ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

รศ. ดร. พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
วิกฤติความไว้วางใจ

เงื่อนไขที่ทำให้ให้ปัจเจกบุคคล ชุมชน องค์การ สังคม และประเทศประสบความสำเร็จและมีการพัฒนาที่ต่อเนื่องยั่งยืน รวมทั้งมีความปรองดองสมานฉันท์อาจมีหลายเงื่อนไข   แต่มีเงื่อนไขหนึ่งที่นักวิชาการสังคมศาสตร์หลากหลายสาขาซึ่งทำการวิจัยได้พบร่วมกันว่าเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นและสำคัญ นั่นคือ “ความไว้วางใจ”

ความไว้วางใจมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของผู้คนตลอดเวลา  ทั้งในด้านคุณภาพของความสัมพันธ์  การสื่อสาร  การพัฒนาประเทศ  การดำเนินงานโครงการต่างๆ การตกลงในเชิงธุรกิจ การดำเนินงานทางการเมือง และมิติอื่นของชีวิตที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

ความไว้วางใจมิใช่สิ่งที่เป็นมายาคติหรือภาพลวงตาเชิงนามธรรมที่ล่องลอยในจินตนาการของผู้คน   ในทางตรงกันข้ามความไว้วางใจเป็นพลังอำนาจที่ดำรงอยู่จริงซึ่งมีพลังขับเคลื่อนทิศทางความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างผู้คน ทั้งในทางที่สร้างสรรค์ และในทางที่ทำลายล้างหากใช้ในทางที่ผิด

ความไว้วางใจมีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการคือ ความซื่อสัตย์มั่นคงในหลักการ(integrity)  ความตั้งใจ (intent)  สมรรถภาพ(capability) และผลลัพธ์(results)
ประการแรก ความซื่อสัตย์มั่นคงในหลักการ หมายถึง การที่บุคคลได้กระทำอย่างที่พูด และมีความกล้าหาญในการแสดงจุดยืนและการกระทำที่สอดคล้องกับความเชื่อ ค่านิยม และอุดมการณ์ของตนเอง   บุคคลใดที่พูดอย่างแต่ทำอีกอย่าง หรือ ตัวเองสอนอย่างแต่ทำอีกอย่าง ย่อมไม่ได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่น  เช่นเดียวกันบุคคลใดที่ไม่กล้าทำตามสิ่งที่ตนเองเชื่อซึ่งได้ประกาศให้สาธารณะทราบแล้ว โดยอ้างว่ามีข้อจำกัดหรือมีอุปสรรคต่างๆนานา ก็ย่อมไม่ได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่น

การพูดอย่างทำอย่างหรือการไม่กล้ากระทำอย่างที่ตนเองเชื่อของผู้นำทางการเมืองในสังคมไทย มีอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ก่อนรับตำแหน่งบริหารประเทศ ผู้นำทางการเมืองส่วนใหญ่ประกาศว่าจะจัดการกับการทุจริตคอรัปชั่นอย่างเด็ดขาด แต่เมื่อดำรงตำแหน่งแล้วก็ไม่ปรากฏหลักฐานใดว่าได้ดำเนินการตามนั้น และที่ร้ายกว่านั้นคือการเมินเฉยหรือกลบเกลื่อนเมื่อมีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ส่วนที่ร้ายแรงที่สุดคือการเป็นผู้มีส่วนร่วมในการทุจริตเสียเอง  ด้วยเหตุนี้ความไว้วางใจของประชาชนไทยต่อผู้นำทางการเมืองจึงเสื่อมคลายลงและกลายเป็นวิกฤติแห่งความไว้วางใจในปัจจุบัน

ประการที่สอง ความตั้งใจเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจและระเบียบวาระและผลของพฤติกรรมของเรา  ความไว้วางใจจะขยายตัวหากแรงจูงใจของเราอยู่บนพื้นฐานของความปรารถนาดีต่อผู้อื่น และกระทำโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกัน  ไม่ฉกฉวยโอกาสหรือเห็นผู้อื่นเป็นเครื่องมือในการสร้างประโยชน์ให้กับตนเอง  กล่าวอีกนัยหนึ่งเมื่อเราเอาใจเขามาใส่ใจเราอย่างจริงใจ และคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่นควบคู่ไปกับประโยชน์ของตนเอง ความศรัทธาก็เพิ่มขึ้น 

