การกีดกันทางการเมือง: การบังคับพลเมืองให้เสียเงินเพื่อเข้าถึงสิทธิการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ในช่วงที่มีการพิจารณาร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
มีข้อถกเถียงสำคัญอันเกิดจากการตีความการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในกิจกรรมพรรคการเมืองแบบพิสดารของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ
(กรธ.) ทำให้ กรธ. กำหนดข้อความบางมาตราของร่างกฎหมาย
ซึ่งสามารถตีความได้ว่า พลเมืองผู้ใดก็ตามที่ประสงค์จะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองต้องเสียค่าบำรุงพรรค
หากพลเมืองผู้ใดไม่มีเงินค่าบำรุงพรรค
ก็จะสูญเสียสิทธิเป็นสมาชิกพรรคการเมืองทันที การตีความการมีส่วนร่วมแบบพิสดารดังกล่าวส่งผลให้เกิดการจำกัดสิทธิ
เสรีภาพ และความเท่าเทียมของประชาชนในการมีส่วนร่วมทางการเมือง และกำลังสร้างสิ่งที่เรียกว่า
การกีดกันทางการเมือง (political exclusion) ขึ้นมาในสังคมไทย
ร่าง พ.ร.บ.
พรรคการเมืองกำหนดให้พลเมืองคนใดก็ตามหากต้องการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองจะต้องจ่ายเงินค่าบำรุงพรรคคนละ
๑๐๐ บาทต่อปี สำหรับปีแรกเก็บไม่น้อยกว่า ๕๐ บาท
หากสมาชิกคนใดไม่ชำระเงิบบำรุงสองปีติดต่อกันจะสิ้นสุดการเป็นสมาชิกพรรค และกำหนดด้วยว่าหากพรรคการเมืองใดไม่สามารถเก็บค่าบำรุงสมาชิกได้ในจำนวนและเวลาที่กฎหมายกำหนดก็จะสิ้นสภาพการเป็นพรรคการเมือง
การกำหนดเช่นนี้
กรธ.ระบุว่าเป็นไปตามเจตนารมณ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนด คือ ต้องให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมในกิจกรรมของพรรคการเมือง โดยตีความว่าการชำระค่าบำรุงพรรค
เป็นการแสดงสิทธิต่อการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมของพรรคที่เท่าเทียมกัน โดยไม่ถูกครอบงำและชี้นำจากนายทุน
ในการเก็บค่าบำรุงสมาชิกพรรคการเมืองนั้น
กรธ.อ้างว่าเป็นไปตามข้อเสนอของพรรคการเมืองและประชาชน
ที่กรธ.จัดเวทีรับฟังความเห็น แต่ผมสงสัยว่าการตัดสินใจของกรธ.ที่กำหนดมาแบบนี้ได้ไตร่ตรองเหตุผลเชิงวิชาการของการมีส่วนร่วมทางการเมือง
หลักการประชาธิปไตย และประสิทธิผลของมาตรการนี้อย่างรอบคอบและรอบด้านเพียงใด หรือว่าเป็นการตัดสินใจตามกระแสความต้องการของกลุ่มคนที่
กรธ.อ้างว่าไปรับฟังความคิดเห็น หรือตัดสินใจตามความปรารถนาบางอย่างของกรธ. เอง
หรือ มีข้อจำกัดในการคิดเรื่องรูปแบบการมีส่วนร่วม จึงทำให้เกิดการตีความการมีส่วนร่วมแบบพิสดารเช่นนี้ขึ้นมา
ในเชิงวิชาการ หลักการการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่สำคัญคือ
“การมีส่วนร่วมแบบสมัครใจ” อันเกิดมาจากความตระหนักภายใจจิตสำนึกของพลเมือง
และการมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นมีหลายระดับตั้งแต่การร่วมในการให้ข้อมูลข่าวสาร
การร่วมแสดงความคิดเห็น การร่วมในการตัดสินใจ การร่วมในการดำเนินงานหรือกิจกรรม
การรร่วมในการประเมินผล และการร่วมรับผลประโยชน์ ส่วนรูปแบบของการมีส่วนร่วมก็มีหลายอย่าง
เช่น ร่วมโดยใช้ปัญญา ร่วมโดยใช้แรงกาย และร่วมโดยใช้เงินทุนหรือทรัพยากร แต่ทั้งหมดต้องเป็นโดยสมัครใจ
มิใช่เป็นการบีบบังคับโดยกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ทางสังคม
ภายใต้หลักการดังกล่าว
การบังคับโดยกฎหมายเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมจึงเป็นการตีความการมีส่วนร่วมที่ผิดพลาด
และยิ่งผิดพลาดมากขึ้นเมื่อใช้เงินเป็นใบเบิกทางสำหรับการทำให้ได้สิทธิทางการเมืองของพลเมืองในการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง
และสิทธิในการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็สิ้นสุดลงหากไม่มีเงิน ความคิดที่ว่า สิทธิทางการเมืองได้มาด้วยเงินตรา
ออกจะเป็นเรื่องที่ประหลาดพิกลไม่น้อยสำหรับพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย
การบีบบังคับให้พลเมืองต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้สิทธิทางการเมือง
ไม่ว่าเงินนั้นจะมากหรือน้อยไม่ใช่เรื่องสำคัญ
แต่ที่สำคัญคือมันขัดหลักการประชาธิปไตย อีกทั้งยังขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๗ ที่
กรธ.เขียนขึ้นมาเองด้วย
โดยในมาตรานี้ระบุว่า
“มาตรา ๒๗ บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครอง
ตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน
การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล
ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องถิ่นกําเนิด เชื้อชาติ
ภาษา เพศ อายุ
ความพิการ
สภาพทางกายหรือสุขภาพ
สถานะของบุคคล
ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม
ความเชื่อทางศาสนา
การศึกษาอบรม
หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือเหตุอื่นใดจะกระทํามิได้”
การบังคับให้พลเมืองเสียเงินค่าบำรุงพรรคเพื่อให้ได้สิทธิทางการเมือง
จึงเป็นการออกกฎหมายที่เลือกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกันและไม่เป็นธรรม
โดยใช้เงื่อนไขทางเศรษฐกิจเป็นเกณฑ์ในการเข้าถึงสิทธิ และยังเป็นการจำกัดเสรีภาพทางการเมืองอีกด้วย ซึ่งหมายความว่าพลเมืองไม่สามารถมีเสรีภาพทางการเมืองในการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองได้
หากพลเมืองผู้นั้นไม่มีเงินจ่ายค่าบำรุงสมาชิก
การบังคับให้พลเมืองที่ประสงค์จะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองต้องจ่ายเงินค่าสมาชิก
จึงเป็นสิ่งที่ขัดกับหลักการประชาธิปไตย
เป็นการสร้างเงื่อนไขของการกีดกันทางการเมือง และสร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคมขึ้นมา
และสิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ใช่เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน หรือ กรธ.ว่าใช่
ส่วนในแง่ประสิทธิผลของมาตรการนี้ ตามที่กรธ.คาดหวังนั้น ผมคิดว่า
กรธ.มองสังคมไทยไม่ลึกซึ้งเพียงพอ เพราะว่าการบังคับให้พลเมืองเสียเงินเป็นค่าสมาชิกพรรคเพียงไม่กี่บาทนั้นไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พลเมืองเกิดความตระหนักในสิทธิทางการเมืองหรือตระหนักถึงความเป็นเจ้าของพรรคการเมืองแต่อย่างใด
ดังจะเห็นได้จากองค์การอาสาสมัครแบบสมาคมทั้งหลาย
ซึ่งหลายแห่งมีการเก็บค่าสมาชิก
แต่ก็ไม่ได้ทำให้สมาชิกส่วนใหญ่ของสมาคมเกิดความตระหนักในการร่วมทำกิจกรรมของสมาคมแต่อย่างใด
ใครที่เคยเป็นกรรมการสมาคมคงทราบดีว่า กว่าจะเรียกประชุมใหญ่ได้สักครั้งมีความยากลำบากในการตามตัวสมาชิกให้ครบองค์ประชุมมากเพียงใด
ความคิดในการใช้เงินเพื่อสร้างความผูกพันในองค์การอาสาสมัครเชิงพันธกิจทั้งหลาย
