วัฒนธรรมการเมือง:โครงสร้างความคิดเชิงปฏิบัติการเลือกตั้ง
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
บทคัดย่อ
บทความนี้เป็นการทำความเข้าใจวัฒนธรรมทางการเมืองและการเลือกตั้ง
โดยใช้แนวทางการการศึกษาเชิงการตีความ
เพื่อค้นหาความปรารถนาและความเชื่อในเชิงโครงสร้างความคิดเชิงปฏิบัติการทางการเมืองและการเลือกตั้งของผู้เลือกตั้งไทย
ภาพที่สะท้อนจากการตีความความเป็นจริงของสังคมและการเมืองไทยคือความเป็นทวิภาวะของวัฒนธรรมการเมืองซึ่งแสดงออกผ่านโครงสร้างทางความคิดเชิงการปฏิบัติการเลือกตั้งและอาณาบริเวณทางการเมืองอื่นนอกเหนือจากปริมณฑลการเลือกตั้งของชาวบ้านและชนชั้นกลาง
ชาวบ้านมีโครงสร้างความคิดเชิงปฏิบัติการเลือกตั้งภายใต้รากฐานของระบบคุณค่าเชิงอำนาจ-สังคม
และมูลค่าทางเศรษฐกิจ และใช้การเลือกตั้งเป็นวิธีการในการรักษาสิ่งทั้งสองไว้
ขณะที่ชนชั้นกลางมีโครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติการทางการเมืองและการเลือกตั้งภายใต้ความเชื่อของระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกและการมีความปรารถนาที่จะได้รัฐบาลซึ่งบริหารประเทศอย่างมีประสิทธิภาพและซื่อสัตย์
แต่การเลือกตั้งไม่สามารถตองสนองความปรารถนาของชนชั้นกลางได้ทั้งหมด ดังนั้นชนชั้นกลางจึงใช้การปฏิบัติการทางการเมืองที่หลากหลายเพื่อให้บรรลุความปรารถนาของตนเอง
(หมายเหตุ บทความนี้เขียนในปี 2550 เสนอในที่ประชุมวิชาการประจำปีสถาบันพระปกเกล้า)
ความนำ
วัฒนธรรมทางการเมืองที่มีการศึกษากันในโลกวิชาการตะวันตกหมายถึงชุดของทัศนคติ
ความเชื่อ และความรู้สึก
ซึ่งก่อให้เกิดการจัดระเบียบและความหมายต่อกระบวนการการเมืองและสร้างฐานคติและกฎเกณฑ์ซึ่งเป็นกรอบของพฤติกรรมในกระบวนการทางการเมือง[1] ทฤษฎีวัฒนธรรมทางการเมืองที่รู้จักกันดีคือ
ทฤษฎีที่นำเสนอโดย Almond
และ Verbra ซึ่งจำแนกประเภทวัฒนธรรมโดยใช้ตัวแปรสี่ตัวมาผสมผสานกันประกอบด้วย
ความแปลกแยก(alienation) กับความจงรักภักดี(allegiance) และ การเชื่อฟัง(deference)กับการมีส่วนร่วม(participation)
ในระยะแรกของการเสนอประเภทของวัฒนธรรม AlmondและVerbra จำแนกวัฒนธรรมการเมืองออกเป็นสามประเภทคือ
วัฒนธรรมการเมืองแบบคับแคบ(parochial political culture) วัฒนธรรมการเมืองแบบไพร่ฟ้า (subject
political culture) และวัฒนธรรมการเมืองแบบมีส่วนร่วม (participation
political culture)[2] และต่อมาภายหลังพวกเขาได้นำเสนอวัฒนธรรมการเมืองแบบพลเมือง (civic
political culture)เพิ่มขึ้นมาอีกประเภทหนึ่ง Almond และ Verbra
เห็นว่าวัฒนธรรมแบบพลเมืองมีความสอดคล้องกับประชาธิปไตยมากที่สุด[3]
การศึกษาวัฒนธรรมการเมืองของ Almond และ Verbra มีจุดอ่อน
เพราะว่าเป็นการศึกษาแบบลดทอนความหมายของวัฒนธรรมการเมืองให้เหลือเพียงทัศนคติต่อระบบการเมืองและต่อองค์ประกอบต่างๆในระบบการเมือง
รวมทั้งทัศนคติของประชาชนเกี่ยวกับบทบาทของตนเองในระบบการเมืองนั้น อีกทั้งวิธีการศึกษาวัฒนธรรมของนักวิชาการทั้งสองใช้แนวการศึกษาแบบปฏิฐานนิยม
(positivism) ซึ่งเป็นการศึกษาเชิงพรรณนาความ(descriptive
study)ในเชิงภาคตัดขวาง ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
ซึ่งทำให้ไม่เห็นภาพในเชิงพลวัตรและบริบทที่เป็นเงื่อนไขในการก่อรูป พัฒนา และสถาปนาความเชื่อใดความเชื่อหนึ่งให้กลายมาเป็นวัฒนธรรม
นักวิชาการแนวปฏิฐานนิยมในยุคหลัง เช่น Putnam ได้นำแนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมเพื่อศึกษาความแตกต่างของประชาธิปไตยระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศอิตาลี
Putnam ได้ชี้ให้เห็นว่า การที่พลเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเมืองและทำให้สถาบันประชาธิปไตยปฏิบัติงานตามเจตจำนงร่วมของสังคม
มีผลมาจากการที่สังคม มีทุนทางสังคม (social capital) สูง Putnam
ระบุว่า ทุนทางสังคมมีสามองค์ประกอบคือ การมีบรรทัดฐานต่างตอบแทน (reciprocal
norm) ความไว้วางใจ (trust) และเครือข่ายสังคม
(social networks) ของสมาคมต่างๆ[4] ในระยะต่อมาแนวคิดทุนทางสังคม
โดยเฉพาะมิติด้านความไว้วางใจเป็นประเด็นทางวัฒนธรรมที่มีนักวิชาการเป็นจำนวนมากนำมาเป็นหัวข้อในการศึกษาวิจัย
ซึ่งทำให้ได้ข้อสรุปอย่างกว้างๆร่วมกันว่า
ความไว้วางใจเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับเสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตย[5]
ผู้เขียนเห็นว่า
การลดทอนการศึกษาวัฒนธรรมทางการเมืองให้กลายเป็นทัศนคติทางการเมืองของนักวิชาการแนวปฏิฐานนิยมยุคแรก
ทำให้ความเข้าใจวัฒนธรรมทางการเมืองมีความคับแคบและมีลักษณะเสี่ยงเสี้ยว ขณะที่การอธิบายประชาธิปไตยด้วยตัวแปรวัฒนธรรมที่นักวิชาการแนวปฏิฐานนิยมรุ่นหลังใช้ในการศึกษาเป็นการขยายขอบเขตในการทำความเข้าใจประชาธิปไตยได้กว้างขึ้น
กระนั้นก็ตามการสรุปว่าทุนทางสังคมทำให้ระบอบการเมืองมีความเป็นประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมมากขึ้นนั้น เป็นการสรุปที่ขาดการคำนึงถึงบริบทของสังคม
เพราะมีความเป็นไปได้เช่นเดียวกันว่าภายใต้บริบทของสังคมแบบหนึ่ง
ทุนทางสังคมอาจทำให้ระบอบอำนาจนิยมแข็งแกร่งมากขึ้นก็ได้ หรือ
อาจทำให้หลักการบางอย่างของระบอบประชาธิปไตยเบี่ยงเบนไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น เช่น
ทุนทางสังคมอาจไปสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบการซื้อขายเสียงในการเลือกตั้งก็ได้
ประสบการณ์ของสังคมไทยเป็นหลักฐานในเรื่องนี้อย่างชัดเจน
ดังที่การมีบรรทัดฐานต่างตอบแทนทางสังคมดำรงอยู่ ทำให้ชาวบ้านผู้ซึ่งรับเงินจากหัวคะแนนมาแล้วต้องลงคะแนนเสียงแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งตามที่หัวคะแนนกำหนดให้ลง อีกทั้งความไว้วางใจจะทำให้การซื้อขายเสียงได้ง่ายขึ้นและสามารถทำได้หลายรูปแบบ
โดยไม่ต้องหวั่นเกรงว่าผู้ร่วมมือซื้อขายเสียงจะนำเรื่องเหล่านี้ไปดำเนินคดี หรือการมีเครือข่ายทางสังคมมากก็ยิ่งทำให้โอกาสในการซื้อขายเสียงขยายออกไปได้อย่างกว้างไกลมากยิ่งขึ้น
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมทางการเมืองนั้น
จำเป็นที่จะต้องเข้าใจระบบคิด ความปรารถนา
ชุดความเชื่อ และโครงสร้างทางความคิดของกลุ่มคนที่เป็นหน่วยการวิเคราะห์
