ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต " การสร้างความคิดเชิงวิพากษ์และพลเมืองที่มีคุณภาพในระบอบประชาธิปไตย"


การสร้างความคิดเชิงวิพากษ์และพลเมืองที่มีคุณภาพในระบอบประชาธิปไตย
พิชาย รัตนดิลก  ณ ภูเก็ต

ความล้มเหลวประการหนึ่งของสังคมไทยคือการขาดความสามารถในการสร้างและพัฒนาประชาชนพลเมืองได้อย่างมีคุณภาพ  โดยเฉพาะคุณภาพของระบบคิด    เราจึงมีบุคคลจำนวนมากที่คิดสั้น คิดตื้น คิดเข้าข้างตนเอง คิดเอาแต่ประโยชน์  และคิดว่าตนเองถูกตลอด  ความคิดเหล่านี้ย่อมไม่ส่งเสริมให้เกิดประชาธิปไตย และเป็นรากฐานนำไปสู่การกระทำที่สร้างความเสียหายให้กับสังคมได้อย่างมหาศาล

พลเมืองที่มีคุณภาพในระบอบประชาธิปไตยต้องเป็นพลเมืองที่มีข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายและประเด็นทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง  เพื่อว่าจะได้เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างมีประสิทธิภาพในการอภิปรายและการตัดสินใจเชิงนโยบาย   คุณสมบัติหลักของพลเมืองที่มีคุณภาพอีกประการหนึ่งคือการมีระบบคิดที่ดีซึ่งสามารถจำแนกแยกวิเคราะห์แยกแยะปรากฏการณ์ และนำเสนอเหตุผลที่เชื่อมโยงกับข้อมูลเชิงรูปธรรมอย่างสมเหตุสมผล   สังคมไทยดูเหมือนมีพลเมืองที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ไม่มากนัก

 พลเมืองไทยจำนวนมากยังเชื่อในสิ่งที่ตนเองรับรู้อย่างงมงาย โดยขาดการไตร่ตรองในเชิงเหตุผลและขาดการแสวงหาข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์  ดังเช่น เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรีผู้หนึ่งกล่าวว่า การที่เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีที่ดินรัชดา เพราะว่าเขาเป็นนักการเมืองคนหนึ่ง    ผู้คนจำนวนมากก็เชื่อโดยไม่ทันได้คิดว่าการที่ศาลจะพิพากษาให้ผู้ใดมีความผิดหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาทั้งข้อกฎหมายและหลักฐานอย่างรอบคอบและยุติธรรม   หรือกระแสความเชื่อที่ว่าอดีตนายกผู้นี้เป็นอดีตกษัตริย์ที่กลับชาติมาเกิด คนจำนวนมากก็เชื่อกันอย่างงมงายโดยปราศจากคำถาม

การชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มเสื้อแดงเมื่อเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2553 เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงคุณภาพของพลเมืองอย่างชัดเจนทั้งในระดับ นักวิชาการ แกนนำ และมวลชน  พวกนักวิชาการและแกนนำเสื้อแดงพยายามสร้างวาทกรรมไพร่และอำมาตย์ขึ้นมา อย่างผิดเพี้ยนทั้งทางทฤษฎีและข้อเท็จจริงทางสังคม 

อันที่จริงการหยิบยกประเด็นเหล่านี้ขึ้นมามีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นประเด็นบังหน้า  เป้าประสงค์ที่แท้จริงของการเคลื่อนไหวคือ การต่อสู้เพื่อให้ทักษิณได้รับสถานภาพเดิมคืนและกลับมามีบทบาททางการเมืองในสังคมไทยต่อไป    วาทกรรมไพร่-อำมาตย์จึงสะท้อนให้เห็นถึงความอับจนทางปัญญาของนักวิชาการและแกนนำเสื้อแดงในการหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาเพื่อปลุกระดมมวลชน   
            มวลชนเสื้อแดงเป็นพวกที่ตกใจง่าย ตามที่แกนนำคนหนึ่งได้กล่าวขณะปราศรัยที่เวทีราชประสงค์  ซึ่งต่อมาสิ่งที่แกนนำผู้นี้กล่าวไว้ก็เป็นจริง   เมื่อรัฐบาลมีมาตรการกระชับวงล้อม 14 – 19 พฤษภาคม 2553  มวลชนเสื้อแดงจำนวนมากเกิดความตกใจจนกระทั่งสำแดงออกมาโดยการเผาสถานที่ต่างๆจำนวนมาก และยังได้เข้าไปขโมยสินค้าจากห้างสรรพสินค้าที่ถูกเผาอีกด้วย  