รวมทั้งพรรคการเมืองด้วย จึงเป็นความคิดที่ผิดพลาด
ซึ่งพิสูจน์ได้จากข้อมูลเชิงประจักษ์จำนวนมากในสังคมไทย อันที่จริงเรื่องนี้
กรรมการร่างฯ บางท่านซึ่งเป็นอาจารย์ด้านรัฐศาสตร์และทำงานในองค์การสาธารณะประโยชน์รู้ดีกว่าผมด้วยซ้ำไป แต่สงสัยว่าทำไมจึงปล่อยให้การบังคับเก็บเงินค่าสมาชิกพรรคการเมืองหลุดออกมาได้ทั้งที่ขัดกับหลักการประชาธิปไตย
และไร้ประสิทธิผลในการทำให้สมาชิกเกิดความผูกพันต่อองค์การ แก่นหลักที่ทำให้สมาชิกมีความผูกพันต่อองค์การแบบพรรคการเมืองคือ
การมีอุดมการณ์และความเชื่อบางอย่างร่วมกันอย่างเข้มข้นต่างหาก
ไม่ใช่เงินค่าสิทธิของการเป็นสมาชิกแต่อย่างใด
หากถามว่า พรรคการเมืองจะเก็บเงินค่าบำรุงสมาชิกได้หรือไม่ ผมคิดว่าเก็บได้ แต่ต้องเป็นไปโดย “สมัครใจ”
และให้เป็นเรื่องของพรรคการเมืองแต่ละพรรคเองที่จะกำหนดข้อบังคับ ไม่ใช่ถูกบังคับโดย
“กฎหมายที่ออกโดยรัฐ” ทางที่ดีคือให้พรรคการเมืองไปคิดเองว่า จะสร้างการมีส่วนร่วมให้กับสมาชิกในแบบใดและระดับใดบ้าง
จะเก็บ “ค่าบำรุงพรรคแบบสมัครใจ” หรือไม่และอย่างไร สำหรับในแง่กฎหมาย สิ่งที่ควรทำคือ
การกำหนดมาตรการส่งเสริมหรือจูงใจพรรคการเมืองด้านอื่นๆเพื่อให้กำหนดแนวทางการเก็บค่าบำรุงพรรคแบบสมัครใจ
เช่น การนำจำนวนเงินที่พรรคได้รับจากค่าบำรุงสมาชิก
เป็นเกณฑ์หนึ่งในการพิจารณาจัดสรรเงินให้แก่พรรคการเมืองของกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองก็ได้
ส่วนการสร้างการมีส่วนร่วมของสมาชิกต่อกิจกรรมพรรคมีหลากหลายวิธี ที่ไม่จำเป็นต้อง “ร่วมเสียเงิน” มีรูปแบบการมีส่วนร่วมอื่นๆมากมายในทางสร้างสรรค์กว่าการบังคับเก็บเงิน
เช่น ในการสมัครเป็นสมาชิกพรรคนั้น
ก็ให้พลเมืองผู้ที่ประสงค์เป็นสมาชิกพรรคมีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลข่าวสารและแสดงความคิดเห็นต่อพรรคเป็นเบื้องต้นก่อนก็ได้ โดยมีคำถามในใบสมัครของสมาชิก เช่น “ท่านมีความคาดหวังต่อพรรคอย่างไร”
“ท่านมีปัญหาและความต้องการที่ให้พรรคนำไปกำหนดเป็นนโยบายเรื่องอะไรบ้าง” “ท่านมีข้อเสนอแนะต่อพรรคในเรื่องใดบ้าง” หรือ
การจัดทำสื่อสังคมออนไลน์ให้สมาชิกพรรคเข้าไปแสดงความคิดเห็นก็ย่อมได้เช่นเดียวกัน
สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆของรูปแบบการมีส่วนร่วม
ที่พรรคการเมืองสามารถสร้างขึ้นมาได้อย่างไม่ยากนัก และผมคิดว่าพรรคการเมืองต่าง ๆ
มีบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์มากมายที่จะสร้างรูปแบบและลักษณะการมีส่วนร่วมที่หลากหลาย ยิ่งในยุคปัจจุบันและอนาคต
ซึ่งเทคโนโลยีการสื่อสารมีประสิทธิภาพและราคาถูกลง
ก็ยิ่งทำให้พรรคการเมืองสามารถสร้างรูปแบบการมีส่วนร่วมได้อย่างหลากหลายที่เอื้ออำนวยต่อการมีส่วนร่วมของสมาชิกได้อย่างสะดวก ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
ดังนั้นผมจึงอยากฝากไปยัง กรธ.
ว่าอย่ามีทิฐิในเรื่องนี้เลย ยกเลิก
“การบังคับให้พลเมืองต้องเสียเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิทางการเมือง”
เสียเถอะครับ
เพราะกฎหมายแบบนี้สุ่มเสี่ยงต่อการขัดหลักประชาธิปไตยและขัดกับรัฐธรรมนูญด้วย
อีกทั้งยังเป็นมาตรการที่ไร้ประสิทธิผล ซึ่งไม่ทำให้พรรคการเมืองมีความเข้มแข็งและมีความเป็นสถาบันมากขึ้นแต่อย่างใด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น