                แต่เมื่อไรก็ตามที่เรามีประเด็นซ่อนเร้นแอบแฝง โดยฉากหน้าสร้างภาพว่ากระทำไปโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่  แต่เบื้องหลังกลับมุ่งแต่ประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ความไว้วางใจก็ย่อมลดลงและเสื่อมถอยลงไป    ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมของพรรคภูมิใจไทยที่ฉากหน้าประกาศอย่างสวยหรูว่า ทำไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน แต่แท้จริงแล้วกลับกระทำเพื่อนักการเมืองและข้าราชการที่เป็นพวกพ้องตนเองเพื่อให้กลุ่มบุคคลเหล่านั้นพ้นจากความผิดที่พวกเขากระทำลงไปเมื่อ 7 ตุลาคม 2551
การกระทำที่ซ่อนเร้นแอบแฝงเจตนาที่แท้จริงเอาไว้เป็นปรากฏการณ์ทั่วไปที่เกิดขึ้นในแวดวงการเมืองไทยอย่างยาวนาน  ซึ่งผู้คนในสังคมจำนวนมากก็รู้เท่าทันกับสิ่งเหล่านี้ จึงทำให้ประชาชนไทยจำนวนมากสิ้นศรัทธาและหมดความไว้วางใจนักการเมือง

แต่ก็มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่รู้เท่าทันเจตนาที่แท้จริงของบรรดานักการเมือง จึงได้ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองเหล่านั้น เพื่อให้พวกเขาได้กลับเข้ามามีอำนาจและแสวงหาผลประโยชน์  แต่ที่น่าเศร้าก็คือในบางกรณี ประชาชนได้กลายเป็นเครื่องมือในการทำลายบ้านและเผาเมือง รวมทั้งบั่นทอนความมั่นคงของประเทศเพื่อตอบสนองเจตนาที่ชั่วร้ายของนักการเมืองบางคน

ประการที่สาม ความมีสมรรถภาพ เป็นความสามารถในการก่อให้เกิดความเชื่อมั่น ซึ่งได้แก่ ความรู้ ทักษะ ความสามารถพิเศษ หรือท่วงทำนองในการทำงาน  สิ่งเหล่านี้เป็นกลไกในการสร้างหรือผลิตผลลัพธ์   นักการเมืองบางคนอาจมีความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา และมีความตั้งใจและเจตนาที่ดีต่อบ้านเมือง ไม่มีวาระซ่อนเร้นใดๆในทางที่สร้างประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือพวกพ้อง ซึ่งอาจได้รับความเชื่อถือไว้วางใจในระยะแรกๆของการเข้ามาดำรงตำแหน่ง
 แต่หากเขาไม่มีสมรรถภาพในการบริหารประเทศ   ไม่มีทักษะในการแปลงความรู้ให้เป็นการปฏิบัติ  แต่ละวันก็มุ่งแต่ตีฝีปากพูดแต่สิ่งที่ดีๆไปวันๆ   รวมทั้งไม่มีความสามารถในการใช้อำนาจหน้าที่และบารมีในการขับเคลื่อนเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้เกิดขึ้นแก่บ้านเมือง ไม่มีปัญญาที่จะป้องกันหรือจัดการกับปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ เมื่อเวลาผ่านไปความศรัทธาและความไว้วางใจที่ผู้คนเคยมีให้ก็จะเสื่อมคลายลงไป

การรื้อฟื้นความไว้วางใจกลับคืนมาจำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารประเทศ โดยการนำพาหรือสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้เกิดขึ้นกับสังคม ในระยะเวลาที่ไม่นานจนเกินไป พร้อมกันนั้นก็ต้องหยุดการกระทำที่ชั่วร้ายของผู้คนที่อยู่รอบข้างให้ได้ หากพูดดีๆแล้วไม่หยุด ก็ต้องมีความกล้าหาญในการขจัดออกไป

ประการที่สี่  ผลลัพธ์เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับประวัติ ประสบการณ์ในการทำงาน เมื่อใดที่เราสามารถผลักดันให้สิ่งใดบรรลุความสำเร็จ ความน่าเชื่อถือก็เกิดขึ้นกับเรา แต่เมื่อใดที่เราไม่สามารถผลักดันให้สิ่งที่เป็นเป้าหมายในการทำงานของเราให้สำเร็จได้ความน่าเชื่อถือก็จะลดลง   กล่าวอีกนัยหนึ่งเมื่อใดก็ตามที่เราทำในสิ่งที่เราสัญญาต่อสาธารณะชนได้สำเร็จ เราก็จะได้รับชื่อเสียงในเชิงบวกและความเชื่อถือไว้วางใจก็จะเกิดขึ้น

