โลกแห่งการจำแนกและจัดลำดับ
พิชาย
รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
เมื่อผู้คนสังเกตเห็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและสังคมอย่างใดอย่างหนึ่งหลายครั้งเข้า ก็มีคนจำนวนไม่น้อยเริ่มเห็นว่าคุณลักษณะบางอย่างของปรากฏการณ์แตกต่างกัน
บางอย่างก็เหมือนกัน
พวกเขาจึงนำสิ่งที่มีคุณลักษณะเหมือนกันมาจัดกลุ่มเอาไว้เป็นประเภทเดียวกัน การจำแนกประเภทจึงเกิดขึ้นมา
ปรากฏการณ์เดียวกันอาจมีการจำแนกประเภทได้หลากหลายรูปแบบ
ขึ้นอยู่กับว่าผู้จำแนกใช้กรอบคิด มุมมอง และเกณฑ์แบบใดเป็นหลักในการจำแนก รวมทั้งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้จำแนกด้วยว่าจะใช้การจำแนกเพื่อประโยชน์ในเรื่องใด
โดยทั่วไปมนุษย์ชอบจำแนกประเภทเพื่อให้เกิดความเข้าใจในสิ่งที่ตนเองเห็นและรับรู้มากขึ้น
มนุษย์จำแนกธรรมชาติเชิงกายภาพและชีวภาพที่ตนเองสังเกตและรับรู้ได้ทั้งด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าโดยตรงและผ่านเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เช่น จำแนกสภาพภูมิศาสตร์
จำแนกประเภทของเชื้อโรค และจำแนกประเภทของพลังงาน
เป็นต้น
มนุษย์ยังจำแนกมนุษย์ด้วยกันเอง
จำแนกสังคมและความสัมพันธ์ทางสังคมซึ่งมีทั้งในส่วนที่สังเกตได้กับส่วนที่ต้องใช้ความคิดเชื่อมโยงเชิงตรรกะ เราจึงมีทั้งประเภทคนดีและคนชั่ว สังคมเกษตรกรรมและ สังคมอุตสาหกรรม และ ระบบอุปถัมภ์และระบบเครือญาติ เป็นต้น
ยิ่งกว่านั้นมนุษย์ยังจำแนกสิ่งที่เหนือธรรมชาติด้วยการรับรู้ที่อยู่นอกเหนือประสาทสัมผัสและเหตุผลแบบธรรมดา
เช่น การจำแนกระดับชั้นของสวรรค์ หรือ นรก และ การจำแนกประเภทของเทพเจ้าและภูตผีปีศาจ เป็นต้น
มนุษย์ใช้การจำแนกเป็นประโยชน์หลายอย่างตั้งแต่การดำเนินชีวิตประจำวัน
ไปจนถึงการแสวงหาความรู้ระดับสูง บุคคลที่มีประสบการณ์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากย่อมมีความสามารถในการจำแนกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเองมากกว่าบุคคลที่มีประสบการณ์ในเรื่องนั้นน้อย
เช่น ชาวนาย่อมมีความสามารถในการจำแนกประเภทของข้าวมากกว่าชาวประมง
ขณะเดียวกันชาวประมงย่อมมีความสามารถในการจำแนกประเภทของปลามากกว่าชาวนา เราจึงกล่าวได้ว่า แต่ละคนแต่ละกลุ่มย่อมมีความสามารถและความเชี่ยวชาญในการจำแนกสรรพสิ่งแตกต่างกัน
การจำแนกประเภทของปรากฏการณ์ธรรมชาติหรือสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ดูไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากนัก
เพราะว่าไม่กระทบกับความรู้สึก คุณค่า และอัตลักษณ์แห่งความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น เช่น ประเทศไทยจำแนกฤดูกาลออกเป็น 3 ฤดู ส่วนประเทศในแถบซีกโลกเหนือจำแนกเป็น 4 ฤดู เป็นต้น
