ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

พลวัตความขัดแย้งทางการเมืองไทย (จบ)


  พลวัตความขัดแย้งทางการเมืองไทย : ขุนนาง ทหาร นายทุนและประชาชน (จบ)



        ประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองของประชาชนซ้ำรอยอีกครั้งเมื่อชัย ชนะ ของประชาชนถูกฉกฉวยไปโดยกลุ่มอำนาจนำทางการเมือง
       
        รัฐบาลหุ่นเชิดของกลุ่มทุนสามานย์ระบอบทักษิณ ถูกแทนที่ด้วยกลุ่มการเมืองซึ่งเป็นการรวมตัวกันชั่วคราวระหว่างกลุ่มนักการเมืองอาชีพ กลุ่มนายพล และกลุ่มทุนอิทธิพล อำนาจรัฐเพียงเปลี่ยนมือจากชนชั้นนำกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง หาได้ตกสู่มือประชาชนแต่อย่างใด
       
        ยิ่งกว่านั้นกลุ่มทุนสามานย์ระบอบทักษิณก็มิได้ยอมจำนนหรือล่มสลายไป กลับวางแผนและดำเนินการทางการเมืองอย่างเข้มข้นทั้งเชิงกว้างและเชิงลึก ทั้งบนดินและใต้ดิน ทั้งสันติและรุนแรง เพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐกลับคืนมา
       
        ภายหลังได้อำนาจรัฐมาครอบครอง รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็มิได้ดำเนินการขจัดอิทธิพลของระบอบทักษิณ ตรงกันข้ามกลับพยายามสร้างวาทกรรมปรองดองขึ้นมา ทั้งยังมีท่าทีผ่อนปรนต่อการดำเนินงานทางการเมืองของระบอบทักษิณ
       
        ความพยายามของเครือข่ายระบอบทักษิณในการโค่นล้มรัฐบาลอภิสิทธิเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่รัฐบาลอภิสิทธิ์บริหารประเทศ
       
        ระบอบทักษิณได้ร่วมมือกับกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองอดีตฝ่ายซ้ายที่มีทัศนคติไม่ดีต่อการดำรงอยู่ของสถาบันสูงสุดเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การต่อสู้ซึ่งประกอบด้วย การต่อสู้ทางความคิด การต่อสู้ด้วยมวลชน และการต่อสู้ด้วยกองกำลังติดอาวุธการปลุกระดม โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐกลับคืนมา
       
        การให้ข่าวสารเท็จ การสร้างวาทกรรมความเหลื่อมล้ำ และวาทกรรม อำมาตย์-ไพร่ บังเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้ในการชี้นำความคิดของมวลชนในการเคลื่อนไหวทางการเมือง จากนั้นใช้การระดมจัดตั้งผสมกับการว่าจ้างนำมวลชนออกสู่ท้องถนน ชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์
       
        ฉากหน้าของการชุมนุมสร้างภาพโดยชูแนวทางสันติวิธี แต่ฉากหลังซ่อนเร้นด้วยการกระทำที่รุนแรง และยั่วยุให้รัฐบาลใช้ความรุนแรงในการปราบปรามผู้ชุมนุม โดยหวังจะนำชีวิตของมวลชนไปทำลายความชอบธรรมของรัฐบาล
       
        รัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากบรรดานายพลก็ได้ดำเนินการต่อรองและต่อสู้กับมวลชนและกองกำลังของระบอบทักษิณ ยกแรกของการต่อสู้ในปี 2552 จบลงด้วยชัยชนะชั่วคราวของรัฐบาลอภิสิทธิ์และเครือข่ายอำนาจที่สนับสนุนรัฐบาล
       
       หลังชัยชนะทางการเมือง รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็มิได้ดำเนินการใดๆ ที่จะทำให้อิทธิพลของระบอบทักษิณลดลง อีกทั้งยังประเมินสถานการณ์ต่ำกว่าความ เป็นจริง และที่สำคัญมิได้ดำเนินการปฏิรูปประเทศอย่างจริงจังแต่อย่างใด เพียงทำในเชิงสัญลักษณ์พิธีกรรมซึ่งไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น
       
        หลังการพ่ายแพ้ในปี 2552 ระบอบทักษิณได้สรุปบทเรียนการต่อสู้และนำไปกำหนดยุทธศาสตร์การต่อสู้ใหม่ในปี 2553 แม้จะได้รับความบอบช้ำจากความพ่ายแพ้ทางการเมืองแต่ระบอบทักษิณก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และวางแผนปฏิบัติการที่มีความพิสดารยิ่งขึ้นกว่าเดิม
       
