว่าประชาชนเป็น
“ผู้ไร้เดียงสา” จึงพยายามผลักดัน
พ.ร.บ.ปรองดอง และแก้ไขรัฐธรรมนูญ
คาดการณ์ว่าเมื่อประชาชนเลือกพรรคตนเองมาด้วยคะแนนเสียงถึง 15 ล้านเสียง จนได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร์ ประชาชนเหล่านั้นคงสนับสนุนพรรคตนเองต่อไปในการแก้รัฐธรรมนูญและการออกกฎหมายปรองดอง ส่วนประชาชนที่ไม่เลือกพรรคตนเองก็คงไม่ออกมาคัดค้านหรือหากจะมีบ้างก็คงมีไม่มาก
วิธีคิดของพรรคการเมืองพรรคนี้คล้ายคลึงกับเกษตรกรผู้เลี้ยงแกะ
และจุดจบของพวกเขาก็คงไม่แตกต่างกันมากนัก นั่นคือ เดินไปสู่เส้นทางแห่งความหายนะ
ส่วนวิธีคิดแบบเปลี่ยนผู้อื่นเป็นปีศาจ คือ
การกล่าวหาว่าผู้อื่นมีพฤติกรรมแบบนักล่าแม่มด
ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยไม่สำรวจตรวจตราพฤติกรรมของตนเองให้ถ่องแท้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่
และมีพฤติกรรมเยี่ยงไร กฎหมายอาญามาตรา 112 ดำรงอยู่อย่างยาวนานเป็นเวลาหลายปี
ในอดีตมีผู้คนละเมิดกฎหมายมาตรานี้อยู่บ้างแต่ไม่มากนัก แต่ในระยะไม่กี่ปีมานี้ หลังจากเกิดขบวนการเสื้อแดง
การละเมิดกฎหมายนี้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย กฎหมายดังคงเป็นเช่นเดิมแต่พฤติกรรมของคนต่างหากที่เปลี่ยนแปลง
การแก้กฎหมายเพื่อลดโทษหรือเพิ่มกระบวนการในการฟ้องให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น
ก็ไม่อาจทำให้พฤติกรรมของผู้ละเมิดกฎหมายนี้เปลี่ยนแปลงได้ และเมื่อมีคนถูกดำเนินคดีด้วยมาตรานี้ สิ่งประหลาดที่เกิดขึ้นก็คือ
มาตรานี้ถูกทำให้กลายเป็นปีศาจโดยผู้ที่ละเมิดและผู้ที่อยากละเมิด
ส่วนบุคคลที่พยายามให้เกิดการบังคับใช้มาตรานี้ได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นขบวนการล่าแม่มด
นอกจากกลุ่มผู้ที่ประสงค์จะละเมิดกฎหมายมาตรานี้จะตีตราว่ากฎหมายนี้มีความร้ายกาจดุจปีศาจแล้ว พวกเขายังมองว่าประชาชนไร้เดียงสา โดยคิดว่ากลุ่มของตนสามารถกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อเคลื่อนไหวเป็นเพียงกลุ่มเดียวกระมัง
คงลืมไปว่ากลุ่มอื่นเขาก็คิดเป็นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นหากกลุ่มนิติราษฎร์และบรรดาเสื้อแดงที่ต้องการยกเลิกมาตรานี้เคลื่อนไหว ก็ย่อมมีกลุ่มทางสังคมอีกหลายกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับพวกเขา
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอาจไม่เป็นดังที่กลุ่มนิติราษฎร์และบรรดาเสื้อแดงบางกลุ่มตั้งใจไว้ เส้นทางแห่งความหายนะอาจรออยู่เบื้องหน้า เฉกเช่นเดียวกับกลุ่มที่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญ จึงขอให้ไตร่ตรอง ทบทวนพฤติกรรม
และยุติการจุดชนวนแห่งความขัดแย้งเสียเถิด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น