เหตุผลของผู้เลือกตั้งไทย |
|
ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
การตัดสินใจของประชาชนในการเลือกใครเป็นตัวแทนไม่ว่าระดับชาติหรือระดับท้องถิ่น ประชาชนมีเหตุผลในการตัดสินใจที่สำคัญอย่างน้อยสี่เหตุผล คือ เหตุผลเชิงอรรถประโยชน์สูงสุด เหตุผลเชิงความผูกพัน เหตุผลเชิงหลักการคุณธรรม และเหตุผลในเชิงการลดความเสี่ยง
นักการเมืองจำนวนมากมักจะเข้าใจแบบเหมารวมว่า ประชาชนใช้ทางเลือกเชิงเหตุผลทางเศรษฐกิจแบบคับแคบ ที่ใช้อรรถประโยชน์สูงสุดทางเศรษฐกิจเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจเลือกผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ผลจากความเข้าใจแบบนี้ของนักการเมืองทำให้พวกเขาแข่งขันกันผลิตนโยบายประชานิยมออกมานำเสนอแก่ประชาชน โดยมีความเชื่อการผลิตนโยบายประชานิยมหลากหลายประเภท เพื่อตอบสนองแก่คนหลากหลายกลุ่ม และด้วยมูลค่าที่สูงกว่าจะจูงใจให้ประชาชนเลือกพวกเขา
การแข่งขันของพรรคการเมืองและผู้สมัครในการนำเสนอนโยบายประชานิยม บางกรณีเป็นการเสนอแบบสุดโต่งและยากจะเป็นไปได้ แต่ผู้เลือกตั้งหาได้ไร้เดียงสาจนหลงเชื่อไปเสียทั้งหมด ตรงกันข้ามพวกเขาใช้วิจารณญาณในการประเมินด้วยว่านโยบายเหล่านั้นมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด
หากผู้เลือกตั้งตัดสินใจยึดถือมูลค่าสูงสุดอย่างเดียว สิ่งที่ตามมาคือพวกเขาย่อมตัดสินใจเลือกนักการเมืองและพรรคการเมืองที่เสนอนโยบายประชานิยมที่มีมูลค่าสูงสุด แต่ในความเป็นจริงผู้เลือกตั้งมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจโดยประเมินทั้งมูลค่าและความเป็นไปได้ของมาตรการประชานิยมเสนอควบคู่กันไป
ความเป็นไปได้ของการนำนโยบายประชานิยมไปปฏิบัติย่อมขึ้นอยู่กับมูลค่าที่นำเสนอนั้นมีความสมเหตุสมผลเพียงใด และขึ้นอยู่กับศักยภาพของนักการเมืองและพรรคการเมืองที่นำเสนอด้วย หากผู้เลือกตั้งประเมินว่านักการเมืองและพรรคการเมืองที่นำเสนอมีศักยภาพในการผลักดันนโยบายประชานิยมให้เป็นจริงได้ เขาย่อมมีแนวโน้มที่จะเลือกผู้สมัครหรือพรรคการเมืองนั้น แม้ว่ามูลค่าที่นำเสนออาจน้อยกว่าคู่แข่ง
แต่หากผู้เลือกตั้งประเมินว่าผู้สมัครหรือพรรคการเมืองที่เสนอนโยบายประชานิยมแข่งขันกันมีศักยภาพที่จะนำไปสู่การปฏิบัติได้ทั้งคู่ เขาย่อมมีแนวโน้มตัดสินใจเลือกผู้ที่ให้มูลค่าสูงกว่า เช่น ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2554 พรรคเพื่อไทยเสนอค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท แต่ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอขึ้นค่าแรง 25 เปอร์เซ็นต์ ผู้ใช้แรงงานที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของนโยบายนี้ย่อมตัดสินใจเลือกพรรคเพื่อไทยเพราะมูลค่าของมาตรการนี้ของพรรคเพื่อไทยสูงกว่าพรรคประชาธิปัตย์
หากมีพรรคการเมืองอื่นเสนอมูลค่าของประชานิยมที่สูงกว่าสองพรรคนี้มาก เช่น เสนอค่าจ้างขั้นต่ำ 500 บาทต่อวัน ผู้ใช้แรงงานย่อมประเมินได้ว่าข้อเสนอดังกล่าวเป็นข้อเสนอที่สุดโต่งซึ่งเป็นไปได้ยาก และพรรคการเมืองที่นำเสนออาจไม่มีศักยภาพเพียงพอในการนำมาตรการนี้ไปปฏิบัติให้เป็นจริงได้ ดังนั้นเขาย่อมจะตัดตัวเลือกเช่นนี้ออกไปจากการตัดสินใจ
การใช้มาตรการประชานิยมอาจมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของบางกลุ่มในสังคมที่ตัดสินใจโดยใช้อรรถประโยชน์สูงสุดทางเศรษฐกิจเป็นฐานในการตัดสินใจ การตัดสินใจเช่นนี้ส่งผลในเชิงลบต่อสังคมในภาพรวม เพราะเมื่อพรรคการเมืองหรือนักการเมืองที่เสนอนโยบายประชานิยมได้รับเลือกไปบริหารประเทศแล้ว พวกเขาก็พยายามผลักดันนโยบายประชานิยมไปสู่การปฏิบัติ
จุดอ่อนที่สำคัญของนโยบายประชานิยมมีหลายประการแต่ที่ผมคิดว่าสำคัญมากที่สุดคือ เป็นนโยบายที่ทำลายสำนึกแห่งการพึ่งพาตนเองของประชาชนซึ่งจะนำไปสู่ภาวะ “การพึ่งพาอย่างสัมบูรณ์ต่อพรรคการเมืองขึ้นในสังคม” ทำลายระบบการแข่งขันอันส่งผลให้เกิด “ความไร้ประสิทธิภาพแบบสัมบูรณ์” ขึ้นในสังคม และ ทำลายระบบธรรมาภิบาลเพราะนโยบายประชานิยมจำนวนมากที่มีมูลค่ามหาศาล เช่น การจำนำข้าว ส่งผลให้เกิดการ “ทุจริตอย่างบูรณาการในสังคม” ของทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้องทั้งแต่ผู้กำหนดนโยบาย ผู้นำนโยบายไปปฏิบัติ และกลุ่มเป้าหมายของนโยบาย
เหตุผลประการที่สองซึ่งผู้เลือกตั้งจำนวนไม่น้อยใช้ในการตัดสินใจคือ “เหตุผลเชิงความผูกพัน” ซึ่งอาจเป็นทั้งความผูกพันกับสถาบัน เช่น พรรคการเมือง และ/หรือความผูกพันกับตัวบุคคล เช่น นักการเมืองหรือผู้นำชาวบ้านที่เป็นหัวคะแนน
ความผูกพันจะเกิดขึ้นมาและดำรงอยู่ได้ต้องใช้เวลายาวนานพอสมควร โดยจุดเริ่มต้นอาจเกิดขึ้นจากความรู้สึกนิยมชมชอบ อันเป็นผลมาจากจุดยืนทางอุดมการณ์ทางการเมือง หรือบทบาททางการเมืองของนักการเมืองและพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งสอดคล้องกับความคิดหรือความเชื่อของตนเอง และยิ่งเวลาผ่านไปความนิยมชมชอบก็อาจตกผลึกไปสู่ระดับของความผูกพันอันเป็นการเชื่อมโยงระหว่างตัวตนของตนเองกับพรรคหรือนักการเมืองผู้นั้น เช่น การระบุว่าตนเองเป็นประชาธิปัตย์ หรือ ตนเองเป็นเพื่อไทย เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงภาวะความผูกพันของผู้เลือกต่อพรรคการเมือง
ส่วนในกรณีความผูกพันกับนักการเมืองที่ปัจเจกบุคคลเป็นภาวะที่แสดงความนิยมชมชอบอย่างลึกซึ้งต่อบุคคล ประเภทที่ว่า หากบุคคลนี้ลงสมัครเลือกตั้งเมื่อไร หรือสนับสนุนใคร หรืออยู่พรรคการเมืองใด ผู้เลือกตั้งก็จะเลือกบุคคลผู้นี้อย่างต่อเนื่อง การแสดงออกของผู้เลือกตั้งที่สะท้อนถึงความผูกพันกับนักการเมืองอีกประการคือ การปกป้องนักการเมืองผู้นั้น เช่น หากมีใครวิจารณ์นักการเมืองที่ตนเองผูกพันก็จะรู้สึกไม่พึงพอใจ และออกมาตอบโต้ทันที เป็นต้น
เหตุผลเชิงความผูกพันต่างจาก “กระแสนิยมเชิงความรู้สึก” ในแง่ที่ว่าความผูกพันก่อตัวขึ้นมาจากการเฝ้าดูและติดตามอย่างยาวนาน ส่วนกระแสนิยมเชิงความรู้สึกนั้นเป็นภาวะการสะท้อนถึงความเบื่อหน่ายอะไรบางอย่าง และหันไปนิยมอะไรอีกอย่างหนึ่ง จากนั้นไม่นานก็เบื่อหน่ายและไปนิยมอย่างอื่นแทน กระแสนิยมเชิงความรู้สึกจึงมิใช่เรื่องของเหตุผลเชิงความผูกพัน เพราะเป็นการตัดสินใจที่ผู้ตัดสินใจมิได้มองผลลัพธ์ของการตัดสินใจว่าสอดคล้องกับความเชื่อหรือเป้าประสงค์ของตนเองหรือไม่ แต่เป็นการตัดสินใจบนฐานของภาวะอารมณ์ความรู้สึกในขณะนั้นเพื่อสนองความพึงพอใจของตนเอง หรือ ภาษาชาวบ้านคือ “เพื่อความสะใจ” เป็นหลัก
