ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

พลเเอกสนธิ เอกบุรุษผู้ทำลาย 3 อำนาจอธิปไตย

พลเอกสนธิ เอกบุรุษผู้ทำลาย 3 อำนาจอธิปไตย.  แต่ปริศนาคือ ทำเองหรือตกเป็นเครื่องมือ พลเอกสนธิ บุญรัตกลิน อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร ที่ขจัดรัฐบาลทักษิณพ้นจากอำนาจในปี 2549. การรัฐประหารครั้งนั้นนับได้ว่าเป็นความผิดพลาดครั้งแรกของพลเอกสนธิ. เพราะ 1. เป็นการขัดขวางพัฒนาการทางการเมืองแบบประชาธิปไตย. โดยที่ตนเองก็ปราศจากเจตจำนงค์ทางการเมืองใดๆในการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยให้ดีขึ้น. จึงเป็นการรัฐประหารแบบลวกๆดิบๆสุกๆ หรือ สุกเอาเผากิน.  เหตุผลที่อ้างในการทำรัฐประหาร ไม่มีเรื่ิองใดเลยที่ได้รับการดำเนินการต่อเนื่องและจริงจัง 2 เป็นต้นเหตุในการสร้างขบวนการทางการเมืองแบบอนาอุปถัมภ์ธิปไตย ขึ้นมาของ กลุ่มคนเสื้อแดง. และทำให้บ้านเมืองต้องประสบกับความวุ่นวายสับสน.  เกิดจลาจลนองเลือด เผาบ้านเผาเมืองหลายครั้งหลายหน. เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนจำนวนไม่น้อยต้องตายพิการและบาดเจ็บ ทั้งยังทำให้สถาบันหลักของบ้านเมืองถูกคุกคามอย่างหนักหน่วง. อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน. รวมทั้งเกิดความเสียหายในกระบวนการยุติธรรมอย่างรุนแรง ความเสียหายที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 7 ปี ที่ผ่านมาพลเอกสนธิ เป็นผู้มีส่วนร่วมที่สำคัญมากผู้หนึ่งในเวทีประวัติศาสตร์ไทย แต่ดูเหมือนพลเอกสนธิ จะยังไม่ยอมหยุด และกำลังเดินเกมทางการเมืองที่นำไปสู่การสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแก่ประเทศไทยอีกรอบหนึ่ง. อันเป็นความผิดมหันต์ซ้ำซาก. นั่นคือ การเป็นหัวหอกในการเสนอนิรโทษกรรมให้ทักษิณ. ชินวัตร คนที่พลเอกสนธิรัฐประหารนั่นแหละ พลเอกสนธิ อาจเข้าใจไปเองอย่างผิดๆและแก้ตัวกับสังคมว่า การทำเช่นนั้นเป็นการสร้างการปรองดองในสังคม.  แต่คนเขามองเห็นไส้พุงของพลเอกสนธิ   ว่ามีอยู่กี่ขด.  เพราะแท้จริงแล้วพลเอกสนธิเสนอเรื่องปรองดอง นี้เป็นการทำเพื่่อไถ่บาปของตนเองที่ได้กระชากทักษิณลงจากอำนาจ.  พูดง่ายๆก็คือ ทำเพื่อให้ทักษิณ กลับคืนสู่สภาพเดิมก่อนการรัฐประหาร. หรือ คืนอำนาจและสถานภาพเดิมให้ทักษิณนั่นเอง แต่พลเอกสนธิ คงไม่รู้ หรือ อาจจะรู้ก็ได้หากยังมีสติปัญญาวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง(แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจนัก).  ว่า การกระทำของตนเอง เป็นความผิดซ้ำสอง ที่จะสร้างความเสียหายแก่สังคมไทยยิ่งกว่าการรัฐประหารในครั้งแรกเสียอีก. เพราะการทำครั้งนี้เป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรมอย่างยับเยิน.  บทบาทของพลเอกสนธิ. จึงเป็นผู้ทำลายอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติในปี 2549. และในปี 2555 เขาจะเป็นผู้ทำลายอำนาจอธิปไตยที่สามคือ อำนาจตุลาการ เขาจึงเป็นบุรุษไทยผู้เดียวที่ ทำลายอำนาจอธิปไตยทั้งสามลงไปอย่างครบครัน ซึ่งไม่เคยมีผู้นำทางการเมืองคนใดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยที่ทำได้แบบเขามาก่อน น่าทึ่งจริงๆสำหรับคนผู้หนึ่งที่มีอำนาจในการทำลายล้างอย่างนี้. และน่าทึ่งมากๆหากการกระทำของเขา ไม่ได้เกิดจากเจตจำนงค์ของตนเอง.   แต่เกิดจากการบงการของผู้อื่น. อย่างในปี2549 บางครั้งพลเอกสนธิก็พูดเหมือนเป็นนัยๆว่า ตนเองไม่อยากรัฐประหาร. แต่แม้ตายก็บอกไม่ได้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง.  ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน. ในอนาคตพลเอกสนธิ อาจพูดว่า แท้จริงแล้วตนเองไม่อยากเสนอกฎหมายปรองดอง แต่แม้ตายก็บอกไม่ได้ว่าทำไมต้องเสนอกฎหมายนี้ แต่ไม่ต้องบอกหรอกครับ. คนที่ิเขาติดตามสถานการณ์บ้านเมือง เขามองออกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังพลเอกสนธิคือใคร แต่ไม่ว่าจะอ้างอย่างไร พลเเอกสนธิ. ย่อมไม่อาจปัดความรับผิดชอบในการสร้างความเสียหายแก่สังคมไทยในช่วงที่ผ่านม่หลายปีนี้ได้. รวมทั้งความเสียหายที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคตด้วย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คำถามประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการทำแท้งคือ เมื่อไรที่จะนับว่าชีวิตมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และ ณ จุดไหนที่สังคมควรจะเข้าไปดำเนินการปกป้องชีวิตที่กำลังก่อกำเนิด       ส่วนข้อถกเถียงเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับการทำแท้งมี ๒ ประเด็นหลักคือ  ประเด็นแรกคือ “คุณค่าของพื้นฐานแห่งชีวิต” ซึ่งมีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ยังไม่ได้กำเนิดมาดูโลก กับชีวิตของมารดา   ประเด็นที่สองคือ “พื้นฐานของเสรีภาพส่วนบุคคคล” ซึ่งเป็นสิทธิของมารดาเหนือร่างกายของตนเองในการให้กำเนิดและกำหนดชีวิต และประเด็นที่เป็นความขัดแย้งอีกประการคือแนวคิดเกี่ยวกับ “สิทธิสัมบูรณ์”  ระหว่างสิทธิของทารกในครรภ์ที่จะก่อตัวพัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษย์ กับสิทธิของมารดาในการควบคุมชีวิตและร่างกายของตนเอง ชีวิตมนุษย์เริ่มจากไหนและพัฒนาอย่างไร   ในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายขั้นตอนของการพัฒนาตัวอ่อนในครรภ์ในเป็นมนุษย์ ดังนี้ ๑.       ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นจากไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์จากอสุจิ หนึ่งเซลล์ของมนุษย์ผู้หนึ่งผสมกับเซลล์ของมนุษย์อีกผู้หนึ่ง กลายเป็นสองเซลล์และขยายเป็นสี่ และจากนั้นภายในหกวั

