ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

จุดจบทรราช คาดว่าไม่เกินสิ้นปีนี้


  จุดจบทรราช คาดว่าไม่เกินสิ้นปีนี้

พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

 

              ด้วยความจริงที่ว่าศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้เป็นปราการอันแข็งแกร่งในการปกป้องหลักนิติธรรมจากการทำลายล้างของทุนนิยมสามานย์ลัทธิเสื้อแดง    ทั้งยังมีพลังในการหยุดยั้งการสถาปนาอำนาจแห่งทรราชเสียงข้างมากของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารอันเป็นหุ่นเชิดของอาชญากรหนีคุก      และได้ขยายสิทธิและอำนาจของประชาชนในการตรวจสอบการกระทำของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารที่เป็นผู้รับใช้ประดุจดั่งข้าทาสของอาชญากรทรราชจอมบงการที่อยู่นอกประเทศ

              ทรราชจอมบงการและผู้รับใช้จึงประกาศศึกสงครามกับศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้อย่างเปิดเผยดั่งสุกรไม่กลัวน้ำร้อน  พร้อมกันนั้นก็ระดมสรรพกำลังเปิดฉากรุกไล่และโจมตีศาลรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง

              เมื่อทรราชจอมบงการสั่งให้บรรดาผู้รับใช้ที่อยู่ฝ่ายนิติบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 เพื่อลิดรอนสิทธิและอำนาจของประชาชนอันเป็นการปูทางเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับในอนาคต    นายสมชาย แสวงการ สว.อันเป็นฝ่ายนิติบัญญัติผู้มีความเป็นอิสระและไม่ใช่ข้าทาสของทรราชจอมบงการจึงนำเรื่องไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่า การกระทำของบรรดาฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งผู้รับใช้ของทรราชจอมบงการเป็นการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการและส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

           ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นหลักฐานชัดเจนว่า  ประเด็นที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติด้วยกันเอง   มิใช่ความขัดแย้งระหว่างศาลรัฐธรรมนูญกับฝ่ายนิติบัญญัติ

            นั่นคือ ฝ่ายนิติบัญญัติผู้สังกัดพรรคเพื่อไทยและสมาชิกวุฒิสภาบางกลุ่มคิดว่า พวกตนเองมีสิทธิในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 เพื่อลดอำนาจของประชาชน    แต่ฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นเสรีชนอิสระเห็นว่า การกระทำที่ลดอำนาจของประชาชนทำไม่ได้ หากฝ่ายนิติบัญญัติคนใดบังอาจทำเช่นนั้น ก็ย่อมเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่มิชอบและขัดต่อรัฐธรรมนูญ

              เมื่อความเห็นไม่ตรงกันก็ต้องยื่นเรื่องให้องค์กรที่เป็นกรรมการตัดสินวินิจฉัยว่า ผู้กระทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวมีความผิดหรือไม่

              องค์กรที่ได้รับอาณัติจากสังคมและจากรัฐธรรมนูญให้ทำหน้าที่ในการวินิจฉัยข้อขัดแย้งเช่นนี้ก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญ   ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ในการรับคำร้องเพื่อวินิจฉัยการกระทำดังกล่าว  การรับคำร้องจึงมิใช่เป็นการแทรกแซงอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติดังที่บรรดาผู้รับใช้ของทรราชจอมบงการปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อหลอกลวงประชาชนแต่อย่างใด

              ทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องเรื่องนี้ไว้พิจารณา  บรรดาผู้รับใช้ของทรราชจอมบงการก็เกิดอาการตื่นตระหนก ลนลาน หวาดผวา ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว   จากนั้นก็สุมหัวกันวางแผนตอบโต้ศาลรัฐธรรมนูญ

              พวกเขาประกาศว่าจะไม่ยอมรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ   นับว่าเป็นความตั้งใจที่อยู่บนพื้นฐานของความกล้าอย่างบ้าบิ่นและสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดกฎหมายอย่างยิ่ง  เพราะว่าการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญย่อมได้รับการคุ้มครองและผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ  การขัดขืนไม่ยอมการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญย่อมแสดงให้เห็นว่า พวกเขามีเจตนาละเมิดรัฐธรรมนูญ