รวมทั้งต้องเข้าใจกฎเกณฑ์และกลไกที่ผู้กระทำทางสังคม (social
actors) ใช้ในการสร้าง ตอกย้ำ ผลิตซ้ำ และขยายสิ่งเหล่านั้น แนวทางที่ผู้เขียนใช้เพื่อทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมทางการเมืองและการเลือกตั้งในบทความชิ้นนี้
คือการใช้แนวทางการตีความ (interpretative approach) เพื่อค้นหานัยของความปรารถนา
ความเชื่อ และโครงสร้างทางความคิดของผู้เลือกตั้งในสังคมไทย
คำหรือวลีที่ผู้เขียนใช้ในบทความชิ้นนี้เพื่อทดแทน/แลกเปลี่ยนกับคำว่า
“วัฒนธรรม” คือ “โครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติ” และจากการสังเกตศึกษาประเด็นด้านวัฒนธรรมการเมืองและการเลือกตั้งในสังคมไทย
ผู้เขียนได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า สังคมไทยมีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ “ทวิลักษณ์”
ซึ่งเป็นผลพวงมากจากความแตกต่างเชิงภาวะวิสัยและประสบการณ์เชิงปฏิบัติทางสังคมของกลุ่มต่างๆ การสรุปบทเรียนของแต่ละกลุ่มที่เกิดจากการผลิตซ้ำทางความคิดและการปฏิบัติ
ได้ตกผลึกกลายเป็นโครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติ
และมีการถ่ายทอดไปยังรุ่นต่อไป
แต่ก่อนที่จะทำความเข้าใจกับ “ลักษณ์” แต่ละอย่าง ประเด็นพื้นฐานที่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องคือ
ช่องว่างระหว่างการเลือกตั้งในเชิงอุดมคติกับการเลือกตั้งที่เป็นจริงของสังคมไทย
อุดมคติและความเป็นจริงในการเลือกตั้งไทย
อุดมคติในการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองในสังคมที่เรียกว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งอย่างเสรีและเที่ยงธรรม นัยของการเลือกตั้งที่เสรีคือการที่ผู้เลือกตั้งสามารถใช้วิจารณญาณของตนเองเพื่อไตร่ตรองเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งและพรรคการเมือง
โดยใช้ความปรารถนาและความเชื่อชุดหนึ่งที่มีความสอดคล้องกัน ความปรารถนาที่ว่านี้คือความปรารถนาถึงภาพในอนาคตของประเทศภายใต้การนำพาของผู้ที่อาสาเข้ามาบริหาร
หากผู้เลือกตั้งเชื่อว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งและพรรคการเมืองพรรคใด
มีนโยบายและความสามารถในการนำพาประเทศไปสู่เป้าหมายที่ตนเองปรารถนาได้แล้ว
ผู้เลือกตั้งย่อมที่จะเลือกนักการเมืองและพรรคการเมืองนั้นๆตามเจตจำนงและอัตวินิจฉัยของตนเอง
โดยปราศจากการชี้นำ การครอบงำ
การให้อามิสสินจ้าง การบังคับขู่เข็ญจากบุคคล กลุ่ม หรือ องค์กรใดๆ
สำหรับความเที่ยงธรรมนั้นมีนัยที่แสดงให้เห็นถึงภาวะที่การเลือกตั้งเป็นอิสระ
ปลอดจากใช้อำนาจในรูปแบบใดๆที่เข้ามาบิดเบือนกระบวนการเลือกตั้งและผลของการเลือกตั้งเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
หากนำอุดมคตินี้เป็นมาตรฐานในการพิจารณาความเป็นจริงของการเลือกตั้งในสังคมไทยจะพบว่ามีช่องว่างที่ค่อนข้างกว้างดำรงอยู่ระหว่างความเป็นจริงและอุดมคติ ความเป็นจริงของการเลือกตั้งที่มีการศึกษาในแวดวงวิชาการคือ
การเลือกตั้งในสังคมไทยมีกลุ่มผู้เลือกตั้งสองกลุ่มใหญ่ที่มีความปรารถนาต่างกัน
กลุ่มแรกคือชาวบ้านในเขตชนบทซึ่งเป็นกลุ่มผู้เลือกตั้งส่วนใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ภาคเหนือ และภาคกลางในบางส่วน ผู้เลือกตั้งกลุ่มนี้มี “ความปรารถนา” ที่เชื่อมโยงกับนามธรรมของค่านิยมดั้งเดิมของสังคมไทยและเชื่อมโยงกับตัวตนของตนเองและ/หรือชุมชนกับการเลือกตั้ง
กลุ่มที่สองคือชนชั้นกลางซึ่งเป็นกลุ่มผู้เลือกตั้งส่วนใหญ่ในภาคใต้
กรุงเทพมหานคร และบางส่วนในต่างจังหวัดที่กระจุกตัวอยู่ในเขตเมือง ผู้เลือกตั้งกลุ่มนี้มี “ความปรารถนา” ทางการเมืองซึ่งเชื่อมโยงกับความเชื่อเชิงนามธรรมบางประการของระบอบประชาธิปไตยตะวันตกและเชื่อมโยงกับสังคมในภาพรวมกับการเลือกตั้ง ความปรารถนาที่แตกต่างกันของผู้เลือกตั้งสองกลุ่มนี้
สะท้อนถึงความแตกต่างของโครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติทางการเมืองและการเลือกตั้ง
โครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติในการเลือกตั้งของชาวชนบท
ผู้เลือกตั้งชาวชนบทมีความปรารถนาในการรักษาความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีกับกลุ่มผู้อำนาจเหนือพวกเขา
และต้องการได้รับประโยชน์บางอย่างจากความสัมพันธ์นั้น การเมืองระดับชาติดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากชีวิตประจำวันของพวกเขา
ขณะที่การเลือกตั้งซึ่งแม้ว่าจะเกิดขึ้นเป็นครั้งเป็นคราว
แต่ก็เป็นเวทีสำหรับการปฏิบัติการทางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรมของพวกเขา การเลือกตั้งจึงเป็นเสมือนสัญลักษณ์และกลไกประการหนึ่งที่พวกเขาใช้เพื่อบรรลุความปรารถนาของพวกเขา อเนก เหล่าธรรมทัศน์
ได้อธิบายโครงสร้างทางความคิดของชาวชนบทที่มีต่อการเลือกตั้งว่า
ชาวชนบทใช้การเลือกตั้งเป็นการเชื่อมโยงตนเองกับชนชั้นนำท้องถิ่นที่เป็นผู้อุปถัมภ์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
การที่ชาวชนบทเลือกลงคะแนนให้ใครขึ้นอยู่กับบุญคุณที่ผู้สมัครหรือเครือข่ายของเขาที่มีต่อตนเองและครอบครัวในอดีตเป็นหลัก
รวมทั้งความคาดหวังในอนาคตว่าจะได้ความช่วยเหลือหรือได้ประโยชน์จากกลุ่มบุคคลเหล่านี้อย่างไร ในการลงคะแนนชาวชนบทไม่คิดว่าตัวเองเป็นอิสรชน
และไม่มองว่าการรับเงินเป็นการรับอามิสสินจ้าง[6] แต่มองว่าการซื้อขายเสียงเป็นเรื่องของการรักษาสัจจะระหว่างตนเองกับเครือข่ายหัวคะแนน
ดังนั้นเมื่อรับเงินแล้วก็ต้องลงคะแนนตามที่หัวคะแนนกำหนด
การรักษาสัจจะของชาวบ้านในสนามการเลือกตั้งเป็นประเด็นที่
นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ เห็นว่าเป็นเยื่อใยทางศีลธรรมของสังคม ซึ่งควรจะดำรงรักษาเอาไว้ และไม่ควรทำลายเยื่อใยเหล่านี้ด้วยการโฆษณาว่า “ให้รับเงิน แต่ไม่ต้องเลือกเขา”[7] ซึ่งเป็นการโฆษณาที่ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นกลาง มุมมองของนิธิ
ที่เกี่ยวข้องค่านิยมและบรรทัดฐานของชาวบ้านที่แสดงออกในสนามเลือกตั้ง
ได้รับการสนับสนุนจากนักวิชาการจำนวนไม่น้อยที่พยายามเข้าใจชาวบ้าน
และอธิบายแทนชาวบ้าน
หากพฤติกรรมซื้อขายเสียงของชาวบ้านถูกวิพากษ์จากชนชั้นกลาง
พวกเขาก็อธิบายแทนชาวบ้านโดยใช้หลักคิดดังที่กล่าวมา
อย่างไรก็ตามการตีความเรื่องการขายเสียงในทำนองเห็นใจชาวบ้าน