กลุ่มผู้เลือกตั้งที่ตัดสินใจโดยใช้ความผูกพันเป็นฐานเสียงที่มั่นคงของพรรคและนักการเมือง เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มีความคงเส้นคงวาในการเลือกตั้ง โดยจะเลือกพรรคและนักการเมืองที่ตนเองผูกพันแทบทุกครั้ง ยากที่จะมีปัจจัยหรือเงื่อนไขจากภายนอกไปสั่นคลอนความผูกพันของพวกเขาได้
สำหรับเหตุผลประการที่สามที่ผู้เลือกตั้งใช้ในการตัดสินใจคือ “เหตุผลซึ่งอยู่บนรากของหลักการทางคุณธรรม” ในกรณีนี้ผู้เลือกตั้งจะพิจารณาเลือกพรรคหรือนักการเมืองโดยใช้หลักการทางคุณธรรมในการประเมินเพื่อตัดสินใจ เช่น หลักการความซื่อสัตย์ ความกล้าหาญในการแก้ปัญหา ความเสียสละต่อส่วนรวม ความมีสมรรถภาพทางการบริหาร เป็นต้น หากนักการเมืองที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับหลักการเชิงคุณธรรมที่ผู้เลือกตั้งให้ความสำคัญ ผู้เลือกตั้งก็จะเลือกผู้สมัครหรือพรรคการเมืองนั้นๆ
อย่างไรก็ตามยังมีเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ผู้เลือกตั้งใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจคือ “เหตุผลของการลดความเสี่ยง” ในกรณีนี้ผู้เลือกตั้งประเมินว่าไม่มีผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดที่เสนอนโยบายที่ตอบสนองประโยชน์แก่ตนเองหรือสังคมอย่างแท้จริง ตนเองไม่มีความผูกพันกับนักและพรรคการเมืองใดเลย รวมทั้งไม่มีพรรคและนักการเมืองใดที่แสดงบทบาทสอดคล้องกับหลักการเชิงคุณธรรมที่ตนเองให้ความสำคัญ เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้เลือกตั้งก็จะตัดสินใจเลือกโดยใช้ “ทางเลือกที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด” หรือ เลือกพรรคและนักการเมืองที่มีโอกาสสร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติและสังคมน้อยที่สุด หรือ เลือกพรรคและนักการเมืองที่มีบทบาทและการกระทำในอดีตใกล้เคียงกับเหตุผลเชิงคุณธรรมที่ผู้เลือกตั้งยึดถือมากที่สุด ประโยคทั่วๆไปที่มักจะได้ยินจากการเลือกตั้งที่ใช้เหตุผลแบบนี้คือ “เลือกคนที่เลวน้อยที่สุด
ในบางโอกาสเมื่อผู้เลือกตั้งประเมินว่า พรรคหรือนักการเมืองที่ตนเองมองว่าเลวมากมีโอกาสชนะการเลือก ผู้เลือกก็จะหันไปตัดสินใจเลือกพรรคหรือนักการเมืองที่ถูกประเมินว่าเลวน้อยกว่าเพื่อลดความเสี่ยงลง
อย่างไรก็ตามมีผู้เลือกอีกกลุ่มหนึ่งที่อาจประเมินว่าในเมื่อไม่มีผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดมีเงื่อนไขสอดคล้องกับเหตุผลของตนเอง พวกเขาก็อาจตัดสินใจไปลงคะแนนในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนหรืออาจจะไม่ไปเลือกตั้งเลยก็ได้ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงการปฏิเสธภาวะที่ไม่พึงประสงค์ของการเมืองให้นักและพรรคการเมืองได้รับรู้รับทราบ ซึ่งหากนักการเมืองมีสำนึกผิดชอบชั่วดีอยู่บ้างเมื่อเห็นตัวเลขไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใครมีจำนวนมาก พวกเขาก็อาจปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นต่อไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น