             ลองคิดดูว่าหากสมาชิกของสภานิติบัญญัติแสดงความประสงค์ไม่ยอมรับการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเสียแล้ว  กฎหมายของบ้านเมืองย่อมปราศจากความหมายใดๆ  และสังคมก็ก้าวไปสู่ภาวะไร้ระเบียบ สับสน วุ่นวาย นั่นก็คือการถอยหลังไปสู่ยุคแห่งความป่าเถื่อนนั่นเอง

            ผู้รับใช้ทรราชจอมบงการยังได้สร้างกรอบความคิด บิดเบือนความจริง และปั้นแต่งใช้วาทกรรมเพื่อทำลายความชอบธรรมของศาลรัฐธรรมนูญว่า “ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจแทรกแซงฝ่ายนิติบัญญัติ”   พวกเขาตอกย้ำวาทกรรมชุดนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าผ่านสื่อมวลชนในเครือข่ายลัทธิแดงและสื่อมวลชนอื่นๆ  

              ความเป็นจริงก็คือ รัฐธรรมนูญกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการรับคำร้องและวินิจฉัยข้อขัดแย้งต่างๆ  ที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ   กล่าวอีกนัยหนึ่ง บทบาทหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญคือการเป็นกรรมการเพื่อวินิจฉัยข้อขัดแย้งมิใช่เป็นคู่ขัดแย้งของใครหรือขององค์กรใดๆตามที่ผู้รับใช้ทรราชจอมบงการพยายามใส่ร้ายป้ายสี

              ในทางกลับกันการกระทำของฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นกลุ่มผู้รับใช้ทรราชจอมบงการต่างหากที่พยายามเข้าไปแทรกแซงและทำลายการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของศาลรัฐธรรมนูญ

              ผู้รับใช้ทรราชจอมบงการอ้างว่า “อำนาจสถาปนากฎหมายเป็นของฝ่ายนิติบัญญัติ”   เพื่อใช้ข้ออ้างนี้กระทำการอย่างอำเภอใจในการสร้างกฎหมายที่มีเนื้อหาแบบใดก็ได้  ดังพฤติกรรมที่พวกเขากระทำอยู่ในขณะนี้และกำลังเตรียมการกระทำต่อไปในอนาคต เพื่อขจัดตัวบทกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้อำนาจของตนเอง    และสร้างกฎหมายเพิ่มอำนาจและเอื้อต่อผลประโยชน์ต่อเจ้านายและกลุ่มตนเอง   ทั้งยังประดิษฐ์กฎหมายที่ลิดรอนสิทธิของประชาชน และทำลายองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจทั้งมวล   หรือที่อาจร้ายแรงกว่านั้นก็คือ การใช้อำนาจสถาปนากฎหมายเพื่อทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั่นเอง

              ทรราชจอมบงการและผู้รับใช้กำหนดแผนและปฏิบัติตามแผนอย่างต่อเนื่อง  เส้นทางการวางยุทธศาสตร์การเมืองของพวกเขาละม้ายคล้ายคลึงกับเส้นทางของพรรคนาซีของฮิตเลอร์ ราวกับถอดแบบพิมพ์มาใช้

              แนวรุกอีกด้านหนึ่งที่กลุ่มสมุนทรราชจองบงการใช้เพื่อบั่นทอนสมาธิของศาลรัฐธรรมนูญคือ การยื่นฟ้องศาลรัฐธรรมนูญว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยไปขุดเอาเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในอดีตขึ้นมาใช้   การกระทำเช่นนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าคำที่เรียกเป็นพวก “กินข้าวอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ”   สิ่งที่อาจเกิดขึ้นบ้างก็คือสร้างความรำคาญแก่บุคคลที่เป็นเป้าหมายของการรบกวนเท่านั้นเอง               

              วิธีการอีกอย่างหนึ่งที่ผู้รับใช้ทรราชจอมบงการใช้เพื่อคุกคามศาลรัฐธรรมนูญก็คือ สั่งการให้พวกเสื้อแดงในสังกัดกลุ่มหนึ่งไปชุมนุมกดดันศาลรัฐธรรมนูญ และยื่นข้อเรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญลาออก

              การใช้สมุนเสื้อแดงเพื่อชุมนุมกดดัน ท่าทออย่างหยาบคาย หรือทำร้าย บุคคลหรือองค์กรที่กล้าพูดความจริงและปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมาเป็นวิธีการมาตรฐานของทรราชจอมบงการและลัทธิแดง  พวกเขาใช้วิธีการแบบนี้เป็นประจำเสมือนเป็น “ตราสัญลักษณ์” ประจำแก๊งของทรราชจอมบงการไปแล้ว

              แม้ว่ากลุ่มแก๊งของทรราชจอมบงการและผู้รับใช้จะพยายามลิดรอนอำนาจของประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า  แต่ความสำเร็จของพวกเขายังไม่ใกล้เคียงกับความคาดหวังเท่าไรนัก   เพราะว่าผู้คนและองค์กรจำนวนมากในสังคมไทยมิใช่เป็นผู้ด้อยสติปัญญาและละโมบในเงินตราของพวกเขา   ผู้คนเหล่านี้กระจายอยู่ในทุกหนทุกแห่งเฝ้าติดตามดูการกระทำของทรราชจอมบงการและผู้รับใช้อย่างใกล้ชิด   และพร้อมที่จะเปิดฉากปฏิบัติการทางการเมืองเพื่อตอบโต้และหยุดยั้งการกระทำที่ลุแก่อำนาจของทรราชจอมบงการและผู้รับใช้อยู่ตลอดเวลา

           ยิ่งทรราชจอมบงการและผู้รับใช้เหิมเกริมและหลงระเริงกับการใช้อำนาจตามอำเภอใจมากเท่าไร  โอกาสที่พวกเขาจะมีความเสี่ยงในการประสบชะตากรรมอันเลวร้ายก็จะมีมากยิ่งขึ้น

              ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติบ่งชี้ให้พวกเราเห็นหลายครั้งหลายคราว่า  ไม่มีทรราชจอมบงการคนใดซึ่งมีการกระทำที่ลุแก่อำนาจ ลิดรอนสิทธิของประชาชน  และทุจริตคอรัปชั่น จะสามารถครองอำนาจอย่างยั่งยืนและมีชีวิตที่สงบสุขในปั้นปลาย   จุดจบของพวกเขาล้วนแล้วแต่น่าอเนจอนาถยิ่งนักยิ่ง  จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง

              แต่ยิ่งพวกเขาเร่งรีบขยายการกระทำที่ชั่วร้ายเพิ่มขึ้นมากเท่าไร   เวลาของพวกเขาก็เหลือน้อยลงเท่านั้น   อีกไม่นานไม่นาน ผู้คนในสังคมไทยจะเห็นสัญญาณอันแสดงถึงจุดจบของแก๊งทรราชจอมบงการลัทธิแดงได้อย่างชัดเจยิ่งขึ้น ขณะนี้สัญญาณเหล่านั้นกำลังคืบคลานและเผยตัวออกมา   บางทีไม่เกินสิ้นปีนี้ก็จะได้เห็น  โปรดจับตาดูอย่างใกล้ชิดครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิจารณ์หนังสือ การสร้างทฤษฎีฐานราก: แนวทางเชิงปฏิบัติผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ของ Kathy Charmaz. พิมพ์ในวารสารพัฒนาสังคม V 14. No. 2

