ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ทฤษฎีองค์การ เมื่อความคิดเชิงกลไกและความมีเหตุผลถูกท้าทาย

                                 ทฤษฎีองค์การ เมื่อความคิดเชิงกลไกและความมีเหตุผลถูกท้าทาย
พิชาย  รัตนดิลก ร ภูเก็ต



           การผลิตความรู้วิชาการเป็นกิจกรรมทางสังคม[WU1]  การสร้างความรู้เกี่ยวข้องทั้งการวิจัยและปฏิสัมพันธ์เชิงการสื่อสาร  การวิจัยมีนัยของการแสวงหา ทำความเข้าใจ และตีความความจริง รวมทั้งการถ่ายทอดและปรับรูปแบบของสัญลักษณ์เพื่อเป้าประสงค์ของมนุษย์  กระบวนการที่ทำให้ความจริงเผยตัวออกมาเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องพิสูจน์ด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบ เช่น การทดลอง การสำรวจ และการสังเกตในภาคสนาม   สำหรับปฏิสัมพันธ์เชิงการสื่อสารหมายถึงการแบ่งปันความหมายในชุมชนวิชาการ ผ่านการเรียนรู้ทางภาษาวิชาการและชุดของกระบวนการคิดและถกเถียงเกี่ยวกับสิ่งที่ศึกษา  ทั้งการวิจัยและปฏิสัมพันธ์เชิงการสื่อสารต่างจำเป็นด้วยกันทั้งคู่มิอาจขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ นักวิจัยทำงานในประเด็นที่ศึกษาผ่านชุดความคิดที่มีการสื่อสาร ซึ่งเรียนรู้มาในฐานะที่เป็นสมาชิกของชุมชนทางวิชาการในสาขาหนึ่งๆ  ทฤษฎีองค์การเป็นศึกษาองค์การซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมสร้างขึ้นมาและประกอบด้วยชุมชนภาษาเฉพาะ การพัฒนาความรู้ใหม่เป็นกิจกรรมเชิงปฏิบัติซึ่งนักวิจัยสร้างจากแนวความคิด สัญลักษณ์ และทรัพยากรเชิงวัตถุของชุมชนทางภาษา เพื่อพยายามอธิบายและทำความเข้าใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นในเรื่องนั้นๆ
           รากฐานทางประวัติศาสตร์ของการศึกษาองค์การมาจากงานเขียนด้านสังคมการเมืองของนักคิดในศตวรรษที่19  [WU2] เช่น แซงต์ ซีมง (Saint-Simon) ผู้พยายามคาดการณ์และตีความการเปลี่ยนผ่านทางอุดมการณ์และโครงสร้างที่กำลังเริ่มเกิดขึ้นจากอิทธิพลของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรม ในปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่20 ซึ่งมีการเติบโตขององค์การขนาดใหญ่ในภาคเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง และส่งผลให้กิจกรรมที่มนุษย์กระทำร่วมกันมีความซับซ้อนและความเข้มข้น เกินกว่าความสามารถของปัจเจกบุคคลและการประสานงานแบบซึ่งหน้าจะจัดการได้   การบริหารองค์การขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนต้องการระเบียบใหม่ที่มิได้กำหนดจากความรู้สึกของมนุษย์ หากแต่ต้องใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ที่มีรากฐานจาก “ธรรมชาติของสรรพสิ่ง” และเป็นอิสระจากเจตจำนงของมนุษย์ ในแง่นี้สังคมที่มีองค์การเป็นองค์ประกอบหลักจึงจำเป็นต้องมีพันธะต่อกฎทางวิทยาศาสตร์มากกว่ามนุษย์ และการเมืองในองค์การจักสิ้นสูญไปในที่สุด  องค์การจักเป็นกลไกในการเปลี่ยนความไร้เหตุผลของมนุษย์ไปสู่การมีพฤติกรรมที่มีเหตุผล (Wolin 1961:378-83)  ดังนั้นรากฐานของการศึกษาองค์การจึงผูกติดอย่างลึกซึ้งกับพลังขับเคลื่อนของสังคมทุนนิยมช่วงปลายศตวรรษที่สิบเก้า และการคาดการณ์อย่างเชื่อมั่นในชัยชนะของวิทยาศาสตร์ต่อการเมือง และความมีชัยของระเบียบรวมหมู่ที่มีการออกแบบอย่างมีเหตุผลต่อการไม่เชื่อฟังและความไร้เหตุผลของมนุษย์ (Reed 1985)
           การเติบโตของสังคมองค์การ (organizational society)มีความหมายเสมือนความก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของเหตุผล เสรีภาพ และความยุติธรรม และในท้ายที่สุดก็จะขจัดความโง่เขลา การกดขี่บังคับ และความยากจนไปได้  องค์การได้รับการออกแบบอย่างมีเหตุผลเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่าความจำเป็นของส่วนรวมกับความต้องการของส่วนบุคคล ซึ่งรบกวนความก้าวหน้าของสังคมตั้งแต่ยุคโบราณ (Wolin 1961)  องค์การสร้างหลักประกันให้กับระเบียบสังคมและอิสระภาพส่วนบุคคลโดยการหลอมรวมการตัดสินใจเพื่อส่วนรวมกับผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคล ผ่านการออกแบบอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ซึ่ง โครงสร้างการบริหารที่ได้รับการออกแบบจะดำรงรักษาและปฏิบัติในลักษณะที่ผสานผลประโยชน์ในแต่ละส่วนให้สอดคล้องกับเป้าประสงค์ของส่วนรวม ความขัดแย้งที่ดำรงอยู่อย่างยาวนานระหว่างผลประโยชน์ของสังคม” กับผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคลจะได้รับการแก้ไขในที่สุด (Reed, 2005) กล่าวได้ว่านักทฤษฎีองค์การในยุคแรกได้มอบศรัทธาต่อองค์การยุคใหม่ในฐานะเป็นวิธีการสากลหรือกฎสามัญการ (universal law) ในการแก้ปัญหาสังคม “[WU3] 
          