  บุคคลที่ตกใจง่ายเป็นบุคคลที่ขาดสติ ขาดความยั้งคิดและขาดปัญญาในการพิจารณาเหตุและผล   ดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะกระทำสิ่งใดโดยไร้ความสำนึกผิดชอบชั่วดี 

เมื่อสังคมไทยมีพลเมืองที่มีลักษณะเช่นนี้เป็นจำนวนมาก ย่อมส่งผลด้านลบต่อการพัฒนาประเทศ เพราะพวกเขามีโอกาสที่จะถูกนักการเมืองชั่วร้ายบางคนใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความขัดแย้งและความรุนแรง  ดังที่เกิดขึ้นในช่วงระยะ 10 ปีที่ผ่านมา

การสร้างระบบคิดเชิงวิพากษ์แก่พลเมืองจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วนอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นเงื่อนไขหนึ่งที่จะบรรเทาความขัดแย้งและความรุนแรง  เพราะเมื่อผู้คนจำนวนมากมีความคิดเชิงวิพากษ์พวกเขาย่อมสามารถวิเคราะห์ มองทะลุความต้องการที่แท้จริงของนักการเมืองได้  ทำให้พวกเขาตาสว่างและไม่ถูกหลอกลวงหรือครอบงำด้วยความคิดเชิงมายาคติ  และตรรกที่ชั่วร้ายทำลายสังคมอีกต่อไป

            การคิดแบบวิพากษ์เป็นการบูรณาการทักษะที่หลากหลายซึ่งแต่ละทักษะต่างก็มีส่วนในการเสริมสร้างความแหลมคมและเป็นพลังให้แก่กันและกัน  ทักษะที่สำคัญ ได้แก่ทักษะการวิเคราะห์     การสื่อสารอย่างมีประสิทธิผล   การแสวงหาความรู้โดยการวิจัย  และความยืดหยุ่นและการอดกลั้นต่อความคลุมเครือ

นักคิดเชิงวิพากษ์จำเป็นต้องสามารถวิเคราะห์และนำเสนอตรรกเพื่อสนับสนุนความเชื่อมากกว่าการใช้ความคิดเห็นธรรมดา    สิ่งสำคัญของทักษะการวิเคราะห์ประการหนึ่งคือ การจดจำและการประเมินความคิดและข้อโต้แย้งของบุคคลอื่น เพื่อว่าจะได้ไม่ผิดพลาดในการให้เหตุผลสำหรับการสนับสนุนหรือโต้แย้งเรื่องใดๆ

เหตุผลเป็นกระบวนการของการสนับสนุนข้อเสนอหรือข้อสรุปซึ่งอยู่บนพื้นฐานของหลักฐาน   สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเหตุผลมีสองด้านคือ ประการแรก การใช้หลักการที่อยู่บนพื้นฐานของจริยธรรม สัจธรรม ศีลธรรม และเป้าประสงค์ เช่นการที่เราไม่เห็นด้วยกับการทำแท้งเพราะว่า การทำแท้งเป็นการทำลายชีวิต มนุษย์ย่อมไม่มีสิทธิในการทำลายชีวิตมนุษย์ด้วยกันเอง   การให้เหตุผลลักษณะนี้ยืนอยู่บนพื้นฐานของจริยธรรมเชิงศาสนา    แต่หากมีผู้เห็นด้วยกับการทำแท้ง และให้เหตุผลว่าหากปล่อยให้เด็กออกมาอาจสร้างปัญหาแก่สังคมเพราะเด็กอาจถูกเลี้ยงดูโดยพ่อแม่ที่ไร้วุฒิภาวะหรือไม่พร้อม  การให้เหตุผลเช่นนี้มีรากฐานจากการมองไปที่เป้าประสงค์ของสังคม   