ก็อาจถูกวิจารณ์ได้ว่า เป็นผู้สนับสนุนให้ดำรงรักษาการเลือกตั้งที่ไม่เสรีและไม่เที่ยงธรรมเอาไว้
จากการอธิบายและการตีความของนักวิชาการทั้งสองที่ผู้เขียนหยิบยกขึ้นมาอภิปรายข้างต้นนั้น
จะเห็นได้ว่าขอบเขตความคิดของชาวบ้านมีอาณาบริเวณเฉพาะผลประโยชน์ที่รายล้อมอยู่รอบๆตนเองและครอบครัว
ทั้งระยะสั้น (การรับเงิน) และระยะยาว(โอกาสการได้รับความช่วยเหลือ)
โครงสร้างความคิดเช่นนี้ของชาวบ้านเกิดขึ้นมาและดำรงอยู่ได้อย่างไร
ในการตอบคำถามนี้ Pierre
Bourdieu ได้อธิบายว่า
มนุษย์มีโครงสร้างทางความคิดที่เรียกว่า
โครงสร้างทางปริชานหรือทางจิตใจของมนุษย์ซึ่งเป็นภาวะที่มนุษย์จัดการกับโลกทางสังคม
โครงสร้างความคิดเชิงปฏิบัติของมนุษย์แต่ละคนเป็นลำดับของแบบแผนการรับรู้ การเข้าใจ
การตีความ และการประเมินโลกทางสังคม สิ่งเหล่านี้จะบูรณาการและผนึกไปสู่ภายในจิตของมนุษย์
จากนั้นจะก่อตัวเป็นโครงสร้างขึ้นมา
ในขณะเดียวกันโครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัตินี้เองที่ทำให้มนุษย์ผลิตเหตุผลเชิงปฏิบัติ การเลือกรับรู้ การตีความ
และการประเมินโลกทางสังคมที่พวกเขาเผชิญหน้า
โครงสร้างความคิดเชิงปฏิบัติเป็นทั้งผลผลิตของประวัติศาสตร์
และโลกทางสังคมในปัจจุบัน ซึ่งก่อให้เกิดการปฏิบัติทั้งระดับปัจเจกบุคคลและปฏิบัติการเชิงรวมหมู่
และในทางกลับกันการปฏิบัติการทางสังคมของมนุษย์ก็สร้างการเปลี่ยนแปลงแก่โครงสร้างทางความคิดเชิงการปฏิบัติของมนุษย์ด้วย
โครงสร้างความคิดเชิงปฏิบัติมีทั้งลักษณะที่คงทนและเปลี่ยนแปลงได้
รวมทั้งมีความเป็นไปได้ที่มนุษย์ผู้ซึ่งมีโครงสร้างความคิดเชิงการปฏิบัติซึ่งไม่เหมาะสมกับโลกทางสังคมอาจประสบกับความรู้สึกอึดอัดคับข้องใจ[8] เช่น หากให้ชาวบ้านรับเงิน
แต่ไม่ลงคะแนนเสียงให้กับผู้จ่ายเงิน
ชาวบ้านก็จะรู้สึกผิดในเชิงศีลธรรม เป็นต้น
การที่ชาวบ้านมีโครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติในการเลือกตั้งเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นผลมาจากการปะทะประสานระหว่างการปฏิบัติการทางสังคมเชิงอุปถัมภ์ซึ่งเป็นรากฐานของความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคมไทยตั้งแต่อดีตอันยาวไกล
กับการปฏิบัติการทางสังคมเชิงประชาธิปไตยซึ่งชนชั้นนำไทยได้นำมาใช้ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พ.ศ.2475
การปฏิบัติการทางสังคมเชิงอุปถัมภ์มีความเชื่อพื้นฐานว่าอำนาจทางสังคมของแต่ละกลุ่มไม่เท่าเทียมกัน
กลุ่มที่มีอำนาจเป็นกลุ่มที่มีบุญบารมีและเหมาะสมที่เป็นผู้ปกครอง
มีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือคุ้มครองชาวบ้าน
ส่วนชาวบ้านเป็นกลุ่มผู้น้อย ไร้อำนาจ
และไม่มีความปรารถนาในการครอบครองอำนาจ มีหน้าที่คอยปฏิบัติตามคำสั่งจากผู้มีบารมี
และต้องพึ่งพาผู้มีบารมีเพื่อให้ตนเองและครอบครัวสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตามอัตภาพปกติ การไม่เชื่อฟังคำสั่งผู้มีบารมีย่อมนำพาความเดือดร้อนมาสู่ตนเองและครอบครัวไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เมื่อผู้มีบารมีสั่งให้ทำเช่นไรชาวบ้านย่อมกระทำตาม การปฏิบัติตามคำสั่งของผู้มีบารมีเป็นวิธีการที่ทำให้ชาวบ้านได้รับสิ่งที่ตนเองพึงปรารถนา
ชาวบ้านมีระบบคิดว่าหากผู้มีบารมีทำให้ตนเองสามารถมีชีวิตได้ตามปกติสุข
ก็ถือว่าเป็นบุญคุณระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่ผู้มีบารมีช่วยเหลือชาวบ้านในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเพิ่มขึ้น
ความสำนึกในบุญคุณที่ชาวบ้านมีต่อผู้มีบารมีก็เพิ่มระดับความเข้มข้นมากขึ้น
ขณะที่การปฏิบัติการทางสังคมแบบประชาธิปไตยมีรากฐานทางความเชื่อเรื่องความเท่าเทียม
ความเสมอภาค ความเป็นอิสระ และความสามารถตัดสินใจกระทำการทางสังคมได้ด้วยตนเองของมนุษย์ บุคคลที่เป็นผู้ปกครองหาใช่ผู้มีบารมีที่ไหน
แต่เป็นเพียงตัวแทนหรือบุคคลที่ราษฎรไว้วางใจและเลือกให้ไปเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของสังคมแทนตนเอง หลักคิดเช่นนี้ย่อมเป็นสิ่งแปลกปลอมจากโครงสร้างทางความคิดดั้งเดิมของประชาชนในสังคมไทย
ในการผลักดันความคิดเช่นนี้ให้มาทดแทนความคิดเดิม
หากผู้นำการเปลี่ยนแปลงดำเนินการอย่างเต็มกำลัง
อาจทำให้โครงสร้างทางความคิดเดิมของชาวบ้านเปลี่ยนแปลงได้บ้างไม่มากก็น้อย
แต่จากข้อเท็จจริงเชิงประวัติศาสตร์นับแต่เริ่มการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี
2475 จนถึงปี 2550 หรือ 75 ปีแล้ว
มีชนชั้นนำของสังคมเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่พยายามผลักดันการความคิดเชิงปฏิบัติการประชาธิปไตยให้เข้าไปสู่กระบวนการภายในจิตสำนึกของชาวบ้าน ขณะที่ชนชั้นนำส่วนใหญ่มีส่วนทำลายการปฏิบัติการสังคมเชิงประชาธิปไตยโดยการส่งเสริม
ผลิตซ้ำ ตอกย้ำ
การปฏิบัติการทางสังคมเชิงอุปถัมภ์อย่างต่อเนื่องในแทบทุกมิติของโลกสังคม
เมื่อการกระทำทางสังคมของชนชั้นนำเป็นดังที่กล่าวมา
ความคิดเชิงปฏิบัติการแบบประชาธิปไตย จึงไม่สามารถแทรกเข้าไปทดแทนจิตสำนึกเดิมของชาวบ้านได้
การรับรู้
การตีความ และการตกผลึกเชิงโครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติการเลือกตั้งของชาวบ้าน
การเลือกตั้งซึ่งเป็นองค์ประกอบด้านเงื่อนไขการเข้าสู่อำนาจของระบอบประชาธิปไตย
ได้กลายมาเป็นสนามของการประทะกันระหว่างโครงสร้างความคิดแบบอุปถัมภ์กับโครงสร้างความคิดแบบประชาธิปไตย หากยึดถือตามอุดมคติ การเลือกตั้งคือการเลือกตัวแทนในฐานะที่เป็นสมาชิกรัฐสภา ซึ่งหลักคิดนี้ได้รับการยอมรับกันประเทศประชาธิปไตยตะวันตก Edmund Burke ผู้ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้จุดชนวนให้หลักคิดนี้แพร่หลายและเป็นที่ยอมรับในภายหลัง
ได้แสดงสุนทรพจน์ไว้อย่างชัดเจนในปี ค.ศ. 1774
ในฐานะที่เป็นผู้แทนราษฎร์ของประเทศอังกฤษว่า
“สภาผู้แทนราษฎรไม่ใช่เป็นสถานที่ที่รวมของบรรดาทูตจากท้องถิ่น จังหวัด
กลุ่มผลประโยชน์ ซึ่งแต่ละคนต่างช่วงชิง
ต่อรองเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ต่อเขตเลือกตั้งหรือกลุ่มของตนเองมากที่สุด แต่สภาผู้แทนราษฎรเป็นแหล่งพลังอำนาจในการตัดสินใจของหนึ่งประเทศ
กับผลประโยชน์เพียงหนึ่งเดียว นั่นคือผลประโยชน์ของประชาชนทั้งมวล เมื่อประชาชนเลือกผู้แทนราษฎร