นักวิชาการที่ศึกษาองค์การในปัจจุบันมีแนวโน้มยอมรับและให้ความสำคัญกับประเด็นบางประการที่เคย[WU4] ละเลยในอดีต เช่น ความจำกัดของความมีเหตุผล ธรรมชาติของความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ในองค์การ และบริบทของวัฒนธรรมในการจัดองค์การ  เราไม่อาจหลอกตัวเองราวกับว่าเราไม่รู้ว่ามีสิ่งเหล่านี้ดำรงอยู่  ความตระหนักรู้เหล่านี้ทำให้ภาพของทฤษฎีองค์การมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น  ทฤษฎีความมีเหตุผลที่ถูกจำกัดของ March และ Olsen (1986: 28) ทำให้ฐานคติเกี่ยวกับสมรรถนะเชิงพุทธิปัญญาและความรู้ของมนุษย์ถูกตั้งคำถาม  ทฤษฎีความขัดแย้งทำให้ฐานคติเกี่ยวกับเอกภาพของวัตถุประสงค์ขององค์การอ่อนตัวลง ทฤษฎีความคลุมเครือและระเบียบชั่วคราว ทำให้ฐานคติเกี่ยวกับความชัดเจนของวัตถุประสงค์และความเป็นสาเหตุ (causality) ถูกสั่นคลอน (Tsoukas and Knudsen, 2003: 10)   ฐานคติที่เชื่อว่าองค์การเป็นระบบที่ได้รับการออกแบบอย่างมีเหตุผล ซึ่งเป็นฐานคติในช่วงเริ่มต้นการศึกษาทฤษฎีองค์การ ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงและเกิดมุมมองใหม่ที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบันนั่นคือ องค์การเป็นการกระทำร่วมทางสังคมที่ได้รับการประกอบสร้างขึ้นมาเชิงประวัติศาสตร์และผนึกดำรงภายในสิ่งแวดล้อม มุมมองเช่นนี้ได้กระตุ้นให้เกิดการขยายอาณาเขตของศึกษาองค์การ  เช่น การศึกษาการผนึกตัวเข้าสู่ภายในสังคมขององค์การ (Granovetter 1992; Scott et al. 1994)  วัฒนธรรมองค์การ (Kunda 1992) การสร้างทางสังคมของอัตลักษณ์องค์การ (Brown 1997) เป็นต้น
           มุมมองที่กล่าวมาข้างต้นมีฐานคติร่วมกันว่าองค์การเป็นเรื่องทางสังคม มีการเปลี่ยนแปลงเชิงประวัติศาสตร์ และเป็นเรื่องที่ขึ้นต่อบริบท  ขณะที่มุมมองแบบเดิมหรือที่เรียกว่ามุมมองเชิงกลไกแบบนิวตัน(Newtonian Mechanic Perspective) ซึ่งมองว่าองค์การได้รับการออกแบบอย่างมีเหตุผลเพื่อบรรลุเป้าประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง ไม่อาจอธิบายประเด็นที่สำคัญหลายประเด็นในการศึกษาองค์การเช่น ความแตกต่างหลากหลายขององค์การในแต่ละเวลาและพื้นที่ได้  พัฒนาการเชิงประวัติศาสตร์ขององค์การ อิทธิพลของสถาบันทางสังคมที่มีต่อองค์การ ความหลากหลายของเพศสภาพ สีผิว และเชื้อชาติในสถานที่ทำงาน การดำรงอยู่ของความมีเหตุผลที่หลากหลายในองค์การ  การตัดสินใจและการกำหนดยุทธศาสตร์ที่ใช้จริงในองค์การ  