แน่นอนว่าการนำนโยบาย โครงการ หรือมาตรการใดไปปฏิบัติย่อมจะมีปัญหาและอุปสรรคมากมายที่ขวางหน้าอยู่ โดยเฉพาะหากนโยบาย โครงการ  มาตรการนั้นไปกระทบผลประโยชน์ของกลุ่มอิทธิพลหรือเป็นเรื่องที่ทำให้คนจำนวนมากต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม วิถีปฏิบัติ หรือเปลี่ยนแปลงค่านิยมและความเชื่อ ความยากลำบากในการผลักดันให้ประสบความสำเร็จก็ยิ่งมีมากขึ้น   แต่ถ้าหากว่าเราสามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้ ก็ยิ่งทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนมีความเชื่อมั่นและไว้วางใจเราเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

ในสังคมไทยปัจจุบันเราจะเห็นว่าภาวะวิกฤติของความไว้วางใจแผ่ขยายเป็นวงกว้าง ในแวดวงการเมือง ทั้งพรรคการเมือง รัฐบาล รัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา องค์กรอิสระทั้ง ปปช. สตง. กกต.  แวดวงการศึกษาทั้งสถาบันการศึกษาระดับสูง ระดับกลาง และระดับเบื้องต้น  หน่วยงานราชการที่สำคัญทั้งตำรวจและทหารรวมทั้งหน่วยงานอื่นๆอีกจำนวนมาก  องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  องค์การด้านศาสนา  รวมทั้งภาคธุรกิจเอกชน
วิกฤติความไว้วางใจเมื่อเกิดขึ้นก็กลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการสร้างสรรค์และพัฒนาประเทศ  การที่เราจะฝ่าฟันวิกฤติเหล่านี้ออกไปได้ บุคลากร องค์การ และสถาบันที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย จะต้องมาทบทวนและรื้อฟื้นความศรัทธาไว้วางใจให้เกิดขึ้นใหม่

การสร้างความไว้วางใจโดยวางรากฐานอยู่บนความซื่อสัตย์มั่นคงตรงไปตรงมาในหลักการที่ดีและมีคุณค่าต่อตนเองและสังคม มีความกล้าหาญทางจริยธรรมในการกระทำตามหลักการอย่างแน่วแน่  มีความตั้งใจที่ดีต่อประชาชนและประเทศชาติ โดยปราศจากวาระซ่อนเร้น  มีการพัฒนาสมรรถภาพทั้งความคิด ความรู้และทักษะในการบริหารและการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิผล เป็นธรรม โปร่งใสและมีส่วนร่วม ตลอดจนการผลักดันให้เกิดผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ตามเวลาที่เหมาะสมไม่ปล่อยให้ยืดเยื้อยาวนานจนเกินไป  

ทั้งหมดนี้หากสถาบันและองค์การต่างๆสามารถกระทำได้ ก็จะสามารถสร้างความเชื่อถือศรัทธาและความไว้วางใจกลับคืนมาอีกครั้ง และจะทำให้สังคมไทยมีความเข้มแข็งมากขึ้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิจารณ์หนังสือ การสร้างทฤษฎีฐานราก: แนวทางเชิงปฏิบัติผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ของ Kathy Charmaz. พิมพ์ในวารสารพัฒนาสังคม V 14. No. 2

บทวิจารณ์หนังสือ  พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต Kathy Charmaz  2006. Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis. London: SAGE   จำนวน  208  หน้า ความเป็นมาของทฤษฎีฐานราก ระเบียบวิธีทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) อุบัติขึ้นจากนักสังคมวิทยาสองคนคือ Barney G. Glaser และ Anselm L. Strauss ช่วงกลางทศวรรษ 1960s    ทั้งสองไปทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสภาวะกำลังตายและการตาย ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล    พวกเขาได้พัฒนายุทธศาสตร์เชิงระเบียบวิธีอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งทำให้นักสังคมศาสตร์สามารถนำไปประยุกต์ในการศึกษาเรื่องอื่นๆได้จำนวนมาก   ในปี 1967 Glaser และ Strauss  ได้เสนอระเบียบวิธีนี้เข้ามาสู่แวดวงวิชาการในหนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขา คือ The Discovery of Grounded Theory   ซึ่งทำให้การวิจัยเชิงคุณภาพรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ของระเบียบวิธี        ช่วงเวลาก่อนที่ Glaser และ Strauss เสนอระเบียบวิธีการวิจัยทฤษฎีฐานรากเป็นช่วงที่การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในสาขาสังคมวิทยากำลังประสบกับปัญหาทางระเบียบวิธีวิทยาอย่างหนักหน่วง   การวิจัยเชิงคุณ

