การเมืองแห่งความกลัวและความเพ้อฝัน |
|
ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ในยุคสมัยแห่งปัจจุบันเงื่อนไขหลักที่ชี้นำการตัดสินใจและแสดงพฤติกรรมของมนุษย์ดูเหมือนเป็น “ความคิดที่เชื่อมโยงกับอารมณ์ความกลัวและความเพ้อฝัน” การตัดสินใจทางการเมืองหรือแม้แต่ทางเศรษฐกิจดูเหมือนเป็นตัวอย่างของการแสดงออกถึงภาวะเช่นนั้นเป็นอย่างดี
เมื่อมนุษย์การยอมรับสมมุติฐานหรือความเชื่อโดยปราศจากการใช้ปัญญาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ พวกเขาก็ก้าวไปสู่การมีอารมณ์ความกลัวและความเพ้อฝันขึ้นมาครอบงำจิตใจ ความมืดมัวของจิตก็เกิดขึ้นตามมา และเมื่อมีการตัดสินใจและลงมือกระทำก็นำไปสู่ความพลาดพลั้งได้โดยง่าย
ผู้คนได้แสดงมายากลทางความคิดและมายาคติของความเป็นเหตุผล ซึ่งผลิตออกมาแอบแฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมอันแรวพราวและเต็มไปด้วยกับดักหลุมพรางให้ผู้คนเดินตกลงไป เมื่อผู้คนติดกับดักทางความคิดใดแล้ว ความคิดนั้นก็ไปกระตุ้นอารมณ์กลัวและเพ้อฝันให้บังเกิดขึ้นมา และความคิดก็หลอกลวงต่อไปว่าอารมณ์นั้นคือเหตุผล
เรามีกรณีศึกษาของกระบวนการเหล่านี้อย่างอุดมสมบูรณ์ในฤดูการเลือกตั้ง นักการเมืองใช้ความคิดเพื่อผลิตชุดความคิดซึ่งผู้ผลิตคิดว่าจะให้ผู้อื่นคิดตามที่ตนเองกำหนด โดยหวังไปกระตุ้นอารมณ์แห่งความกลัวและความเพ้อฝันให้เกิดขึ้นมา และพวกเขาใช้อารมณ์เหล่านี้เป็นเครื่องมือในการถากถางเส้นทางสู่ตำแหน่งและอำนาจต่อไป
ความกลัวเป็นอารมณ์ที่มีพลังต่อการกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์เอย่างเอกอุ เพราะว่าเป็นอารมณ์ที่เชื่อมโยงกับความอยู่รอดของชีวิต เป็นอารมณ์แรกกำเนิดของมนุษย์ และดำรงอยู่ต่อไปตราบจนสิ้นลมหายใจ ส่วนความเพ้อฝันนั้นเป็นสิ่งที่เกิดภายหลังจากการกล่อมเกลาทางสังคม และเป็นสิ่งเชื่อมโยงกับความต้องการความสะดวกสบายในอนาคต
ชุดความคิดแต่ละชุดอาจมีประสิทธิผลในการผลิตระดับความกลัวแตกต่างกันออกไป มากบ้าง น้อยบ้าง ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในอดีตและการเชื่อมโยงกับชุดความคิดดั้งเดิมที่ดำรงอยู่ภายในตัวของผู้คน หากชุดความคิดใหม่ไปประสานเชื่อมต่อกับชุดความคิดเดิมได้อย่างแนบสนิท พลังการสร้างอารมณ์ความหวาดกลัวก็จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ แต่หากชุดความคิดดังกล่าวไม่อาจเข้ากันได้กับชุดความคิดเดิมของผู้คน มันก็ไร้พลังในการกระตุ้นอารมณ์ใดๆ ออกมา
ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปี 2556 พรรคเพื่อไทยได้ผลิตชุดความคิดเกี่ยวกับ “การบริหารหรือทำงานแบบไร้รอยต่อระหว่างรัฐบาลกับกรุงเทพมหานคร” ซึ่งหวังจะเชื่อมโยงกับชุดความคิดเดิมของชาวกรุงเทพมหานครที่ว่า เหตุที่การแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพมหานครในปี 2554 เป็นไปอย่างไร้ประสิทธิภาพและปราศจากประสิทธิผล เกิดจากการไม่ประสานงานระหว่างกรุงเทพมหานครกับรัฐบาล หากทั้งหน่วยงานทั้งสองระดับมีการร่วมมือประสานงานกันเป็นอย่างดีก็จะสามารถทุเลา บรรเทา และแก้ปัญหาได้
ตรรกะชุดนี้ผู้สร้างคาดหวังให้ไปกระตุ้นความกลัวของชาวกรุงเทพฯเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการประสบความยากลำบากอันเกิดจากปัญหาหรือการถูกตัดงบประมาณในการพัฒนาหากชาวกรุงเทพฯเลือกผู้สมัครพรรคอื่นๆหรือผู้สมัครอิสระ นัยเบื้องหลังของตรรกะชุดนี้จึงได้แก่การข่มขู่ให้ความหวาดกลัวนั่นเอง
แต่ผู้ผลิตชุดความคิดนี้ลืมคิดไปว่า การสร้างตรรกะดังกล่าวให้มีน้ำหนักทางความคิดในจิตใจของชาวกรุงเทพมหานครได้ ชาวกรุงเทพฯ จะต้องมีความคิดดั้งเดิมเป็นพื้นฐานก่อนว่า “รัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและบังเกิดประสิทธิผล” หากคนกรุงเทพฯ คิดในทางที่ตรงกันข้าม ตรรกะของการบริหารแบบไร้รอยต่อก็ไม่สามารถเกาะติดในจิตใจของชาวกรุงเทพฯได้
ผลงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์แห่งพรรคเพื่อไทยเท่าที่ดำรงอยู่ในความคิดของชาวกรุงเทพฯหาใช่เป็นเรื่องของผลเชิงบวกแต่อย่างใด ด้วยเหตุที่ยิ่งบริหารค่าน้ำมัน ราคาสินค้า ค่าครองชีพก็ยิ่งทะยานสูงขึ้นไปตามลำดับ สิ่งเหล่านี้คือเป็นความจริงที่คนกรุงเทพฯประสบอยู่ทุกวัน รวมทั้งการล้มเหลวในการดำเนินนโยบายจำนำข้าวและนโยบายอื่นๆก็เป็นเรื่องที่ยังดำรงอยู่ในความทรงจำของชาวกรุงเทพฯ ดังนั้นชุดความคิดเดิมของชาวกรุงเทพฯจึงไปไม่ได้กับชุดความคิดที่พรรคเพื่อไทยผลิตขึ้นมา
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นเรื่องตรงกันข้ามกับความคาดหวังของพรรคเพื่อไทย การบริหารแบบไร้รอยต่อจึงกลายเป็นการบริหารแบบเตี้ยอุ้มค่อม อันจะนำไปสู่ความล้มเหลวแบบไร้รอยต่อ หรือ การทุจริตแบบไร้รอยต่อ หรือ การรวบอำนาจแบบไร้รอยต่อในท้ายที่สุด
อันที่จริงพรรคเพื่อไทยมีความเชี่ยวชาญในการชุดความคิดที่กระตุ้นความเพ้อฝันของผู้คนมากกว่ากระตุ้นความหวาดกลัว เช่น ความเพ้อฝันเกี่ยวกับการแก้ปัญหาจราจร การปราบปรามยาเสพติด การขจัดความยากจน การสร้างความเจริญทางวัตถุโดยใช้โครงการขนาดใหญ่ และการแจกจ่ายเงินทองและสิ่งของแก่ผู้คน แต่ทว่าชุดความคิดเหล่านี้ดูเหมือนมีพลังน้อยในการกระตุ้นอารมณ์ความเพ้อฝันให้บังเกิดขึ้นแก่ชาวกรุงเทพฯ เพราะประการณ์ที่เป็นจริงของชาวกรุงเทพฯที่เกิดจากการระทำของพรรคนี้หาใช่ความสะดวกสบายไม่ แต่กลับเป็นความทุกข์ยากและขมขื่นซึ่งเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ผู้ถนัดช่ำชองในการสร้างอารมณ์ความหวาดกลัวเพื่อฉกฉวยผลประโยชน์ ทางการเมืองได้สร้างชุดความคิดที่กระตุ้นอารมณ์กลัวให้เกิดขึ้นในจิตใจของคนกรุงเทพฯได้อย่างมีประสิทธิผลมากกว่าพรรคเพื่อไทย เช่น ชุดความคิดเกี่ยวกับการผูกขาดประเทศไทย ชุดความคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมการทำลายล้างเผาบ้านเผาเมืองของกลุ่มเสื้อแดงที่เป็นองค์ประกอบหลักของพรรคเพื่อไทย เป็นต้น
ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ ปรากฏว่าชุดความคิดที่พรรคประชาธิปัตย์สร้างขึ้นมาได้แผ่ซ่านไปปกคลุมจิตใจของผู้คนจำนวนมาก เงาทะมึนแห่งความหวาดกลัวเข้าไปบดบังสติปัญญาของผู้คน การใช้ปัญญาในการไตร่ตรองอย่างมีโยนิโสมนสิการจึงจางหายไป
การที่ชุดความคิดของพรรคประชาธิปัตย์มีพลังในการสร้างอารมณ์ความหวาดกลัวเพราะว่าคนกรุงเทพฯ มีชุดความคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยและกลุ่มเสื้อแดงอยู่เป็นฐานแล้ว ดังนั้นเมื่อถูกชุดความคิดที่พรรคประชาธิปัตย์สร้างขึ้นมาไปกระตุ้น ความทรงจำเก่าๆของชาวกรุงเทพฯก็ผุดขึ้นมาและเชื่อมต่อกับชุดความคิดของพรรคประชาธิปัตย์ ผสานจนกลายเป็นสิ่งที่ทรงพลังในการกำหนดพฤติกรรมของพวกเขา
เมื่อมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการครอบงำของอารมณ์แห่งความหวาดกลัวก็ได้สร้างความพิศวงให้กับจิตวิญญาณของผู้คนที่ยึดติดกับกรอบความคิด ความเชื่อ และอารมณ์ของตนเอง คนเหล่านั้นจึงส่งเสียงตะโกนกึกก้องสวนมาว่า ขอให้เลิกวิจารณ์เสียเถิด ขอให้อารมณ์แห่งความกลัวชี้นำเราต่อไปเถิด พวกเขาเหล่านี้ยังได้สร้างชุดความคิดที่ประหลาดพิสดารเพื่อไปตอกย้ำความกลัวให้หนักขึ้นไปอีก เช่น หากเลือกผู้สมัครผู้ว่ากรุงเทพฯเบอร์อื่น ที่ไม่ใช่เบอร์ 16 ก็เท่ากับเอาคะแนนให้ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย
ชุดความคิดเช่นนี้คือหลุมพลางเพื่อหลอกล่อให้ผู้คนไปสนับสนุนพวกเขา เป็นการใช้เหตุผลเชิงมายาคติเพื่อปิดกั้นไม่ให้ผู้คนใช้วิจารณญาณที่เป็นอิสระของตนเอง
ผมคิดว่าใครจะได้เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไม่มีความสำคัญเท่ากับการที่เราตัดสินใจและกำหนดพฤติกรรมของเราด้วยความคิดที่เป็นอิสระ ภายใต้การใช้ปัญญาที่กระจ่างในการใช้ดุลยพินิจ เพราะสิ่งเหล่านี้คือรากฐานที่สำคัญของการพัฒนาความเป็นมนุษย์และระบอบประชาธิปไตย ขณะที่ความกลัวและความเพ้อฝันเป็นสิ่งที่เหนี่ยวรั้งความเจริญงอกงามทางปัญญา และรังแต่สร้างความสับสนโกลาหลขึ้นมาในสังคม
ทว่าปัญหาในยามนี้ของสังคมไทยคือ เราจะหาแนวทางใดที่ชักจูงให้ผู้คนตัดสินใจและแสดงพฤติกรรมโดยขจัดแรงกระตุ้นความกลัวและความเพ้อฝันออกไป และหันไปใช้ปัญญาและเหตุผลเชิงคุณธรรมแทน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น