ประการที่สอง  การให้เหตุผลเพื่อประยุกต์กฎระเบียบหรือแนวทางเพื่อแก้ปัญหา  โดยอ้างอิงถึงประสิทธิผลของระเบียบหรือแนวทางเหล่านั้น  เช่น หากใช้มาตรการห้ามดื่มสุรา ขณะขับขี่รถยนต์ จะทำให้อุบัติเหตุลดลง  หรือ หากใช้ระบบการเลือกตั้งแบบเขตใหญ่ จะทำให้การซื้อขายเสียงทำได้ยากขึ้น เป็นต้น

            อย่างไรก็ตามในบางครั้งการให้เหตุผลเชิงหลักการกับการให้เหตุผลเชิงประสิทธิผลอาจขัดแย้งกันก็ได้  เช่น หากเลือกระบบการเลือกตั้งแบบเขตเดียวเลือก ส.ส. ได้หนึ่งคน  ก็จะเป็นการใช้เหตุผลเชิงหลักการแบบ “หนึ่งคนมีหนึ่งเสียง” ตามระบอบประชาธิปไตย  แต่ก็อาจขัดแย้งกับเหตุผลเชิงประสิทธิผล เพราะการเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียวจะทำให้ซื้อขายเสียงได้ง่าย ซึ่งทำให้การเลือกตั้งไม่ยุติธรรม 

นอกจากเรื่องเหตุผลแล้ว การคิดเชิงวิพากษ์ยังต้องการทักษะในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิผล ซึ่งรวมถึง การฟัง การอ่าน การพูด และการเขียน    การฟังไม่ใช่เรื่องง่าย  เพราะในสังคมมีคน ฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียดจำนวนมาก   หรือฟังแล้วไปบิดเบือนก็มีไม่น้อย  หรือ ฟังเฉพาะที่ตนเองชอบก็มีจำนวนมหาศาล  ดังนั้นการฝึกฟังอย่างรอบด้าน ฟังอย่างอดกลั้น  ฟังอย่างปราศจากอคติ  และฟังอย่างตั้งใจและจริงจัง จึงเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ความคิดเชิงวิพากษ์เกิดขึ้นได้                สำหรับทักษะอื่นๆก็เช่นเดียวกันต้องส่งเสริมอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง

การแสวงหาความรู้โดยการวิจัย เป็นการค้นหาความจริงซึ่งเริ่มต้นจากการตั้งคำถามหรือคิดโจทย์ปัญหาของสิ่งที่เราสนใจศึกษา  กำหนดวัตถุประสงค์   ศึกษาบรรดาแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องซึ่งผู้อื่นมาก่อนในอดีตเพื่อเป็นฐานทางความคิดให้กับเรา ขณะเดียวกันเราก็ต้องมีการอภิปรายถกเถียงวิพากษ์แนวคิดที่เราอ่านว่ามีจุดอ่อน จุดแข็งอะไรบ้าง  และจะนำมาสังเคราะห์เป็นแนวทางหรือกรอบในการวิเคราะห์ของเราได้อย่างไร  

เมื่อมีแนวทางกว้างๆ(สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ) หรือมีกรอบแนวคิดที่ชัดเจน (สำหรับงานวิจัยเชิงปริมาณ)  เราก็นำกรอบเหล่านั้นมาสร้างเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ  เครื่องมือนี้อาจเป็น แนวทางการสัมภาษณ์  แบบสอบถาม แบบทดลอง  แบบสังเกต  หรือ อาจเป็นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์สำหรับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์   ก็ได้  แต่สิ่งสำคัญคือ เครื่องมือเหล่านี้จะต้องมีความเที่ยงและความตรงกับสิ่งที่เราต้องการศึกษา

เมื่อได้ข้อมูลมา ก็นำมาประมวลและจัดระบบในการวิเคราะห์ต่อไป สำหรับจะใช้เทคนิควิเคราะห์อย่างไรนั้นก็ขึ้นกับว่าเรามีสมมติฐานอย่างไร   โดยทั่วไปในการวิจัยเชิงปริมาณจะใช้สถิติช่วยในการวิเคราะห์ตั้งแต่สถิติระดับเบื้องต้น เช่น ร้อยละ จนไปถึงสถิติระดับสูง เช่น การวิเคราะห์ความแปรปรวน และสมการเชิงโครงสร้าง    ส่วนในเชิงคุณภาพ ก็อาจใช้เทคนิคการวิเคราะห์โดยการสร้างแบบแผน  การจัดกลุ่มชั้น  การสร้างอุปมา  การเปรียบเทียบ  การเชื่อมโยงตรรก  เป็นต้น