เขาไม่ใช่เป็นผู้แทนของเขตเลือกตั้ง แต่เขาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
เป็นผู้แทนปวงชนทั้งประเทศ
เขาจะไม่สนับสนุนเรื่องใดที่สร้างประโยชน์แก่เขตเลือกตั้งตนเอง
หากการกระทำเช่นนั้นก่อให้เกิดสิ่งที่ไม่ดีหรือเกิดผลกระทบด้านลบต่อชุมชนที่เหลืออื่นๆของประเทศ”[9]
การเลือกตั้งไทยได้ถูกตีความและให้ความหมายที่หลากหลายจากชาวบ้าน ตั้งแต่เริ่มมีการเลือกตั้งโดยตรงในครั้งแรกในปี
2480 ชาวบ้านมองว่าการเลือกตั้งเป็นกิจกรรมของรัฐ
เมื่อรัฐหรือผู้นำสั่งให้ไปเลือก พวกเขาก็ไป[10] หรือ
มองว่าการเลือกตั้งเป็นสิ่งที่ชาวกรุงเทพฯสร้างขึ้นมา
และบอกว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อประเทศและชาวบ้านในชนบท [11] ระหว่างปี
พ.ศ. 2480 ถึง พ.ศ. 2500
มีการเลือกตั้งโดยตรง 8 ครั้ง เฉลี่ย 2 ปี ครึ่งต่อครั้ง
ซึ่งทำให้ชาวบ้านเรียนรู้และเริ่มสั่งสมประสบการณ์เกี่ยวกับการเลือกตั้งมากขึ้นพอสมควร การเรียนรู้เรื่องการเลือกตั้งในช่วงนี้ของชาวบ้านได้ก่อเป็นรูปแบบทางความคิดในเชิงการแลกเปลี่ยนมากขึ้น การเลือกตั้งซึ่งแต่เดิมเป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อฟังคำสั่งเป็นหลัก
ได้ถูกขยายออกไปสู่มิติของการแลกเปลี่ยนคะแนนเสียงซึ่งแต่เดิมมีเพียง “คุณค่าทางอำนาจ-สังคม” เริ่มจะมี “มูลค่าทางเศรษฐกิจ” เข้ามาเกี่ยวข้อง การเรียนรู้ว่าการลงคะแนนเสียงสามารถสร้างเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ได้รับการแพร่กระจายออกไป และผนึกอยู่โครงสร้างทางความคิดของชาวบ้านเพิ่มมากขึ้น
การเรียนรู้ของประชาชนเกี่ยวกับการเลือกตั้งได้ขาดหายไปช่วงระยะเวลาหนึ่งหรือ
ประมาณ 11 ปีเศษ นับจาก พ.ศ. 2501 ถึง
พ.ศ. 2512 กระนั้นก็ตาม โครงสร้างทางความคิดที่ถูกผนึกอยู่ในกระบวนการภายในจิตของผู้เลือกตั้งหาได้ถูกทำลายลงไปแต่อย่างใด เมื่อมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ในปี พ.ศ. 2512 โครงสร้างทางความคิดเช่นนี้ถูกกระตุ้นให้ปรากฏออกมาอีกครั้งหนึ่งและดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง
ในระหว่างปี พ.ศ. 2512 ถึง พ.ศ.2549
ซึ่งมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น 14 ครั้ง หรือ เฉลี่ย 2.7 ปี ต่อหนึ่งครั้ง การพัฒนาการโครงสร้างทางความคิดเกี่ยวกับการเลือกตั้งของชาวบ้านในระยะเวลานี้จึงเป็นการบูรณาการระหว่างหลักคิดคุณค่าเชิงอำนาจ-สังคม
กับ มูลค่าทางเศรษฐกิจ และชาวบ้านส่วนหนึ่งซึ่งเป็นชนชั้นนำในชนบทได้พัฒนาตนเองเป็นหัวคะแนนอาชีพ
อิทธิพลของหลักคิดมูลค่าเชิงเศรษฐกิจต่อการเลือกตั้ง
ปรากฏชัดเจนขึ้นตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2512 [12] หลังจากนั้นหลักคิดเช่นนี้ได้รับการตอกย้ำ
ผลิตซ้ำ ในทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง
ทำให้โครงสร้างทางความคิดเช่นนี้ตกผลึกและมีเสถียรภาพอยู่ในจิตสำนึกของชาวบ้าน
ซึ่งสามารถเขียนเป็นความสัมพันธ์ได้ดังนี้
1.
ชาวบ้านมีความปรารถนาว่าตนเองจะได้ประโยชน์และ/หรือดำรงไว้ซึ่งประโยชน์ที่ตนเองและครอบครัวได้รับ
2.
ประโยชน์ที่ชาวบ้านปรารถนาคือ
การได้รับความช่วยเหลือหรือคุ้มครองจากผู้นำท้องถิ่นและ/หรือผู้สมัคร ส.ส. การแสดงว่าตนเองมีศีลธรรม และการมีเงินไว้จับจ่ายใช้สอย
3.
การขายเสียงเป็นวิธีการที่ใช้ในการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับผู้อุปถัมภ์ในชุมชน
เป็นวิธีการที่แสดงออกทางศีลธรรม และทำให้ชาวบ้านมีเงินไว้จับจ่ายใช้สอย
4.
ขณะที่การไม่ขายเสียง
อาจทำให้เกิดรอยร้าวของความสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งนำไปสู่การไม่ได้รับการได้รับการช่วยเหลือและคุ้มครองในอนาคต รวมทั้งทำให้ไม่ได้เงิน
5.
การรับเงิน แต่ไม่ลงคะแนนเสียง
แม้จะได้รับเงินไว้จับจ่ายใช้สอย แต่อาจทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมแตกแยก เกิดความบาดหมางกับผู้อุปถัมภ์
ส่งผลให้สูญเสียโอกาสที่จะได้รับการช่วยเหลือในอนาคต และเป็นการบั่นทอนศีลธรรมของตนเอง
6.
ดังนั้นเมื่อหัวคะแนนผู้ซึ่งเคยช่วยเหลือตนเองหรือครอบครัวหรือญาติ
มาเสนอให้เงินชาวบ้านในช่วงที่มีการเลือกตั้ง
ชาวบ้านจะรับเงินไว้และลงคะแนนตามที่หัวคะแนนบอก
การปรับขยายโครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติหลังจากเลือกตั้ง
ปี 2544
ก่อนการเลือกตั้งเมื่อปี 2544
โครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติการเลือกตั้งเดิมของชาวบ้านแสดงออกอยู่ภายใต้บริบทของเขตเลือกตั้งเป็นหลัก เป้าหมายการตอบสนองคือตัวผู้สมัครส.ส.
และหัวคะแนนที่พวกเขามีความสัมพันธ์
ในการเลือกตั้งปี 2544 บริบทการตอบสนองของชาวบ้านได้เริ่มขยายไปสู่หัวหน้าพรรคและพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง
(พรรคไทยรักไทย) ที่ใช้นโยบายเชิงรูปธรรม เสนอผลประโยชน์ให้กับชาวบ้านโดยตรงในลักษณะที่เป็นนโยบายทั่วไป
(Universal
Policy) และเมื่อพรรคดังกล่าวได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ก็ได้นำนโยบายที่ใช้ในการหาเสียงไปปฏิบัติการจริง การรักษาคำมั่นสัญญาของพรรคการเมืองดังกล่าว[13]
ทำให้ชาวบ้านเกิดการเรียนรู้ว่าการเมืองมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของตนเองมากขึ้น
หัวหน้าพรรคการเมืองดังกล่าวจึงกลายมาเป็นผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ของชาวบ้าน เป็นผู้มีบุญคุณต่อชาวบ้าน ดังนั้นในความคิดของชาวบ้านการลงคะแนนเสียงเพื่อสนับสนุนให้หัวหน้าพรรคการเมืองพรรคนี้เป็นผู้บริหารประเทศจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
นโยบายที่ชาวบ้านคิดว่าตนเองได้ประโยชน์มากที่สุดจากพรรคการเมืองดังกล่าวคือนโยบายสามสิบบาทรักษาทุกโรค ขณะที่นโยบายอื่นๆที่เหลือ เช่น
นโยบายกองทุนหมู่บ้าน นโยบายหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์
ผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดคือชนชั้นนำในหมู่บ้านหรือบรรดาหัวคะแนนนั่นเอง
จึงกล่าวได้ว่าหัวหน้าพรรคไทยรักไทยดึงเอาชนชั้นนำในหมู่บ้านซึ่งมีอิทธิพลต่อการสร้างและผลิตซ้ำโครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติการเลือกตั้งของชาวบ้านออกจากผู้อุปถัมภ์ท้องถิ่นหรือผู้สมัครส.ส.