การจำแนกประเภทของคนไทยและคนแถบซีกโลกเหนือเกี่ยวกับฤดูกาลย่อมไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งกันแต่อย่างใด
การจำแนกประเภทของธรรมชาติแบบใดหากสอดคล้องกับประสบการณ์และการรับรู้ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ผู้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณนั้นก็ย่อมถูกต้องสำหรับที่แห่งนั้น คนแต่ละภูมิภาคย่อมไม่ถกเถียงกันให้เปลืองเวลาว่าการจำแนกฤดูกาลของฉันถูก
ของเธอผิด
เพราะว่าพวกเขาเข้าใจสภาพความแตกต่างของแต่ละภูมิภาคในโลกนั่นเอง
การจำแนกประเภทเริ่มมีปัญหาและนำไปสู่ความขัดแย้งมากขึ้นเมื่อการจำแนกนั้นเกี่ยวข้องกับบุคคลและสังคม และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นหากการจำแนกนั้นไปกระทบคุณค่าและอัตลักษณ์ของบุคคลอื่น หรือนำไปสู่การเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
หรือการที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งบีบบังคับกลุ่มอื่นๆให้ยอมรับการจำแนกประเภทของกลุ่มตนเองว่าเป็นความเป็นจริงหนึ่งเดียวในสากล
จากพื้นฐานของการจำแนกประเภท มนุษย์มีแนวโน้มที่จะนำการจำแนกไปสู่การจัดลำดับ ด้านหนึ่งทำให้มนุษย์สามารถใช้ประโยชน์จากสรรพสิ่งได้สอดคล้องกับความต้องการของตนเองมากขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่งก็อาจนำไปสู่การสร้างปัญหาความขัดแย้งมากขึ้นด้วย
การจำแนกประเภทและการจัดลำดับบุคคลหรือสถาบันทางสังคมที่มนุษย์สร้างขึ้นมานั้นนั้นดำรงอยู่ในทุกสังคมและแทบทุกวงการ
ที่เราคุ้นเคยกันดีคือการจัดลำดับความเก่งหรือความสามารถในการเรียนและการทำข้อสอบในวงการศึกษาด้วยคะแนน
เกรด หรือชื่อเสียงของสถาบันการศึกษา
ในแวดวงการศึกษา หลายประเทศใช้การสอบกลางเพื่อจำแนกประเภทและจัดลำดับผู้คน
จากนั้นสถาบันการศึกษาก็จะใช้คะแนนที่นักเรียนทำได้เป็นหลักในการคัดเลือกเข้าศึกษา แต่ละสถาบันใช้คะแนนไม่เท่ากัน บางสถาบันก็ใช้คะแนนสูง บางสถาบันก็ใช้คะแนนต่ำ
และแม้แต่ในสถาบันเดียวกันแต่ละคณะก็ใช้คะแนนไม่เท่ากันอีกในการคัดเลือกบุคคลเข้าไปศึกษา
คณะและสถาบันใดจะใช้คะแนนเท่าไรนั้น ด้านหนึ่งขึ้นอยู่กับการประเมินของกลุ่มผู้มีอำนาจในคณะและสถาบันนั้นว่า
ต้องการบุคคลประเภทและคุณลักษณะแบบใดที่พวกเขาคิดว่าเหมาะสมสอดคล้องกับวิชาการและวิชาชีพที่ต้องปฏิบัติหลังจากจบการศึกษา และอีกด้านหนึ่งขึ้นอยู่กับค่านิยมและความต้องการสังคมต่อวิชาชีพต่างๆ ยิ่งสังคมให้คุณค่ากับอาชีพใดมาก ผู้คนก็แย่งกันเข้าสู่อาชีพนั้นมาก
ก็ยิ่งทำให้คะแนนและคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าไปอยู่ในวงการวิชาชีพนั้นสูงตามไปด้วย