เมื่อได้ผลจากการวิจัยเราก็นำมาอภิปรายผลว่างานวิจัยของเราเมื่อเปรียบเทียบกับงานวิจัยของผู้อื่นแล้วมีความเหมือนความต่างกันหรือไม่ เพราะเหตุใด  รวมทั้งอภิปรายเกี่ยวกับคุณูปการของงานวิจัยเราที่มีต่อศาสตร์ว่า เป็นการยืนยันแนวคิดทฤษฎีเดิม ในบริบทที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นการขยายความเป็นสามัญการหรือความสามารถในการอธิบายของทฤษฎีนั้นในหลากหลายพื้นที่หรือช่วงเวลามากขึ้น  หรือ เป็นการเพิ่มเติมขยายองค์ความรู้เดิมในเชิงเนื้อหามากขึ้น    หรือ เป็นการล้มล้างแนวคิดทฤษฎีเดิมอย่างสิ้นเชิง   หรือ เป็นการสร้างความรู้ใหม่ที่ไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อน

การส่งเสริมพลเมืองให้มีความสามารถในการแสวงหาความรู้โดยการวิจัย จึงเป็นการเสริมสร้างปัญญา ขยายขอบเขตในการทำความเข้าใจโลกและสังคมอย่างเป็นระบบ และเป็นการฝึกฝนการใช้ความคิดในเชิงวิพากษ์ที่มีประสิทธิผล

ความยืดหยุ่นและความอดกลั้นต่อความคลุมเครือ เป็นคุณสมบัติสำคัญของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย  เพราะทำให้ผู้คนสามารถยอมรับความแตกต่างทางความคิด ความเชื่อ และแนวทางการปฏิบัติ  การทำให้พลเมืองมีสิ่งนี้ได้ จะต้องมีการฝึกฝนและปฏิบัติการจริง  โดยการส่งเสริมการจัดกลุ่มสานเสวนา พูดคุยอภิปราย อย่างเปิดกว้างในประเด็นต่างๆทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง   รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกลุ่มต่างๆในสังคมอย่างต่อเนื่อง  ส่งเสริมการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ขยายเครือข่ายสังคมของผู้มีจิตอาสาออกไปให้กว้างขวาง

การรักษาและพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ของสังคมไทยให้มีความเข้มแข็ง  จึงต้องมีการสร้างความคิดเชิงวิพากษ์ให้กับพลเมืองไทยอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง  เพื่อให้พวกเขาเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ สามารถวิเคราะห์แยกแยะและไม่ตกอยู่ภายใต้การหลอกลวงและเป็นเครื่องมือของนักการเมืองที่ชั่วร้ายอีกต่อไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิจารณ์หนังสือ การสร้างทฤษฎีฐานราก: แนวทางเชิงปฏิบัติผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ของ Kathy Charmaz. พิมพ์ในวารสารพัฒนาสังคม V 14. No. 2

บทวิจารณ์หนังสือ  พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต Kathy Charmaz  2006. Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis. London: SAGE   จำนวน  208  หน้า ความเป็นมาของทฤษฎีฐานราก ระเบียบวิธีทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) อุบัติขึ้นจากนักสังคมวิทยาสองคนคือ Barney G. Glaser และ Anselm L. Strauss ช่วงกลางทศวรรษ 1960s    ทั้งสองไปทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสภาวะกำลังตายและการตาย ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล    พวกเขาได้พัฒนายุทธศาสตร์เชิงระเบียบวิธีอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งทำให้นักสังคมศาสตร์สามารถนำไปประยุกต์ในการศึกษาเรื่องอื่นๆได้จำนวนมาก   ในปี 1967 Glaser และ Strauss  ได้เสนอระเบียบวิธีนี้เข้ามาสู่แวดวงวิชาการในหนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขา คือ The Discovery of Grounded Theory   ซึ่งทำให้การวิจัยเชิงคุณภาพรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ของระเบียบวิธี        ช่วงเวลาก่อนที่ Glaser และ Strauss เสนอระเบียบวิธีการวิจัยทฤษฎีฐานรากเป็นช่วงที่การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในสาขาสังคมวิทยากำลังประสบกับปัญหาทางระเบียบวิธีวิทยาอย่างหนักหน่วง   การวิจัยเชิงคุณ