ให้มาจงรักภักดีต่อตนเอง
ดังนั้นในการเลือกตั้งเมื่อปี 2548
พรรคไทยรักไทย จึงได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น
และในการเลือกตั้งปีนั้นมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งถึงร้อยละ 72.55
ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด ซึ่งเป็นสถิติการไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการเลือกตั้งโดยตรงครั้งแรกเมื่อปี
2480
แสดงให้เห็นว่านโยบายที่ให้ผลประโยชน์โดยตรงแก่ชาวบ้านมีพลังในการระดมบุคคลบางกลุ่มซึ่งอาจอยู่นอกอาณาบริเวณทางการเมือง-การเลือกตั้งให้เข้ามาเกี่ยวข้องในสนามของอำนาจ
ภาพการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกับโครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติการเลือกตั้งของชาวบ้านในการเลือกตั้งที่เกิดก่อนจนถึงปี 2544 คือ ความคุ้มครอง ความช่วยเหลือและประโยชน์ที่ชาวบ้านได้รับ รวมศูนย์อยู่ที่ตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นหลัก
หรือผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ก่อกำเนิดและบำรุงรักษาวงจรแห่งโครงสร้างความคิดนี้โดยผ่านกลไกชนชั้นนำในชุมชนที่แปลงสภาพเป็นหัวคะแนน ขณะที่ชาวบ้านอาจการตอบแทนบุญคุณ
การรักษาสัจจะต่อหัวคะแนนรอง หรือหัวคะแนนหลัก หรือผู้สมัครโดยตรงและการลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัคร
สำหรับการเลือกตั้งในปี 2548 และความคุ้มครอง ความช่วยเหลือ
และประโยชน์ที่ชาวบ้านได้รับเพิ่มขึ้นอีกแหล่งคือจากหัวหน้าพรรคไทยรักไทย
ซึ่งกลายเป็นผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ของชาวบ้านและชนชั้นนำในท้องถิ่นที่เป็นหัวคะแนน อันเป็นผลมาจากนโยบายแจกจ่ายผลประโยชน์โดยตรงที่หัวหน้าพรรคผู้นี้ผลักดันออกมาระหว่างการบริหารประเทศในปี
254ถึง 2548 สิ่งที่ตามมาคือการลดลงของอิทธิพลของผู้สมัคร
ส.ส. ที่มีต่อชาวบ้านและหัวคะแนน
การบริหารประเทศของหัวหน้าพรรคไทยรักไทยหลังปีเป็นต้นมา
ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงและกว้างขวางจากสื่อมวลชนและนักวิชาการในเรื่องของการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตและเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตนเอง
ครอบครัว และพวกพ้อง
และหัวหน้าพรรคก็ถูกเดินขบวนขับไล่ให้พ้นจากสถานภาพการเป็นนายกรัฐมนตรี
แต่การวิพากษ์วิจารณ์และการเคลื่อนไหวทางสังคมดังกล่าวมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างความคิดเชิงปฏิบัติการเลือกตั้งของชาวบ้านเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
ขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ดังนั้นเมื่อมีการยุบสภาและประกาศเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549
ผู้สมัครส.ส.ของพรรคการเมืองพรรคนี้ก็ยังได้รับการเลือกตั้งกลับเข้ามาอีกเป็นจำนวนมาก[14]
ในปลายปีมีสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติการเลือกตั้งของชาวบ้านหลายประการ ประการแรกมีการรัฐประหารในเดือนกันยายน 2549
ทำให้หัวหน้าพรรคการเมืองดังกล่าวหมดอำนาจในการบริหารประเทศ ประการที่สอง การยุบพรรคไทยรักไทยในเดือนพฤษภาคม
2550 ตุลาการรัฐธรรมนูญมีมติยุบพรรคไทยรักไทยและถอดถอนสิทธิเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารของพรรคนี้เป็นเวลาห้าปี[15] ประการที่สาม อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทยถูกอายัดทรัพย์สินและกำลังถูกฟ้องร้องในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตเป็นจำนวนมาก[16]
อย่างไรก็ตามตัวชี้วัดเบื้องต้นที่สามารถประเมินว่าโครงสร้างทางความคิดของชาวบ้านเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเท่าไรคือ
การลงประชามติเกี่ยวกับการรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 เมื่อวันที่ 19
สิงหาคม 2550
ซึ่งผลปรากฏว่าซึ่งปรากฏว่ามีผู้ไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 10,747,310
เสียง พื้นที่ที่คะแนนไม่เห็นชอบสูงอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือซึ่งเป็นฐานคะแนนเสียงของพรรคไทยรักไทย แม้ว่าผู้ไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญอาจมีหลายกลุ่ม
แต่ยากที่จะปฏิเสธได้ว่าผู้ไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่คือชาวบ้านที่มีโครงสร้างทางความคิดที่ผูกติดกับอดีตหัวหน้าพรรคและบรรดาอดีตส.ส.ของพรรคไทยรักไทย หากพิจารณาตัวเลขการลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญกับตัวเลขที่มีผู้เลือกพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งปี
2549(16.4ล้านเสียง)
จะเห็นได้ว่ามีคะแนนต่างกันประมาณ 6 ล้านเสียง
สิ่งที่พึงตระหนักคือคะแนนการลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญปี
2550 ก็เป็นเพียงภาพเชิงเปรียบเทียบในบางส่วนเท่านั้น หาใช่ภาพที่สมบูรณ์ไม่
เพราะเงื่อนไขในการเลือกตั้งทั่วไปมีความแตกต่างจากเงื่อนไขของการลงประชามติเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญหลายประการ
ถึงกระนั้นตัวเลขการลงประชามติไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญก็บอกแนวโน้มบางประการนั่นคือ
โครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติการเลือกตั้งของชาวบ้านแบบปี 2548 และ 2549
อาจเริ่มมีการสั่นคลอนในบางระดับ
และมีความเป็นไปได้ที่จะหันกลับไปสู่โครงสร้างทางความคิดที่ดำรงอยู่ก่อนการเลือกตั้งปี
2548 อย่างไรก็ตาม
อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทยพยายามที่จะรักษาโครงสร้างความคิดเชิงปฏิบัติการเลือกตั้งของชาวบ้านแบบปี ให้ดำรงอยู่
โดยการสนับสนุนอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนหนึ่งที่ยังจงรักภักดีต่อตนเองจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมาชื่อ "พรรคพลังประชาชน" เพื่อใช้เป็นกลไกในการรักษาความต่อเนื่องของโครงสร้างทางความคิดดังกล่าวไว้
การก่อตัวของโครงสร้างความคิดเชิงปฏิบัติการเลือกตั้งของชนชั้นกลาง
การก่อเกิดโครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติการเลือกตั้งของประชาชนในสังคมไทยหาได้มีเพียงโครงสร้างเดียวไม่ พร้อมๆกับการที่ชาวบ้านสร้างและหล่อหลอมโครงสร้างความคิดชุดหนึ่งขึ้นมา ชนชั้นกลางก็ได้สร้างโครงสร้างความคิดขึ้นมาอีกชุดหนึ่งซึ่งมีความแตกต่างจากโครงสร้างทางความคิดของชาวบ้านอย่างมีนัยสำคัญ สังคมไทยในปัจจุบันและอนาคตในเรื่องที่เกี่ยวกับการเมืองและการเลือกตั้ง
มีแนวโน้มที่จะเกิดความขัดแย้งระหว่างโครงสร้างสร้างทางคิดเชิงปฏิบัติของทั้งสองกลุ่มขึ้นมา
โดยที่สังคมไทยมีการขยายตัวของชนชั้นกลางมากขึ้นนับตั้งแต่ปี
2500เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
ประสบการณ์และบทเรียนในการดำเนินชีวิตของชนชั้นกลางแตกต่างจากชาวบ้านค่อนข้างมาก
ชนชั้นกลางมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจมากกว่าชาวบ้าน มีความเป็นอิสระในการดำรงชีวิตสูงกว่าชาวบ้าน
มีการศึกษาโดยเฉลี่ยสูงกว่าชาวบ้าน
มีการรับรู้ข้อมูลข่าวสารทางการเมืองมากกว่าชาวบ้าน
