รศ.
ดร. พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
สัญญาณแห่งการล่มสลายของสังคม
หากมองย้อนไปในประวัติศาสตร์อย่างพินิจพิจารณา
แบบแผนปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นกับสังคมและอารยธรรมของมนุษย์คือ
การก่อเกิด การเติบโต ความรุ่งเรือง การเสื่อมโทรม และการล่มสลาย แน่นอนว่าผู้คนส่วนมากในแต่ละสังคมย่อมต้องการให้สังคมของตนเองเติบโตและรุ่งเรืองตลอดกาล พวกเขาพยายามรักษาสภาพดังกล่าวไว้โดยใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลและยุทธศาสตร์ที่หลากหลาย หลายแห่งประสบความสำเร็จ
แต่อีกหลายแห่งกลับล่มสลาย
ทำไมความหายนะจึงมาเยือนสังคมเหล่านั้น คำตอบที่น่าสนใจอยู่ในงานวิจัยของ จาเร็ด
ไดมอนด์ ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
ลอสแองเจลลิส
จาเร็ด
ไดมอนด์ ได้จำแนกการเกิดขึ้นของความหายนะออกเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ ในขั้นแรกกลุ่มคนจำนวนหนึ่งซึ่งมีบทบาทหลักในสังคมไร้ความสามารถในการคาดการณ์ปัญหาล่วงหน้าได้ ในขั้นที่สอง เมื่อปัญหาเกิดขึ้น กลุ่มเหล่านั้นก็หาได้ตระหนักถึงความสำคัญของสัญญาณที่กำลังคุกคามความอยู่รอดของสังคมแต่ประการใด ขั้นที่สาม แม้จะรู้และตระหนักถึงปัญหา แต่พวกเขาก็ไม่พยายามลงมือแก้ปัญหาเหล่านั้น และขั้นที่สี่
พวกเขาอาจแก้ปัญหา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
ขั้นแรก
กลุ่มที่มีบทบาทในการบริหารสังคมไร้ความสามารถในการคาดการณ์ปัญหาล่วงหน้าได้ หากนำประเด็นนี้มาเทียบเคียงกับสังคมไทย มีตัวอย่างหลายกรณีที่ชี้ให้เห็นถึงปรากฎการณ์นี้ เช่น เมื่อผู้ร่างรัฐธรรมนูญ
พ.ศ. 2540 กำหนดระบบให้นายกรัฐมนตรีมีความมั่นคงในการดำรงตำแหน่ง
โดยทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯเกิดขึ้นได้ยาก สิ่งที่ตามมาคือประเทศไทยได้นายกฯที่ระบบรัฐสภาและกลไกรัฐอื่นๆไม่สามารถตรวจสอบได้ หรือ การที่ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตัดสินใจยุบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
(ศอบต.) ทำให้เกิดความรุนแรงอย่างต่อเนื่องที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของสังคมไทย
ส่งผลให้มีประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายพันคน ผู้หญิงเป็นหม้าย เด็กกำพร้า
คนชราสูญเสียบุตร และประเทศต้องสูญเสียงบประมาณนับแสนล้านบาทในการแก้ปัญหาที่เกิดจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดของทักษิณ
ชินวัตร
ขั้นที่สอง
เมื่อปัญหาเกิดขึ้น พวกเขาก็มิได้ตระหนักรับรู้ถึงปัญหา รัฐบาลอภิสิทธิ์ หลังเหตุการณ์เดือน เมษายน พ.ศ.
2552 เป็นตัวอย่างของการที่ไม่ตระหนัก
ไม่รับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งที่ตัวนายกรัฐมนตรีถูกรุมทำร้ายหมายเอาชีวิตโดยคนเสื้อแดงที่จังหวัดชลบุรีและภายในกระทรวงมหาดไทย เกิดจราจลเผายางรถยนต์และรถเมล์หลายคัน รวมทั้งทำลายการประชุมระดับนานาชาติ แต่หลังเหตุการณ์ในปีนั้นรัฐบาลบริหารราวกับว่าไม่เคยเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นมาก่อนเลย จนกระทั่งในเดือนมีนาคม ถึงพฤษภาคม 2553 ประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอย คนเสื้อแดงก่อการร้ายและจราจลเผาบ้าน
ทำลายเมืองอย่างรุนแรงซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของสังคมไทยอีกเช่นเดียวกัน
หรือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในปี 2554
มิได้ตระหนักถึงปัญหามหาอุทกภัย ไม่ได้เตรียมการป้องกันอย่างเป็นระบบ
จนทำให้ประเทศเกิดความเสียหายอย่างมหาศาล