        การระดมจัดตั้งขนผู้คนมาชุมนุม การใช้กองกำลังติดอาวุธก่อกวนและก่อการร้ายมีปริมาณมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มีการใช้ความรุนแรงหลายรูปแบบเพื่อกระตุ้นให้รัฐบาลเข้าปราบปรามมวลชนเสื้อแดง และที่สำคัญคือการเตรียมการอย่างเป็นระบบในการสังหารมวลชนเสื้อแดงที่พวกตนนำมาชุมนุมเพื่อทำลายความชอบธรรมของรัฐบาล
       
        ฉากของความรุนแรงของการต่อสู้ในปี 2553 ก็เกิดขึ้นอย่างที่กลุ่มทุนสามานย์วางแผนเอาไว้ ทหารที่นำมาควบคุมฝูงชนถูกยิงและระเบิดเสียชีวิตหลายนาย ประชาชนทั่วไปที่ไม่เห็นด้วยกับระบอบทักษิณก็ถูกทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า และมวลชนเสื้อแดงเองก็ถูกสังหารไปหลายคน
       
       กองกำลังของระบอบทักษิณที่ปฏิบัติการก่อการร้ายมักสวมชุดดำและคลุมใบหน้า สังคมจึงเรียกคนเหล่านี้ว่า "ชายชุดดำ" ชายชุดดำเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนการใช้อาวุธสงครามจากนายพลและอดีตนายพลบางคนที่เป็นสมุนของระบอบทักษิณ
       
       การต่อสู้ในปี 2553 ระบอบทักษิณประสบความสำเร็จทางการเมืองตามเป้าหมายที่กำหนดเอาไว้คือ
      
       1. มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากซึ่งระบอบทักษิณนำความตายที่ตนเองเป็นผู้สร้างมาบิดเบือนเพื่อทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลอภิสิทธิ์ และสถาบันสูงสุด โดยใช้ถ้อยคำเชิงสัญลักษณ์ที่คนฟังแล้วสามารถตีความได้ว่าใครเป็นผู้สังหารมวลชนเสื้อแดง
      
       เป้าหมายนี้ของระบอบทักษิณบรรลุผลในแง่ที่ทำให้เกิดคำถาม การท้าทาย และนำไปสู่การลดความน่าเชื่อถือที่ประชาชนมีต่อสถาบันสูงสุด
      
       2. สร้างกรอบความคิดขึ้นมาในจิตใจของรัฐบาลอภิสิทธิ์เกี่ยวกับการยุบสภาก่อนครบวาระ เพราะว่าข้อเรียกร้องหนึ่งของมวลชนเสื้อแดงระบอบทักษิณก็คือการยุบสภา แม้ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์จะไม่ยุบสภาตามกรอบเวลาที่ระบอบทักษิณเรียกร้อง แต่ความคิดเกี่ยวกับความจำเป็นของการยุบสภาก่อนครบวาระได้ถูกปลูกฝังเอาไว้แล้ว และในที่สุดรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ยุบสภาตามนั้นจริงๆ ทั้งที่สามารถบริหารประเทศจนครบวาระก็ได้

       
       เครือข่ายอำนาจที่สนับสนุนรัฐบาลอภิสิทธิ์บริหารประเทศอย่างแหลกเหลวไม่ต่างอะไรจากระบอบทักษิณ มีการทุจริตเหมือนเดิม ใช้ประชานิยมเป็นแนวทาง และบริหารก็ไร้ประสิทธิภาพเหมือนเดิม หากจะมีความต่างบ้างก็ตรงที่เครือข่ายอำนาจของชนชั้นนำกลุ่มนี้ไม่ทะเยอทะยานในการรวบอำนาจหรือคิดเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองดังที่ระบอบทักษิณคิดและดำเนินการมาโดยตลอด
       
        ยิ่งกว่านั้นความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในการดำเนินนโยบายเกี่ยวกับเขาพระวิหาร จนทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะที่เสียเปรียบประเทศกัมพูชา ก็ทำให้ภาคประชาชนเกิดความไม่พอใจและดำเนินการประท้วงในต้นปี 2554
       
        ภายใต้แรงกดดันจากประชาชน การถูกปลูกฝังความคิดจากระบอบทักษิณ และการประเมินความนิยมของตนเองผิดพลาด ทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภา และนำไปสู่การสูญเสียอำนาจในที่สุด
       