สามารถติดตามเฝ้าดูพฤติกรรมทางการเมืองของนักการเมืองในการบริหารประเทศได้มากกว่าชาวบ้าน
สามารถเชื่อมโยงผลกระทบของการดำเนินทางนโยบายของรัฐบาลต่อวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจและทางการเมืองได้มากกว่าชาวบ้าน
สิ่งต่างๆเหล่านี้ก่อตัวขึ้นมาเป็นความปรารถนาทางการเมืองของชนชั้นกลาง
และวิถีที่ชนชั้นกลางเชื่อว่าจะนำไปสู่ความปรารถนานั้น
ชนชั้นกลางมีความปรารถนาที่จะให้มีประชาธิปไตยในความหมายที่ใกล้เคียงกับหลักการของความคิดเชิงตะวันตก
นั่นคือ ในการเข้าสู่อำนาจต้องมีการเลือกตั้งที่เป็นอิสระและเที่ยงธรรม ในการใช้อำนาจพวกเขาต้องการรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพและมีความซื่อสัตย์ในการบริหารประเทศ
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือต้องการรัฐบาลที่มีการทุจริตคอรัปชั่นน้อยหรือไม่มีเลย สำหรับในเรื่องของการตรวจสอบอำนาจ
ชนชั้นกลางต้องการฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง
และในระยะต่อมาภายหลังมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2540
สิ่งที่ชนชั้นกลางมีความต้องการอีกประการหนึ่งคือการมีองค์กรอิสระที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพในการตรวจสอบการดำเนินงานของรัฐบาล
ตลอดระยะเวลาของการพัฒนาการเมืองไทย
ความปรารถนาของชนชั้นกลางกับความเป็นจริงทางการเมืองมีช่องว่างค่อนข้างมาก
นั่นคือชนชั้นกลางเรียนรู้ว่าการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในชนบทเป็นการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยการซื้อสิทธิขายเสียง ซึ่งส่งผลให้ชนชั้นกลางมีทัศนคติเชิงลบต่อนักการเมืองและผู้เลือกตั้งชาวชนบท ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อนักการเมืองเหล่านั้นเข้ามาบริหารประเทศก็สร้างความผิดหวังให้ชนชั้นกลางมากขึ้นไปอีก
ชนชั้นกลางสังเกตพฤติกรรมการใช้อำนาจของนักการเมือง
พวกเขาเห็นว่ามีนักการเมืองจำนวนมากไร้ความสามารถในการบริหารประเทศและไร้ความซื่อสัตย์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งนักการเมืองในการรับรู้ของชนชั้นกลางนั้นบางคนแม้ว่ามีภาพลักษณ์ของความซื่อสัตย์
แต่กลับไร้วิสัยทัศน์และไร้ประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ ขณะที่บางคนดูเหมือนมีวิสัยทัศน์และมีประสิทธิภาพก็กลับกลายเป็นว่าเป็นคนที่มีการทุจริตและความฉ้อฉลอย่างไม่น่าเชื่อ ประสบการณ์จริงทางการเมืองที่ปรากฎให้เห็นทำให้ชนชั้นกลางขาดความเชื่อมั่นและมีทัศนคติเชิงลบต่อนักการเมือง
สำหรับในการตรวจสอบอำนาจ
ชนชั้นกลางก็พบปรากฏการณ์ที่สร้างความคิดในเชิงลบต่อนักการเมืองมากขึ้นไปอีก
กล่าวคือชนชั้นกลางพบว่า นักการเมืองหาได้มีการตรวจสอบกันอย่างจริงจังไม่
เพียงแต่ใช้เวทีการตรวจสอบเป็นเวทีในการทำลายฝ่ายตรงข้ามและสร้างคะแนนนิยมให้แก่ตนเองและพรรคที่สังกัดเป็นหลัก
แม้จะมีการจัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาตรวจสอบภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรม ปี
2540 ก็ปรากฏว่าองค์กรเหล่านั้นกลับถูกแทรกแซงจากนักการเมืองเมืองจนกระทั่งขาดอิสระในการดำเนินงานและไร้ความเป็นกลางในการวินิจฉัยเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดของรัฐบาล
ภายใต้การรับรู้พฤติกรรมทางการเมืองของนักการเมืองแหล่านี้
ทำให้ในบางเวลาชนชั้นกลางเปิดทางต้อนรับการรัฐประหารของทหาร ทั้งที่ชนชั้นกลางก็มีทัศนคติในเชิงลบต่อการใช้อำนาจเผด็จการของทหาร
ชนชั้นกลางคาดหวังในสิ่งที่ไม่มีการบรรลุได้หลายครั้ง
นั่นคือความคาดหวังให้ทหารมาจัดระเบียบทางการเมืองและสร้างระบบการเมืองที่ไม่เปิดพื้นที่ให้นักการเมืองที่ฉ้อฉลได้แสดงอำนาจ
แต่ชนชั้นกลางก็ยินดีได้เพียงไม่นานและเขาก็พบกับประสบการณ์ที่ขมขื่นแทบทุกครั้ง
เมื่อความเป็นจริงแสดงตัวออกมาอย่างชัดเจนว่า
ทหารที่พวกเขาคาดหวังกลับจับมือกับนักการเมืองที่พวกเขาประณามเพื่อสืบทอดอำนาจต่อไป
หรือไม่ก็พบว่าทหารที่เข้ามาครองอำนาจก็มีพฤติกรรมที่ไม่แตกต่างกับนักการเมืองที่พวกเขารังเกียจ
ซึ่งได้แก่การมีพฤติกรรมการบริหารประเทศที่ฉ้อฉลและไร้ประสิทธิภาพเช่นเดียวกันกับนักการเมืองนั่นเอง
ในการสถาปนาประชาธิปไตยโดยใช้การเลือกตั้งเป็นหลักในทัศนะของชนชั้นกลาง
โดยเฉพาะชนชั้นกลางที่เป็นกลุ่มแกนนำทางความคิด
ดูจะไม่ใช่วิธีเดียวและเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างประชาธิปไตยขึ้นมาได้
กลุ่มแกนนำทางความคิดของชนชั้นกลางจึงได้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิธีการสร้างประชาธิปไตย โดยผลักดันสิ่งที่เรียกว่า “การมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง
ในกระบวนการทางการเมืองและการกำหนดนโยบาย”
ขึ้นมาเป็นทางเลือกสำหรับการสร้างประชาธิปไตย
ณ จุดนี้
ประชาธิปไตยที่ชนชั้นกลางปรารถนาจึงเป็นประชาธิปไตยที่มีลักษณะทวิภาวะ
ด้านหนึ่งคือ ชนชั้นกลางไม่อาจปฏิเสธประชาธิปไตยแบบตัวแทน (representative
democracy) ได้
จึงต้องยอมรับการดำรงอยู่ของมัน แต่อีกด้านหนึ่ง ชนชั้นกลางพยายามสถาปนาประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
(participative democracy) ขึ้นมา
นอกจากนั้นยังมีวิถีทางอีกประการหนึ่งที่ชนชั้นกลางใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการกับรัฐบาลที่พวกเขาเห็นว่าไร้ความชอบธรรมในการบริหารประเทศ
คือการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อต่อต้านและขับไล่รัฐบาลออกไป ไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะมาจากการเลือกตั้งหรือไม่ก็ตาม การเคลื่อนไหวทางสังคมของชนชั้นกลาง
เริ่มปรากฏชัดเจนเมื่อปี 2535 ในการขับไล่รัฐบาลพลเอกสุจินดา คราประยูร
หลังจากนั้นคือการเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ในปี 2540
และครั้งที่สาม คือการเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ในปี 2549 การเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลครั้งหลังสุดของชนชั้นกลางเป็นการเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องและยาวนาน
ทำให้ชนชั้นกลางเกิดการสั่งสมประสบการณ์และเรียนรู้ถึงพลังอำนาจทางการเมืองของตนเองเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และมีแนวโน้มที่กลุ่มแกนนำชนชั้นกลางบางส่วนจะสร้างองค์กรทางการเมืองเพื่อรวบรวมพลังที่กระจัดกระจายของชนชั้นกลางให้เป็นกลุ่มพลังอำนาจอีกกลุ่มหนึ่งที่เข้าไปปฏิบัติการทางการเมืองโดยตรงทั้งในสนามการเลือกตั้งและนอกสนามการเลือกตั้ง
โครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติการเลือกตั้งของชนชั้นกลาง
กล่าวสำหรับการปฏิบัติการในสนามเลือกตั้งของชนชั้นกลาง
เราอาจจำแนกชนชั้นกลางเป็นกลุ่มย่อยสองกลุ่ม คือ ชนชั้นกลางที่อยู่ในภาคใต้
และชนชั้นกลางในเขตเมืองอื่นๆ
ชนชั้นกลางในภาคใต้ ได้ใช้พรรคการเมืองพรรคหนึ่งคือ พรรคประชาธิปัตย์
เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองของตนเอง
ด้วยเหตุที่พรรคการเมืองพรรคนี้มีประวัติศาสตร์ที่ต่อสู้กับระบอบเผด็จการอำนาจนิยมทหารอย่างยาวนาน