มีผู้คนเสียชีวิตหลายร้อยคน และเศรษฐกิจเสียหายนับแสนล้านบาท
ขั้นที่สาม
ปัญหาเกิดขึ้น รู้แล้วแต่ไม่พยายามแก้ปัญหา ผู้บริหารสังคมรู้ปัญหา
และอาจแสดงท่าทีว่าสนใจในปัญหาเหล่านั้น แต่ที่จริงแล้วหาได้ใส่ใจอย่างจริงจัง
จนกระทั่งปัญหาได้ขยายตัวออกไปจนไม่สามารถควบคุมได้ รัฐบาลไทยหลายยุคหลายสมัยเป็นตัวอย่างชัดเจนถึงการแสดงท่าทีเช่นนี้ เช่น รู้ทั้งรู้ว่าพรรคร่วมรัฐบาลทุจริต หรือรู้ทั้งรู้ว่ากลไกรัฐโดยเฉพาะตำรวจไม่ทำงาน
แต่ก็ไม่พยายามจะเข้าไปแก้ปัญหาเหล่านี้แต่ประการใด
ยิ่งกว่านั้นยังมีปัญหาที่สะท้อนให้เห็นถึงภาวะวิกฤติการณ์ของประเทศหลายประการ
ที่รัฐบาลไทยปัจจุบันอาจรู้แล้ว แต่ไม่พยายามแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ปัญหาเหล่านั้นได้แก่ ความเสื่อมคลายของความเป็นปึกแผ่นทางสังคมซึ่งเกิดจากค่านิยมร่วมของสังคมต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขถูกท้าทายจากกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม
ปัญหาการปริแยกของอัตลักษณ์ร่วมในฐานะที่เป็นคนไทย ที่แตกออกเป็นอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่มอันเกิดจากการสร้างและตอกย้ำวาทกรรมไพร่
อำมาตย์ และสองมาตรฐานของแกนนำเสื้อแดง
การท้าทายความชอบธรรมของสถาบันทางสังคมและการเมือง
ทั้งสถาบันรัฐสภา รัฐบาล องค์กรอิสระ
และสถาบันที่เกี่ยวข้องกับความยุติธรรมโดยเฉพาะตำรวจ
ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่กำลังพัฒนากลายเป็นวิกฤติ
เพราะประชาชนหลากหลายกลุ่มขาดความเชื่อถือไว้วางใจในการปฏิบัติงานของสถาบันเหล่านี้ หากสถาบันเหล่านี้ล้มละลาย
ระบอบประชาธิปไตยก็ตกอยู่ในภาวะที่เสี่ยงต่อการล่มสลายเช่นเดียวกัน
สัญญาณอีกประการที่บ่งบอกนัยถึงอันตรายต่อสังคมคือ
ความแพร่หลายของวิถีคิดและการปฏิบัติที่ใช้ความรุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมายของบุคคลบางกลุ่ม
โดยไม่สนใจไยดีกับผลกระทบที่เกิดขึ้น
การละเมิดกฎหมายและการใช้กฎหมู่แพร่ระบาดเสมือนกฎหมายเป็นเพียงกระดาษเปื้อนหมึกที่ไร้การบังคับใช้ ส่วนสันติวิธีก็กลายเป็นข้ออ้างเพื่อซ่อนเร้นการก่อการร้าย
ในขั้นสุดท้ายที่เป็นสัญญาณแห่งการคืบคลานของภาวะที่สังคมกำลังล่มสลาย
คือผู้บริหารสังคมพยายามแก้ปัญหา แต่ไม่สำเร็จเพราะขาดความสามารถและไร้ปัญญาในการเสนอทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหา บางกรณีแม้จะมีทางเลือกที่ดูเสมือนว่าจะสามารถแก้ปัญหาได้
แต่ผู้นำก็ไม่มีความกล้าหาญเพียงพอในการเลือกใช้ทางเลือกนั้นเพราะอาจไปกระทบผลประโยชน์ของกลุ่มบางกลุ่มที่พวกเขาเกรงใจหรือกลุ่มที่มีอำนาจในสังคม
หรือทางเลือกบางอย่างอาจต้องไปกระทบกับค่านิยมบางประการของสังคมที่จะก่อให้เกิดการต่อต้านจากกลุ่มที่ยึดถือค่านิยมเหล่านั้น
เช่น ทางเลือกในการยกเลิกนโยบายประชานิยม
ทางเลือกในการเก็บภาษีมรดก
หรือทางเลือกในการยกเลิกยศตำแหน่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น
สัญญาณแห่งความหายนะทั้งสี่ขั้นที่กล่าวมาข้างต้นเกิดขึ้นในสังคมไทยในหลายแง่
หลายมุม และหลายช่วงเวลา
อีกทั้งยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยความถี่ที่เข้มข้นขึ้นทุกขณะ หากผู้บริหารสังคมยังไม่ตระหนักรู้ถึงการดำรงอยู่ของปัญหา
หรือแม้รู้แล้วแต่ไม่จริงจังในการแก้ปัญหา
หรือมีความตั้งใจในการแก้ปัญหาที่ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร
หรือทราบว่าจะทำอย่างไรแต่ขาดความกล้าหาญในการตัดสินใจและขับเคลื่อนแนวทางที่มีประสิทธิภาพ อนาคตสังคมไทยเป็นอย่างไรก็ไม่ยากที่จะคาดการณ์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น