วิจารณ์หนังสือ การสร้างทฤษฎีฐานราก: แนวทางเชิงปฏิบัติผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ของ Kathy Charmaz. พิมพ์ในวารสารพัฒนาสังคม V 14. No. 2

บทวิจารณ์หนังสือ  พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต Kathy Charmaz  2006. Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis. London: SAGE   จำนวน  208  หน้า ความเป็นมาของทฤษฎีฐานราก ระเบียบวิธีทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) อุบัติขึ้นจากนักสังคมวิทยาสองคนคือ Barney G. Glaser และ Anselm L. Strauss ช่วงกลางทศวรรษ 1960s    ทั้งสองไปทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสภาวะกำลังตายและการตาย ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล    พวกเขาได้พัฒนายุทธศาสตร์เชิงระเบียบวิธีอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งทำให้นักสังคมศาสตร์สามารถนำไปประยุกต์ในการศึกษาเรื่องอื่นๆได้จำนวนมาก   ในปี 1967 Glaser และ Strauss  ได้เสนอระเบียบวิธีนี้เข้ามาสู่แวดวงวิชาการในหนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขา คือ The Discovery of Grounded Theory   ซึ่งทำให้การวิจัยเชิงคุณภาพรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ของระเบียบวิธี        ช่วงเวลาก่อนที่ Glaser และ Strauss เสนอระเบียบวิธีการวิจัยทฤษฎีฐานรากเป็นช่วงที่การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในสาขาสังคมวิทยากำลังประสบกับปัญหาทางระเบียบวิธีวิทยาอย่างหนักหน่วง   การวิจัยเชิงคุณ

พหุวัฒนธรรมนิยม สิทธิชนกลุ่มน้อยและความสมานฉันท์

พหุวัฒนธรรมนิยม สิทธิชนกลุ่มน้อยและความสมานฉันท์          พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต จากความขัดแย้งของสังคมไทยที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องอุดมการณ์ เรื่องเชื้อชาติและศาสนาในสามจังหวัดภาคใต้  และปัญหาแรงงานอพยพที่นับวันจะมีมากขึ้น ทำให้ผู้เขียนเห็นถึงความจำเป็นที่ต้องนำเสนอความคิดทางสังคมการเมืองซึ่งอาจนำไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายและการปฏิบัติเพื่อทำให้สังคมลดความขัดแย้ง  สร้างการบูรณาการ และความสมานฉันท์อย่างเป็นระบบขึ้นมา   เนื่องจากแนวความคิดนี้มีความยาวและต้องทำความเข้าใจในหลายมิติ ผู้เขียนพยามยามนำเสนอให้ง่ายต่อการอ่านและการเข้าใจ          พหุวัฒนธรรมนิยม ( multiculturalism) เป็นแนวคิดคู่แข่งทางวิชาการและนโยบายของลัทธิชาตินิยม ( nationalism)      นักวิชาการเริ่มใช้คำนี้ประมาณทศวรรษ 1960  เพื่ออธิบายนโยบายสาธารณะใหม่ ในประเทศแคนาดา ต่อมาขยายไปสู่ประเทศออสเตรเลีย  การพัฒนาการของแนวคิดนี้เป็นการเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยของรัฐบาลเพื่อเปลี่ยนแปลงนโยบายการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม ( assimilation) ไปสู่นโยบายสังคมพหุวัฒนธรรม นโยบายผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมทำให้วัฒ