ความผิดพลาดของมนุษย์ตามแนวคิดของ ฟรานซิส เบคอน

ความผิดพลาดของมนุษย์ : ชนเผ่า ถ้ำ ตลาด และโรงมหรสพ พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต เห็นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในระยะนี้  ยิ่งทำให้เห็นความจริงประการหนึ่งว่า ทะเลแห่งความมืดบอดของสังคมไทยนับวันจะขยายตัวออกไปมากขึ้น   และเกาะแห่งปัญญานับวันจะลดน้อยถอยลง  หากภาวะเช่นนี้ดำรงต่อไปนานเท่าไร  ก็ยิ่งทำให้ทะเลแห่งความมืดบอดมีโอกาสกลืนกินเกาะแห่งปัญญาจนหมดสิ้นในไม่ช้า  ผมไปอ่านงานของนักปรัชญาท่านหนึ่ง  เห็นว่ามีความน่าสนใจโดยเฉพาะการวิเคราะห์เกี่ยวกับความผิดพลาดทางปัญญาและการให้เหตุผลของมนุษย์   ซึ่งทำให้เราต้องนำมาทบทวน ระมัดระวัง จะได้ไม่ตกอยู่ในความผิดพลาดนั้น   เพื่อจะได้พัฒนาปัญญาของตนเองให้กระจ่างชัด และมีหนทางในการนำพาสังคมให้หลุดพ้นจากทะเลแห่งความมืดบอดต่อไป ฟรานซิส เบคอน นักปรัชญาชาวอังกฤษซึ่งมีชีวิตระหว่าง ค.ศ. 1561 ถึง 1626   วิเคราะห์จำแนกสาเหตุของความผิดพลาดในการใช้เหตุผลของมนุษย์ออกเป็นสี่แบบ  ได้แก่ ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของชนเผ่า ( Idols of the Tribe)    ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของถ้ำ ( Idols of the Cave)   ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของตลาด (Idols of the Market-place)   และความผิดพลาด

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คำถามประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการทำแท้งคือ เมื่อไรที่จะนับว่าชีวิตมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และ ณ จุดไหนที่สังคมควรจะเข้าไปดำเนินการปกป้องชีวิตที่กำลังก่อกำเนิด       ส่วนข้อถกเถียงเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับการทำแท้งมี ๒ ประเด็นหลักคือ  ประเด็นแรกคือ “คุณค่าของพื้นฐานแห่งชีวิต” ซึ่งมีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ยังไม่ได้กำเนิดมาดูโลก กับชีวิตของมารดา   ประเด็นที่สองคือ “พื้นฐานของเสรีภาพส่วนบุคคคล” ซึ่งเป็นสิทธิของมารดาเหนือร่างกายของตนเองในการให้กำเนิดและกำหนดชีวิต และประเด็นที่เป็นความขัดแย้งอีกประการคือแนวคิดเกี่ยวกับ “สิทธิสัมบูรณ์”  ระหว่างสิทธิของทารกในครรภ์ที่จะก่อตัวพัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษย์ กับสิทธิของมารดาในการควบคุมชีวิตและร่างกายของตนเอง ชีวิตมนุษย์เริ่มจากไหนและพัฒนาอย่างไร   ในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายขั้นตอนของการพัฒนาตัวอ่อนในครรภ์ในเป็นมนุษย์ ดังนี้ ๑.       ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นจากไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์จากอสุจิ หนึ่งเซลล์ของมนุษย์ผู้หนึ่งผสมกับเซลล์ของมนุษย์อีกผู้หนึ่ง กลายเป็นสองเซลล์และขยายเป็นสี่ และจากนั้นภายในหกวั