ซึ่งทำให้ผู้เลือกตั้งชนชั้นกลางภาคใต้นั้นเห็นว่าพรรคการเมืองดังกล่าวเป็นวิถีที่สามารถตอบสนองความเชื่อของพวกเขาได้ เหตุผลอีกประการหนึ่งคือ
พรรคการเมืองพรรคนี้ได้ปรากฏนักการเมืองที่เป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ขึ้นมา[17]เป็นหัวหน้าพรรคและเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ระยะเวลาหนึ่ง ด้วยเหตุผลดังกล่าวการรับรู้และการตีความของชนชั้นกลางในภาคใต้ได้ผนึกเข้าไปก่อรูปเป็นโครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติการเลือกตั้งขึ้นมาชุดหนึ่ง
ด้านชนชั้นกลางที่อยู่นอกเหนือจากภาคใต้โดยเฉพาะชนชั้นกลางในเขตกรุงเทพมหานคร
สิ่งที่พวกเขาปรารถนามีมากกว่าการต่อสู้กับระบอบอำนาจนิยมและความซื่อสัตย์
แต่ยังรวมไปถึงการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย
จากการที่ความเป็นจริงทางการเมืองไม่สามารถทำให้พวกเขาได้บรรลุความปรารถนา
ส่งผลให้โครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติการเลือกตั้งของพวกเขามีเสถียรภาพต่ำและมีความยืดหยุ่นสูง พวกเขาพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางความคิดของตนเองอยู่ตลอดเวลา
นั่นคือพวกเขาจะพิจารณาบริบทของการเลือกตั้งแต่ละครั้งว่ามีนักการเมืองและพรรคการเมืองที่อาจสามารถตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้มากที่สุด
พวกเขาก็จะเลือกนักการเมืองและพรรคการเมืองดังกล่าว
และมีอยู่หลายครั้งที่การเลือกตั้งของพวกเขาเป็นการเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์
หรือเป็นการเลือกตั้งที่แม้จะทราบว่าพรรคการเมืองพรรคที่พวกเขาเลือกอาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการทั้งหมดของพวกเขาได้
แต่หากพรรคการเมืองพรรคนั้นสามารถตอบสนองได้ในบางส่วนพวกเขาก็จะเลือกพรรคการเมืองนั้น
หรือเลือกพรรคการเมืองพรรคหนึ่งเพื่อสกัดกั้นไม่ให้อีกพรรคการเมืองหนึ่งซึ่งพวกเขาเห็นว่าเป็นปรปักษ์กับความปรารถนาของพวกเขาได้รับการเลือกตั้ง[18]
การลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายน 2549 ผ่านการกากบาทในช่องไม่ลงคะแนนเสียงประมาณ 9 ล้านเสียง เป็นการแสดงเจตจำนงที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งของชนชั้นกลาง
ที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความปรารถนาในการปฏิเสธการบริหารประเทศของรัฐบาลที่พวกเขารับรู้และตีความว่าไร้ความซื่อสัตย์
และนอกจากแสดงพลังผ่านการเลือกตั้งแล้ว
ชนชั้นกลางบางส่วนยังอาศัยกลไกอื่นๆทางสังคมการเมือง เช่น กลไกด้านกฎหมาย
การกดดันทางสังคม รวมถึงการสนับสนุนการรัฐประหารด้วยเพื่อทำให้ความปรารถนาของตนเองได้บรรลุ
สรุป
วัฒนธรรมการเมืองของสังคมไทยมีลักษณะทวิลักษณ์
ซึ่งแสดงออกผ่านโครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติการทางการเมืองและการเลือกตั้งของกลุ่มชนสองกลุ่มใหญ่ในสังคมคือ
กลุ่มชาวบ้านหรือชาวชนบท
และกลุ่มชนชั้นกลางหรือชาวเมือง โครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติเป็นการบูรณาการของระบบคิด
ความปรารถนา ความเชื่อ การรับรู้ การเข้าใจ การตีความและการประเมินโลกทางสังคม ซึ่งแสดงให้ปรากฏโดยการกระทำทางสังคมของบุคลหรือกลุ่มคน
อย่างเป็นแบบแผนมีความต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็สามารถถ่ายทอดและเปลี่ยนแปลงได้
ลักษณะโครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติการเลือกตั้งของชาวบ้าน
ก่อเกิดจากเงื่อนไขการปฏิบัติการทางสังคมเชิงอุปถัมภ์และการปฏิบัติการสังคมเชิงประชาธิปไตยแบบตัวแทน
ชาวบ้านใช้ฐานคิดและระบบความเชื่อแบบอุปถัมภ์ในการรับรู้
ทำความเข้าใจและตีความการเลือกตั้ง
โดยมีความปรารถนาที่จะได้รับความคุ้มครองช่วยเหลือและการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับชนชั้นนำในชุมชนที่เป็นหัวคะแนน
รวมทั้งปรารถนารักษาบรรทัดฐานด้านศีลธรรมของตนเอง
และการได้ประโยชน์ทางวัตถุ
ในการบรรลุความปรารถนานี้ชาวบ้านจึงยอมรับเงินจากหัวคะแนนให้ในช่วงการเลือกตั้ง
และลงคะแนนเสียงตามที่หัวคะแนนกำหนด
โครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติการเลือกตั้งของชาวบ้านจึงเป็นการผสานระหว่างคุณค่าเชิงอำนาจ-สังคม
กับมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ชาวบ้านได้รับจากหัวคะแนนและผู้สมัครรับเลือกตั้ง หลังจากการเลือกตั้งปี 2544
แหล่งที่ให้คุณค่าเชิงอำนาจ-สังคมและมูลค่าทางเศรษฐกิจแก่ชาวบ้านและหัวคะแนน เคลื่อนตัวออกไปจากผู้สมัครไปสู่หัวหน้าพรรคการเมืองบางพรรค
ด้วยอิทธิพลจากนโยบายที่แจกจ่ายผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมแก่ชาวบ้านและหัวคะแนนโดยตรง
จึงทำให้อิทธิพลของผู้สมัครส.ส.ที่มีต่อโครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติการเลือกตั้งของชาวบ้านลดลง อย่างไรก็ตามการเคลื่อนตัวของแหล่งที่มาของอำนาจ-สังคมและมูลค่าเชิงเศรษฐกิจ
ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบแผนหลักของโครงสร้างทางคิดเชิงปฏิบัติการเลือกตั้งแต่อย่างใด
ขณะที่ชนชั้นกลางเรียนรู้การเมืองและการเลือกตั้งโดยใช้ฐานระบบความเชื่อที่แตกต่างจากชาวบ้าน ชั้นกลางใช้ฐานคิดและระบบความเชื่อของระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน
ซึ่งเน้นในเรื่องการเข้าสู่อำนาจโดยผ่านการเลือกตั้งต้องเป็นไปอย่างอิสระและมีความเที่ยงธรรม
เมื่อชนชั้นประสบกับความเป็นจริงทางการเมืองทั้งในระดับชาติและระดับการเลือกตั้งพบว่าความเป็นจริงที่เกิดขึ้นมาไม่สอดคล้องกับความเชื่อของตนเอง ชนชั้นกลางจึงมีทัศนะที่ดูถูกชาวบ้านและนักการเมืองต่างจังหวัด
ชนชั้นกลางไม่มีเงื่อนไขทางสังคมที่จะต้องรักษาความสัมพันธ์ในเชิงพึ่งพากับนักการเมืองและหัวคะแนน
จึงทำให้พวกเขามีอิสระทางความคิดและการปฏิบัติการทางการเมือง ความปรารถนาของชนชั้นกลางคือ การไม่มีการซื้อขายเสียงในการเลือกตั้ง การมีรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ
และมีความซื่อสัตย์
ชนชั้นกลางไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งจะทำให้ความปรารถนาของตนเองได้บรรลุ
ดังนั้นโครงสร้างทางความคิดเชิงปฏิบัติการเลือกตั้งของชนชั้นกลางจึงมีความยืดหยุ่น
และปฏิบัติการณ์ตามบริบทของสังคมการเมืองในแต่ละช่วงเวลา
การที่ชนชั้นกลางไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งจะทำให้ความปรารถนาของตนเองบรรลุ
ชนชั้นกลางจึงใช้การปฏิบัติการเมืองนอกเวทีการเลือกตั้งเพิ่มอีกทางหนึ่ง
โดยการกดดันหรือเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อขับไล่รัฐบาลที่มีการดำเนินงานขัดแย้งกับความปรารถนาของพวกเขา รวมทั้งกลุ่มผู้นำทางความคิดของชนชั้นกลางได้พยายามผลักดันและสร้างระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมขึ้นมา
เพื่อเปิดพื้นที่ทางการสังคมซึ่งทำให้พวกเขาสามารถใช้วิธีการที่หลากหลายในการปฏิบัติการทางการเมืองเพื่อการบรรลุความปรารถนาของตนเอง
อ้างอิง
[1] Pye, quoted
in Jan-Erik Lane and Svante Ersson, Culture and Politics: A Comparative
Approach (Burlington: Ashgate, 2005)
p. 31.