ความผิดพลาดของมนุษย์ตามแนวคิดของ ฟรานซิส เบคอน

ความผิดพลาดของมนุษย์ : ชนเผ่า ถ้ำ ตลาด และโรงมหรสพ พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต เห็นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในระยะนี้  ยิ่งทำให้เห็นความจริงประการหนึ่งว่า ทะเลแห่งความมืดบอดของสังคมไทยนับวันจะขยายตัวออกไปมากขึ้น   และเกาะแห่งปัญญานับวันจะลดน้อยถอยลง  หากภาวะเช่นนี้ดำรงต่อไปนานเท่าไร  ก็ยิ่งทำให้ทะเลแห่งความมืดบอดมีโอกาสกลืนกินเกาะแห่งปัญญาจนหมดสิ้นในไม่ช้า  ผมไปอ่านงานของนักปรัชญาท่านหนึ่ง  เห็นว่ามีความน่าสนใจโดยเฉพาะการวิเคราะห์เกี่ยวกับความผิดพลาดทางปัญญาและการให้เหตุผลของมนุษย์   ซึ่งทำให้เราต้องนำมาทบทวน ระมัดระวัง จะได้ไม่ตกอยู่ในความผิดพลาดนั้น   เพื่อจะได้พัฒนาปัญญาของตนเองให้กระจ่างชัด และมีหนทางในการนำพาสังคมให้หลุดพ้นจากทะเลแห่งความมืดบอดต่อไป ฟรานซิส เบคอน นักปรัชญาชาวอังกฤษซึ่งมีชีวิตระหว่าง ค.ศ. 1561 ถึง 1626   วิเคราะห์จำแนกสาเหตุของความผิดพลาดในการใช้เหตุผลของมนุษย์ออกเป็นสี่แบบ  ได้แก่ ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของชนเผ่า ( Idols of the Tribe)    ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของถ้ำ ( Idols of the Cave)   ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของตลาด (Idols of the Market-place)   และความผิดพลาด

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คำถามประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการทำแท้งคือ เมื่อไรที่จะนับว่าชีวิตมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และ ณ จุดไหนที่สังคมควรจะเข้าไปดำเนินการปกป้องชีวิตที่กำลังก่อกำเนิด       ส่วนข้อถกเถียงเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับการทำแท้งมี ๒ ประเด็นหลักคือ  ประเด็นแรกคือ “คุณค่าของพื้นฐานแห่งชีวิต” ซึ่งมีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ยังไม่ได้กำเนิดมาดูโลก กับชีวิตของมารดา   ประเด็นที่สองคือ “พื้นฐานของเสรีภาพส่วนบุคคคล” ซึ่งเป็นสิทธิของมารดาเหนือร่างกายของตนเองในการให้กำเนิดและกำหนดชีวิต และประเด็นที่เป็นความขัดแย้งอีกประการคือแนวคิดเกี่ยวกับ “สิทธิสัมบูรณ์”  ระหว่างสิทธิของทารกในครรภ์ที่จะก่อตัวพัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษย์ กับสิทธิของมารดาในการควบคุมชีวิตและร่างกายของตนเอง ชีวิตมนุษย์เริ่มจากไหนและพัฒนาอย่างไร   ในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายขั้นตอนของการพัฒนาตัวอ่อนในครรภ์ในเป็นมนุษย์ ดังนี้ ๑.       ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นจากไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์จากอสุจิ หนึ่งเซลล์ของมนุษย์ผู้หนึ่งผสมกับเซลล์ของมนุษย์อีกผู้หนึ่ง กลายเป็นสองเซลล์และขยายเป็นสี่ และจากนั้นภายในหกวั