        ระบอบทักษิณกลับเข้ามามีอำนาจด้วยการใช้ยุทธศาสตร์และวาทกรรมแบบเดิมๆในการหาเสียง โดยมียิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นหัวหน้ารัฐบาลหุ่นเชิด
       ส่วนผู้มีอำนาจตัวจริงคือทักษิณ ชินวัตรที่หนีคุกอยู่ในต่างแดน แต่บริหารประเทศได้เพียงปีเศษเท่านั้นก็สร้างความหายนะอันใหญ่หลวงแก่สังคมไทย
       
        เกิดมหาทุจริตในโครงการจำนำข้าว และนำไปสู่วิกฤติของระบบค้าขายข้าวไทย เกิดการเสื่อมเสียภาพลักษณ์ของประเทศเพราะความด้อยปัญญาของผู้นำ เกิดการขยายตัวของกลุ่มที่ทำลายสถาบันและค่านิยมดั้งเดิมของสังคม และสังคมไทยถูกทำให้เสื่อมโทรมในทุกระบบอย่างไม่เคยมีมาก่อน
       
        ในที่สุดมวลมหาประชาชนที่ได้รับการนำโดยอดีตนักการเมืองผู้กลับตัวกลับใจอย่างกำนันสุเทพ ก็เกิดขึ้น ประชาชนจำนวนมหาศาลจากทุกกลุ่มอาชีพ ทุกชนชั้นชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดของระบอบทักษิณอย่างต่อเนื่องร่วมหกเดือน โดยมีเป้าหมายในการปฏิวัติประชาชน
       
        แต่ทว่าอำนาจที่มาจากมือและเท้าเปล่าๆของประชาชนไม่อาจขจัดระบอบทักษิณได้ และยังไม่อาจสถาปนาเป็นรัฏฐาธิปัตย์ได้ หกเดือนในการแสดงอำนาจของประชาชนกลางท้องถนนนั้น ยังไม่สามารถทำให้อำนาจของประชาชนเป็นที่ยอมรับของผู้คนและองค์กรในสังคมได้ ซึ่งแสดงว่าความเป็นสถาบันของอำนาจประชาชนยังไม่เกิดขึ้นในสังคมไทย
       
       ในทางกลับกันอำนาจของกองทัพและนายพลกลับได้รับการยอมรับโดยปราศจากข้อโต้แย้ง ดังนั้นเมื่อบรรดานายพลประกาศยึดอำนาจ ชัยชนะที่กำลังจะได้มาของประชาชนก็ดูลางเลือนออกไป
       
        อย่างไรก็ตามการยึดอำนาจอย่างง่ายๆของบรรดานายพลจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้อย่างราบรื่น หากประชาชนไม่ต่อสู้จนทำให้ระบอบทักษิณอ่อนกำลังและหมดความชอบธรรม
       
       หากประชาชนอยู่เฉย ไม่ต่อสู้กับระบอบทักษิณ บรรดานายพลทั้งหลายก็ยังคงตกอยู่ในอำนาจครอบงำของระบอบทักษิณ และจะถูกระบอบทักษิณบั่นทอนกัดกร่อนไปเรื่อยๆจนอ่อนแอลงไป และในที่สุดก็อาจตกอยู่ในสภาพเดียวกับตำรวจ ที่กลายเป็นเพียงเครื่องมือของระบอบทักษิณเท่านั้น
       
       บรรดานายพลที่ครองอำนาจในยามนี้ หากยังมีความคิดแบบเดิมๆและลืมคุณค่าความหมายของประชาชน วังวนอำนาจแบบแผนเดิมของระบอบทักษิณก็จะเกิดขึ้นอีกในไม่ช้า
       
        การขจัดระบอบทักษิณและดำเนินการปฏิรูปประเทศได้จำเป็นต้องร่วมมืออย่างเข้มข้นและรอบด้านกับภาคประชาชนและองค์กรทางสังคมที่เคยต่อสู้กับระบอบทักษิณมาก่อนเท่านั้น ไม่มีการเลือกอื่นที่จะมีประสิทธิผลเท่าทางเลือกนี้อีกแล้ว แต่เหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรเราคงต้องติดตามกันต่อไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิจารณ์หนังสือ การสร้างทฤษฎีฐานราก: แนวทางเชิงปฏิบัติผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ของ Kathy Charmaz. พิมพ์ในวารสารพัฒนาสังคม V 14. No. 2