[2] G.A. Almond
and S. Verbra The Civic Culture:
Political Attitudes and Democracy in Five Nations (Boston, MA: Little, Brown
and Company, 1965) p. 12.
[3] Jan-Erik
Lane and Svante Ersson, Culture and Politics: A Comparative Approach (Burlington: Ashgate, 2005) p. 32.
[4] Robert
Putnam, Making Democracy Work: Civil Traditions in Modern Italy (New
York: Simon and Schuster, 1993)
[5] Jan-Erik
Lane and Svante Ersson, Culture and Politics: A Comparative Approach , อ้างแล้ว
[6] อเนก เหล่าธรรมทัศน์, สองนคราประชาธิปไตย
(กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน, 2539) หน้า 8.
[7] นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์,
สองหน้าสังคมไทย (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ผู้จัดการ, 2539) หน้า 252.
[8] Pierre Bourdieu, Outline of A Theory of Practice, (London: Cambridge
University Press, 1977) pp. 82-84.
[9] Edmund
Burke, The Penguin Book of Historical Speeches, (London: Viking, 1995)
pp. 115-116.
[10] Wilson and
Phillips, “Elections and Parties in Thailand”, . Far Eastern Survey. vol. 27, no.8,
August 1958. pp. 117-118.
[11] Phillips, “The Election Ritual in a Thai Village”, Journal of Social Issues. vol.14,
December, 1958. p. 37.
[12] รังสรรค์ ธนะพรพันธ์, อนิจลักษณะของการเมืองไทย: เศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ว่าด้วยการเมืองไทย
(กรุงเทพฯ: ผู้จัดการ, 2536) หน้า 75. อย่างไรก็ตามในประเด็นนี้มีข้อถกเถียงกันมากว่าระบอบอุปถัมภ์และเงิน
เข้าไปมีอิทธิพลครอบงำการเลือกตั้งในชนบทตั้งแต่เมื่อไร
นักวิชาการบางท่านระบุว่าปี 2518
ขณะที่บางท่านระบุว่า ตั้งแต่ปี
2523 ในทัศนะของผู้เขียน
ระบอบอุปถัมภ์สนธิกับเงินนั้นอาจมีจุดเริ่มที่ตั้งแต่การเลือกตั้งก่อนปี 2500
ด้วยซ้ำ เพียงแต่ยังไม่ได้รับการสถาปนาเป็นกระแสหลักเนื่องจาก
ระบอบอุปถัมภ์ในเชิงอำนาจ-สังคมมีอิทธิพลมากกว่า
แต่เมื่อมีการพัฒนาเศรษฐกิจในระหว่างปี 2500 เป็นต้นมา
ซึ่งทำให้เกิดนายทุนท้องถิ่นเป็นจำนวนมาก
และต่อมานายทุนเหล่านี้ได้ลงสุ่สนามเลือกตั้งจึงทำให้เงินกับระบบอุปถัมภ์มาพบกันมากขึ้น ความต่อเนื่องของการเลือกตั้งระหว่างปี 2522
ถึง 2548 เป็น ทำให้การผสมผสานของทั้งสองส่วนนี้ได้กับการตอกย้ำ ผลิตซ้ำ
จนกระทั่งกลายเป็นวัฒนธรรมการเลือกตั้งไป
[13] พรรคไทยรักไทยได้รักษาคำสัญญากับชาวบ้านเฉพาะนโยบายบางนโยบายที่เป็นการให้ผลประโยชน์โดยตรงต่อชาวบ้านและง่ายต่อการปฏิบัติ เช่น กองทุนหมู่บ้าน หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และ สามสิบบาทรักษาทุกโรค
เป็นต้น ขณะที่ไม่ได้รักษาคำสัญญาในนโยบายที่มีความเป็นนามธรรมและปฏิบัติได้ยากกว่า
เช่น นโยบายต่อต้านการคอรัปชั่น
[14] การเลือกตั้งเมื่อปี 2544 พรรคไทยรักไทย ได้คะแนนระบบบัญชีรายชื่อพรรค
จำนวน 11.6 ล้านเสียง ต่อมาในปี 2548
คะแนนระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพิ่มขึ้นเป็น 18.9 ล้านเสียง และในการเลือกตั้ง เดือนเมษายน 2549
ซึ่งต่อมาภายหลังถูกวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นโมฆะ
พรรคนี้ได้คะแนนเสียงระบบบัญชีรายชื่อ 16.4 ล้านเสียง ซึ่งลดลงจากการเลือกตั้งปี 2548
ไม่มากนักทั้งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์และต่อต้านอย่างรุนแรงจากชนชั้นกลาง
[15] คณะตุลาการรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่งเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม
2550 ให้ยุบพรรคไทยรักไทย ตาม
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 มาตรา 67
ประกอบมาตรา 66 (1) และ(3) และให้ยุบพรรคพัฒนาชาติไทยและพรรคแผ่นดินไทย ตาม
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 มาตรา 67
ประกอบมาตรา 66 (2) และ(3) รวมทั้งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยจำนวน 111 คน พรรคพัฒนาชาติไทยจำนวน 19 คน
และพรรคแผ่นดินไทยจำนวน 3 คน มีกำหนดเวลาห้าปี ตามประกาศ
คปค.ฉบับ 27 ลงวันที่ 30 กันยายน 2549
สำหรับรายละเอียดและเหตุผลของการยุบพรรคไทยรักไทย
อ่านใน คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ:
กรณีอัยการสูงสุดมีคำร้องขอให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมือง
(พรรคไทยรักไทย พรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทย)
กรุงเทพฯ: สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ, 2550:
[16] หลังการรัฐประหาร คณะรัฐประหารในนามคณะปฏิรูปการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค).ได้ มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)
เพื่อตรวจสอบการดำเนินงานโดยบุคคลในคณะรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีชุดที่ผ่านมา
ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะเป็นไปโดยทุจริต
การตรวจสอบสัญญา สัญญาสัมปทาน และการกระทำของบุคคลใด ที่เห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือหลีกเลี่ยงกฎหมายว่าด้วยภาษีอากร
อันเป็นการกระทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ
ระหว่างปลายเดือนพฤษภาคม ถึงต้นเดือนกันยายน2550 คตส. ได้ทำการตรวจสอบและประกาศอายัดทรัพย์สินของ
พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและบุคคลที่เกี่ยวข้องประมาณ 73,271 ล้านบาท
[17] นายชวน หลีกภัย เป็นอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ที่ได้รับการยอมรับจากสังคมว่าเป็นนักการเมืองที่มีความซื่อสัตย์
[18] ดูรายละเอียดใน พิชาย รัตนดิลก
ณภูเก็ต , ชนชั้นกับการเลือกตั้ง: ความรุ่งเรืองและความตกต่ำของสามพรรคการเมืองในกรุงเทพมหานคร
(กรุงเทพฯ: วิภาษา, 2541) หน้า
65-132.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น