คณะและสถาบันการศึกษาใดที่ได้รับการจำแนกว่าเป็นสถาบันชั้นนำมักเปิดสอนวิชาชีพที่สังคมให้คุณค่าสูง
มีคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับ คัดเลือกบุคคลที่ได้รับคะแนนสูงเข้าไปศึกษา และผู้คนในสังคมมีประสบการณ์หรือรับรู้ว่าบัณฑิตที่จบจากคณะและสถาบันนั้นมีความสามารถในการปฏิบัติงานและหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ยิ่งคณะและสถาบันใดสามารถผลิตบัณฑิตที่ปฏิบัติงานสอดคล้องกับความคาดหวังของสังคมมากขึ้นและเป็นไปอย่างสม่ำเสมอติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนาน
ก็ยิ่งทำให้คณะและสถาบันการศึกษานั้นได้รับการจัดประเภทและลำดับจากสังคมสูงยิ่งขึ้น
องค์การต่างๆในสังคมทั้งภาครัฐและเอกชนก็ย่อมมีความต้องการบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากคณะและสถาบันเหล่านั้นมากขึ้นตามไปด้วย
องค์การแต่ละแห่งมีหลักเกณฑ์ในการรับบุคคลเข้าทำงาน
ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยหรือไม่ก็ตาม
บางองค์การเปิดสอบเป็นการทั่วไปโดยไม่คำนึงถึงประเภทและลำดับของคณะและสถาบันที่ผู้สมัครจบออกมา แต่บางองค์การอาจกำหนดประเภทและลำดับของสถาบันการศึกษา
และรับเฉพาะผู้สำเร็จการศึกษาที่มาจากสถาบันที่ตนเองกำหนด หรือบางองค์การอาจรับสมัครโยไม่จำกัดสถาบันการศึกษา
แต่ไปกำหนดระดับเกรดเฉลี่ยของผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากแต่ละสถาบันต่างกัน เช่น ผู้สมัครที่จบจากสถาบันการศึกษาที่ถูกจัดประเภทว่าอยู่ในระดับ
AA
รับผู้ได้เกรดเฉลี่ย 2.5
ขึ้นไป ส่วนผู้สมัครที่สำเร็จจากสถาบันศึกษาถูกจัดประเภทระดับ
BB ต้องได้เกรดเฉลี่ย 3.0 ขึ้นไป เป็นต้น
หากองค์การไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการต่อสาธารณะว่าใช้เกณฑ์อย่างไร
แม้ว่ามีการใช้เกณฑ์เหล่านั้นในการปฏิบัติจริง
ความขัดแย้งก็ยังอาจไม่เกิดขึ้น แต่หากเกณฑ์เหล่านั้นถูกประกาศออกมาหรือถูกทำให้เป็นที่รับรู้ของสาธารณะ
ความขัดแย้งก็ย่อมเกิดขึ้น เพราะบุคคลคลากรในสถาบันการศึกษาที่ถูกจัดประเภทและลำดับต่ำย่อมเกิดความรู้สึกอับอายที่ถูกสังคมให้คุณค่าต่ำ
และพวกเขายังเกิดความรู้สึกว่าถูกกีดกันอย่างไม่เป็นธรรมอีกด้วย
การจัดประเภทและลำดับจึงนำมาสู่ความขัดแย้งทางสังคมขึ้นมา แต่ทว่าก็ยากที่จะห้ามไม่ให้มนุษย์กระทำได้ เพราะแต่ละคน
แต่ละองค์การย่อมปรารถนาในสิ่งที่พวกเขาคาดว่าจะทำให้ได้รับประโยชน์สูงสุดนั่นเอง
ในการจัดลำดับระหว่างประเทศของภูมิภาคอาเชี่ยน
การศึกษาไทยถูกจัดลำดับให้อยู่ท้ายสุด
แน่นอนว่าผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการศึกษาไทยย่อมเกิดความรู้สึกอับอายและปกป้องตนเองโดยไม่ยอมรับในเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดลำดับ
แง่มุมหนึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ผู้จัดประเภทและลำดับใช้เกณฑ์ที่พวกเขาคิดว่าจะสร้างประโยชน์แก่พวกเขามากที่สุด
โดยไม่สนใจกับความแตกต่างของแต่ละประเทศ
แต่อีกแง่มุมหนึ่งก็คงจะต้องสำรวจตรวจตราตนเองอย่างใจเป็นกลางและยอมรับความเป็นจริงว่าเราเป็นอย่างไร
เป็นอย่างที่เขาว่ามาหรือไม่ อย่างไร
เช่นเดียวกันกับการจัดประเภทและลำดับสถาบันการศึกษาในสังคมไทย
ซึ่งมีการจัดลำดับกันอย่างไม่เป็นทางการและเป็นที่รับรู้กันในสังคมกันมาอย่างยาวนาน มีการพูดคุยกันและรับรู้ในหลากหลายวงการว่าสถาบันการศึกษาแต่ละแห่งเป็นอย่างไร แม้ไม่ถูกต้องเสียทั้งหมด แต่ก็มีร่องรอยของความเป็นจริงอยู่บ้างไม่น้อย
ผมคิดว่าสถาบันการศึกษาแต่ละแห่งก็ย่อมรับรู้และประเมินตนเองอยู่บ้าง
หากไม่หลอกตัวเองและปฏิเสธความเป็นจริง ก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าประเภทและลำดับของสถาบันตนเองที่สังคมจัดให้อย่างไม่เป็นทางการนั้นอยู่ตำแหน่งใด
ดังนั้นแทนที่จะปกป้องตนเอง
และตอบโต้ผู้อื่น ก็ควรหันมาสำรวจพินิจพิเคราะห์ตนเองอย่างจริงจัง ว่าเหตุใดสังคมจึงจัดประเภทและลำดับแบบนั้น สังคมเข้าใจอะไรผิด
หรือได้รับข้อมูลสารไม่ครบถ้วนและผิดพลาดไปหรือไม่ หรือว่าเป็นจริงอย่างที่สังคมรับรู้และเข้าใจ
หากเป็นอย่างแรกก็ชี้แจงและนำเสนอข้อมูลแก่สังคมให้มากขึ้นเกี่ยวกับคุณภาพของบัณฑิตของตนเองที่จบออกไป แต่หากเป็นอย่างหลังก็คงต้องปรับปรุงและปฏิวัติการเรียนการสอนของสถาบันตนเองอย่างรอบด้าน
การปฏิเสธความจริงหรือการปกป้องตนเองว่าไม่อาจเลือกคนเก่งเข้ามาศึกษาได้ นอกจากไม่ช่วยอะไรแล้ว
ก็ยิ่งทำให้ตกอยู่ในวงจรที่เลวร้ายยิ่งขึ้น
เมื่อรู้ว่านักศึกษาซึ่งเป็นปัจจัยนำเข้ามีคุณภาพไม่สูงนัก
บุคลากรในสถาบันการศึกษานั้นก็จะต้องทำงานให้หนักขึ้น
พัฒนาและสร้างสรรค์กระบวนการเรียนการสอนให้มีคุณภาพสูงขึ้น เพื่อหล่อหลอมให้บุคคลที่เข้ามา
กลายเป็นคนที่มีคุณภาพสูงเมื่อจบออกไป
หากสถาบันการศึกษาใดยอมรับความจริงและพัฒนาตนเอง ในไม่ช้าไม่นานก็ย่อมทำให้การจัดประเภทและลำดับจากสังคมเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันเหล่านั้นเกิดความภาคภูมิใจขึ้นมา
ไม่มีใครที่สามารถห้ามไม่ให้ผู้คนในสังคมจัดประเภทและลำดับได้
เพราะสิ่งนี้เป็นธรรมชาติประการหนึ่งของสังคมมนุษย์ ดังนั้นการเลือกในการทำความเข้าใจและใช้การจัดประเภทและลำดับให้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาตนเองย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการจมอยู่ในความขมขื่น
ความอับอาย และความโกรธเคือง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น