 [WU1]การผลิตความรู้การวิจัยและการสื่อสาร


 [WU2]เพิ่มประวัติการศึกษาองค์การ เริ่มจาก positivism


 [WU3]องค์การในฐานะเครื่องมือแก้ปัญหาสังคม


 [WU4]การสั่นคลอนของฐานคติดั้งเดิมในการศึกษาองค์การ











































































































































ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง

การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คำถามประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการทำแท้งคือ เมื่อไรที่จะนับว่าชีวิตมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และ ณ จุดไหนที่สังคมควรจะเข้าไปดำเนินการปกป้องชีวิตที่กำลังก่อกำเนิด       ส่วนข้อถกเถียงเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับการทำแท้งมี ๒ ประเด็นหลักคือ  ประเด็นแรกคือ “คุณค่าของพื้นฐานแห่งชีวิต” ซึ่งมีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ยังไม่ได้กำเนิดมาดูโลก กับชีวิตของมารดา   ประเด็นที่สองคือ “พื้นฐานของเสรีภาพส่วนบุคคคล” ซึ่งเป็นสิทธิของมารดาเหนือร่างกายของตนเองในการให้กำเนิดและกำหนดชีวิต และประเด็นที่เป็นความขัดแย้งอีกประการคือแนวคิดเกี่ยวกับ “สิทธิสัมบูรณ์”  ระหว่างสิทธิของทารกในครรภ์ที่จะก่อตัวพัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษย์ กับสิทธิของมารดาในการควบคุมชีวิตและร่างกายของตนเอง ชีวิตมนุษย์เริ่มจากไหนและพัฒนาอย่างไร   ในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายขั้นตอนของการพัฒนาตัวอ่อนในครรภ์ในเป็นมนุษย์ ดังนี้ ๑.       ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นจากไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์จากอสุจิ หนึ่งเซลล์ของมนุษย์ผู้หนึ่งผสมกับเซลล์ของมนุษย์อีกผู้หนึ่ง กลายเป็นสองเซลล์และขยายเป็นสี่ และจากนั้นภายในหกวั

วิจารณ์หนังสือ การสร้างทฤษฎีฐานราก: แนวทางเชิงปฏิบัติผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ของ Kathy Charmaz. พิมพ์ในวารสารพัฒนาสังคม V 14. No. 2

บทวิจารณ์หนังสือ  พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต Kathy Charmaz  2006. Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis. London: SAGE   จำนวน  208  หน้า ความเป็นมาของทฤษฎีฐานราก ระเบียบวิธีทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) อุบัติขึ้นจากนักสังคมวิทยาสองคนคือ Barney G. Glaser และ Anselm L. Strauss ช่วงกลางทศวรรษ 1960s    ทั้งสองไปทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสภาวะกำลังตายและการตาย ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล    พวกเขาได้พัฒนายุทธศาสตร์เชิงระเบียบวิธีอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งทำให้นักสังคมศาสตร์สามารถนำไปประยุกต์ในการศึกษาเรื่องอื่นๆได้จำนวนมาก   ในปี 1967 Glaser และ Strauss  ได้เสนอระเบียบวิธีนี้เข้ามาสู่แวดวงวิชาการในหนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขา คือ The Discovery of Grounded Theory   ซึ่งทำให้การวิจัยเชิงคุณภาพรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ของระเบียบวิธี        ช่วงเวลาก่อนที่ Glaser และ Strauss เสนอระเบียบวิธีการวิจัยทฤษฎีฐานรากเป็นช่วงที่การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในสาขาสังคมวิทยากำลังประสบกับปัญหาทางระเบียบวิธีวิทยาอย่างหนักหน่วง   การวิจัยเชิงคุณ

พหุวัฒนธรรมนิยม สิทธิชนกลุ่มน้อยและความสมานฉันท์

พหุวัฒนธรรมนิยม สิทธิชนกลุ่มน้อยและความสมานฉันท์          พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต จากความขัดแย้งของสังคมไทยที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องอุดมการณ์ เรื่องเชื้อชาติและศาสนาในสามจังหวัดภาคใต้  และปัญหาแรงงานอพยพที่นับวันจะมีมากขึ้น ทำให้ผู้เขียนเห็นถึงความจำเป็นที่ต้องนำเสนอความคิดทางสังคมการเมืองซึ่งอาจนำไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายและการปฏิบัติเพื่อทำให้สังคมลดความขัดแย้ง  สร้างการบูรณาการ และความสมานฉันท์อย่างเป็นระบบขึ้นมา   เนื่องจากแนวความคิดนี้มีความยาวและต้องทำความเข้าใจในหลายมิติ ผู้เขียนพยามยามนำเสนอให้ง่ายต่อการอ่านและการเข้าใจ          พหุวัฒนธรรมนิยม ( multiculturalism) เป็นแนวคิดคู่แข่งทางวิชาการและนโยบายของลัทธิชาตินิยม ( nationalism)      นักวิชาการเริ่มใช้คำนี้ประมาณทศวรรษ 1960  เพื่ออธิบายนโยบายสาธารณะใหม่ ในประเทศแคนาดา ต่อมาขยายไปสู่ประเทศออสเตรเลีย  การพัฒนาการของแนวคิดนี้เป็นการเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยของรัฐบาลเพื่อเปลี่ยนแปลงนโยบายการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม ( assimilation) ไปสู่นโยบายสังคมพหุวัฒนธรรม นโยบายผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมทำให้วัฒ