บทวิจารณ์หนังสือ  พิชาย  รัตนดิลก ณ ภูเก็ต Kathy Charmaz  2006. Constructing Grounded Theory: A Practical Guide Through Qualitative Analysis. London: SAGE   จำนวน  208  หน้า ความเป็นมาของทฤษฎีฐานราก ระเบียบวิธีทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) อุบัติขึ้นจากนักสังคมวิทยาสองคนคือ Barney G. Glaser และ Anselm L. Strauss ช่วงกลางทศวรรษ 1960s    ทั้งสองไปทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสภาวะกำลังตายและการตาย ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล    พวกเขาได้พัฒนายุทธศาสตร์เชิงระเบียบวิธีอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งทำให้นักสังคมศาสตร์สามารถนำไปประยุกต์ในการศึกษาเรื่องอื่นๆได้จำนวนมาก   ในปี 1967 Glaser และ Strauss  ได้เสนอระเบียบวิธีนี้เข้ามาสู่แวดวงวิชาการในหนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขา คือ The Discovery of Grounded Theory   ซึ่งทำให้การวิจัยเชิงคุณภาพรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ของระเบียบวิธี        ช่วงเวลาก่อนที่ Glaser และ Strauss เสนอระเบียบวิธีการวิจัยทฤษฎีฐานรากเป็นช่วงที่การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ใ...

ความผิดพลาดของมนุษย์ตามแนวคิดของ ฟรานซิส เบคอน

ความผิดพลาดของมนุษย์ : ชนเผ่า ถ้ำ ตลาด และโรงมหรสพ พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต เห็นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในระยะนี้  ยิ่งทำให้เห็นความจริงประการหนึ่งว่า ทะเลแห่งความมืดบอดของสังคมไทยนับวันจะขยายตัวออกไปมากขึ้น   และเกาะแห่งปัญญานับวันจะลดน้อยถอยลง  หากภาวะเช่นนี้ดำรงต่อไปนานเท่าไร  ก็ยิ่งทำให้ทะเลแห่งความมืดบอดมีโอกาสกลืนกินเกาะแห่งปัญญาจนหมดสิ้นในไม่ช้า  ผมไปอ่านงานของนักปรัชญาท่านหนึ่ง  เห็นว่ามีความน่าสนใจโดยเฉพาะการวิเคราะห์เกี่ยวกับความผิดพลาดทางปัญญาและการให้เหตุผลของมนุษย์   ซึ่งทำให้เราต้องนำมาทบทวน ระมัดระวัง จะได้ไม่ตกอยู่ในความผิดพลาดนั้น   เพื่อจะได้พัฒนาปัญญาของตนเองให้กระจ่างชัด และมีหนทางในการนำพาสังคมให้หลุดพ้นจากทะเลแห่งความมืดบอดต่อไป ฟรานซิส เบคอน นักปรัชญาชาวอังกฤษซึ่งมีชีวิตระหว่าง ค.ศ. 1561 ถึง 1626   วิเคราะห์จำแนกสาเหตุของความผิดพลาดในการใช้เหตุผลของมนุษย์ออกเป็นสี่แบบ  ได้แก่ ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของชนเผ่า ( Idols of the Tribe)    ความผิดพลาดแบบรูปเคารพของถ้ำ ( Idols of th...

ปรัชญาสังคมศาสตร์

ปรัชญาสังคมศาสตร์ พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต พิมพ์ครั้งที่ ๒   จำหน่ายที่ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  และศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์               การเขียนหนังสือเล่มหนึ่งเป็นการเดินทางที่ผู้เขียนเองมิอาจกำหนดเนื้อหาและ จุดหมายปลายทางล่วงหน้าที่ชัดเจนได้ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสมอระหว่างกระบวนการเขียน จวบจนถึง ณ จุดหนึ่งของเวลาที่จำเป็นจะต้องเขียนให้จบลง ไม่ว่าจะด้วยเงื่อนไขประการใด ก็ตาม เรื่องราวต่างๆ จึงถูกประกอบขึ้นมาเป็นรูปร่าง แต่ความท้าทายต่างๆก็ยังดำรงอยู่อย่าง ไม่จบสิ้น               ในการเขียนตำราเรื่องปรัชญาสังคมศาสตร์: การอธิบายสังคม รากฐานสำหรับการวิจัย ทางสังคม ผู้เขียนได้รับทุนจากคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ การเขียนโดยรับทุนมีข้อดีที่สำคัญคือ มีการกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนที่ผู้เขียนจะต้องเขียนให้จบ ซึ่งเป็นแรงกดดันให้ต้องลงมือเขียนอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางความโกลาหลของงานอื่นๆ อีกนานาประการ ภายใต้เงื่อนไขเหล่านั้นหา...