บทวิจารณ์หนังสือ  พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต Kathy Charmaz  2006. Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis. London: SAGE   จำนวน  208  หน้า ความเป็นมาของทฤษฎีฐานราก ระเบียบวิธีทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) อุบัติขึ้นจากนักสังคมวิทยาสองคนคือ Barney G. Glaser และ Anselm L. Strauss ช่วงกลางทศวรรษ 1960s    ทั้งสองไปทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสภาวะกำลังตายและการตาย ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล    พวกเขาได้พัฒนายุทธศาสตร์เชิงระเบียบวิธีอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งทำให้นักสังคมศาสตร์สามารถนำไปประยุกต์ในการศึกษาเรื่องอื่นๆได้จำนวนมาก   ในปี 1967 Glaser และ Strauss  ได้เสนอระเบียบวิธีนี้เข้ามาสู่แวดวงวิชาการในหนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขา คือ The Discovery of Grounded Theory   ซึ่งทำให้การวิจัยเชิงคุณภาพรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ของระเบียบวิธี        ช่วงเวลาก่อนที่ Glaser และ Strauss เสนอระเบียบวิธีการวิจัยทฤษฎีฐานรากเป็นช่วงที่การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ใ...

ความผิดพลาดของมนุษย์ตามแนวคิดของ ฟรานซิส เบคอน

ความผิดพลาดของมนุษย์ : ชนเผ่า ถ้ำ ตลาด และโรงมหรสพ พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต เห็นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในระยะนี้  ยิ่งทำให้เห็นความจริงประการหนึ่งว่า ทะเลแห่งความมืดบอดของสังคมไทยนับวันจะขยายตัวออกไปมากขึ้น   และเกาะแห่งปัญญานับวันจะลดน้อยถอยลง  หากภาวะเช่นนี้ดำรงต่อไปนานเท่าไร  ก็ยิ่งทำให้ทะเลแห่งความมืดบอดมีโอกาสกลืนกินเกาะแห่งปัญญาจนหมดสิ้นในไม่ช้า  ผมไปอ่านงานของนักปรัชญาท่านหนึ่ง  เห็นว่ามีความน่าสนใจโดยเฉพาะการวิเคราะห์เกี่ยวกับความผิดพลาดทางปัญญาและการให้เหตุผลของมนุษย์   ซึ่งทำให้เราต้องนำมาทบทวน ระมัดระวัง จะได้ไม่ตกอยู่ในความผิดพลาดนั้น   เพื่อจะได้พัฒนาปัญญาของตนเองให้กระจ่างชัด และมีหนทางในการนำพาสังคมให้หลุดพ้นจากทะเลแห่งความมืดบอดต่อไป ฟรานซิส เบคอน นักปรัชญาชาวอังกฤษซึ่งมีชีวิตระหว่าง ค.ศ. 1561 ถึง 1626   วิเคราะห์จำแนกสาเหตุของความผิดพลาดในการใช้เหตุผลของมนุษย์ออกเป็นสี่แบบ  ได้แก่ ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของชนเผ่า ( Idols of the Tribe)    ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของถ้ำ ( Idols of th...

ปรัชญาสังคมศาสตร์

ปรัชญาสังคมศาสตร์ พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต พิมพ์ครั้งที่ ๒   จำหน่ายที่ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  และศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์               การเขียนหนังสือเล่มหนึ่งเป็นการเดินทางที่ผู้เขียนเองมิอาจกำหนดเนื้อหาและ จุดหมายปลายทางล่วงหน้าที่ชัดเจนได้ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสมอระหว่างกระบวนการเขียน จวบจนถึง ณ จุดหนึ่งของเวลาที่จำเป็นจะต้องเขียนให้จบลง ไม่ว่าจะด้วยเงื่อนไขประการใด ก็ตาม เรื่องราวต่างๆ จึงถูกประกอบขึ้นมาเป็นรูปร่าง แต่ความท้าทายต่างๆก็ยังดำรงอยู่อย่าง ไม่จบสิ้น               ในการเขียนตำราเรื่องปรัชญาสังคมศาสตร์: การอธิบายสังคม รากฐานสำหรับการวิจัย ทางสังคม ผู้เขียนได้รับทุนจากคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ การเขียนโดยรับทุนมีข้อดีที่สำคัญคือ มีการกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนที่ผู้เขียนจะต้องเขียนให้จบ ซึ่งเป็นแรงกดดันให้ต้องลงมือเขียนอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางความโกลาหลของงานอื่นๆ อีกนานาประการ ภายใต้เงื่อนไขเหล่านั้นหา...